สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 227 เคลื่อนกำลังเสริม
ตอนที่ 227 เคลื่อนกำลังเสริม
ก่อนหน้านี้ตอนที่หวางมามามาบอกซินโย่วอย่างตื่นเต้นว่า ตอนนี้บ่าวในจวนรองเจ้ากรมส่วนใหญ่เอนเอียงมาทางเรือนหว่านฉิง ซินโย่วก็ตกใจนิ่งอึ้งไปทันที
คนจวนรองเจ้ากรมซื้อตัวง่ายไปสักหน่อยหรือไม่
พอฟังหวางมามารายงานจบ ซินโย่วก็เอ่ยว่า ลำบากเจ้าแล้ว ก่อนเดินออกจากห้องไป
ลานด้านหน้าหอมอบอวล ต้นไม้ดอกไม้ชอุ่มสะพรั่ง มีผีเสื้อบินร่ายรำไปมา
ซินโย่วนอนหลับไม่สนิททั้งคืน ไม่รู้สึกง่วงนอน ยามนี้มองไปทางเรือนหรูอี้ถังพลางคิดว่าเรื่องคุณหนูจูร้องทุกข์น่าจะแพร่ออกไปแล้ว
เหตุใดคนผู้นั้นทำเช่นนี้
แสงสายัณห์ใกล้ลับขอบฟ้า เมฆยังคงส่งสีสันทอประกายที่ขอบฟ้า คนที่มารายงานว่า “คุณหนูนอก คนงานร้านหนังสือชิงซงมา บอกว่ามีธุระต้องการพบท่าน”
ซินโย่วไม่รอช้า รีบออกไปทันที
หลิวโจวนรออยู่ที่โถงเล็ก พอเห็นซินโย่วก็รีบวางแก้วชาลงลุกขึ้นยืน “ท่านเจ้าของร้าน”
ซินโย่วให้คนงานรินน้ำชาถอยออกไป ถามหลิวโจวว่า “มีเรื่องอันใด”
หลิวโจวควักจดหมายฉบับหนึ่งออกจากอกเสื้อ “ก่อนหน้านี้กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินนายหนึ่งที่เคยช่วยร้านหนังสือเราสังหารโจรนำจดหมายมา บอกว่ามอบให้ท่านขอรับ”
ก่อนหน้านี้มีโจรบุกปล้นร้านหนังสือชิงซงยามวิกาล เฮ่อชิงเซียวส่งกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินห้าสิบนายมาช่วย ต่อมากองกำลังองครักษ์จิ่นหลินก็มักมาร้านหนังสือเป็นประจำ ไปๆ มาๆ ก็สนิทกับหลิวโจว
ซินโย่วรับจดหมายมาเปิดออกอ่าน
นางอ่านรวดเร็ว อ่านจบแล้วก็อ่านละเอียดอีกหนึ่งรอบ ก่อนจะกำจดหมายไว้แน่น
“ท่านเจ้าของร้าน มีเรื่องอันใดหรือขอรับ” หลิวโจวถามอย่างเป็นห่วง
ซินโย่วเผยรอยยิ้ม “ไม่มีอันใด ฟ้าจะมืดแล้ว เจ้ารีบกลับร้านหนังสือเถอะ”
หลิวโจวนิ่งอึ้งไปทันที คล้ายว่าไม่เคยเห็นเจ้าของร้านเผยรอยยิ้มกระจ่างเช่นนี้มาก่อน
“เป็นอันใดไปหรือ” ซินโย่วถาม
“ท่านเจ้าของร้านดูเหมือนอารมณ์ดีไม่เลว” หลิวโจวพลันระแวงขึ้นมา ลองเลียบเคียงถามว่า “ย่อมเพราะกลับมาอยู่บ้านสบายกว่า ข้าน้อยดูแล้วคนในจวนรองเจ้ากรมก็ดูแลท่านเจ้าของร้านดีมาก”
เกิดเจ้าของร้านรู้สึกว่าอยู่จวนรองเจ้ากรมดีกว่า ไม่กลับไปร้านหนังสือแล้วจะทำอย่างไร
ซินโย่วรู้สึกขำกับความคิดของหลิวโจว “เจ้าเพิ่งมาก็รู้ว่าคนจวนรองเจ้ากรมดูแลข้าดีหรือ”
“ก็ดูจากตั้งแต่คนเฝ้าประตูไปถึงบ่าวรินน้ำชา ต่างให้ความเกรงใจต่อข้า ก็มองออกแล้วว่าให้เกียรติท่านเจ้าของร้าน เห็นได้ชัดถึงสถานะเจ้าของร้านในใจพวกเขาขอรับ”
ซินโย่วฟังจบก็คิดถึงหวางมามากับหลี่หมัวมัวที่ซื้อตัวคนในจวนรองเจ้ากรมมาได้กว่าครึ่งอย่างไม่ตั้งใจ
เห็นสีหน้าซินโย่วเปลี่ยนไป หลิวโจวก็เกาหัว “ข้าน้อยกล่าวผิดหรือขอรับ”
“ก็ไม่นับว่าผิด กลับไปบอกผู้ดูแลร้านหู สองสามวันนี้บอกคนร้านหนังสือว่าอย่าได้ออกไปไหนมาไหน ให้ทำงานของตนเองไป อีกสองสามวันข้าก็จะกลับแล้ว”
พอได้ยินว่าไม่นานซินโย่วจะกลับมาแล้ว หลิวโจวก็วางใจ กลับไปอย่างดีใจ
ซินโย่วกลับถึงเรือนหว่านฉิง ก็เรียกเสี่ยวเหลียนนำกะละมังมาเผาจดหมายลงในนั้น
เสี่ยวเหลียนไม่ถามว่าเผาอันใด แต่รีบเข้าไปเก็บกวาดเถ้าอย่างคล่องแคล่ว
สำหรับซินโย่วแล้ว เรื่องราวนับว่าราบรื่น ในที่สุดก็อารมณ์ดีขึ้นมา แต่สำหรับพระสนมซูเฟยแล้ว ก็ดังอสุนีบาตฟาดใส่ท่ามกลางท้องฟ้าแจ่มใส
ตำหนักเฉียนชิงกง ขันทีเอ่ยน้ำเสียงเบายิ่งว่า “ฝ่าบาท พระสนมซูเฟยคุกเข่ามาหนึ่งชั่วยามแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
แววพระเนตรฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มีแต่ความรังเกียจ “บอกนางว่า จะคุกเข่าตายอยู่ตรงนี้หรือไสหัวกลับไป”
นอกตำหนัก พระสนมซูเฟยตัวสั่นเทาไม่หยุด เท้าแทบไร้ความรู้สึก
เห็นอยู่ว่าพระอาทิตย์ตกแล้ว เหลือเพียงแสงทอประกายรำไร แต่นางกลับรู้สึกราวคุกเข่าอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ร้อนแรง ทั้งร่างคล้ายถูกทัณฑ์ทรมานอยู่บนเตาเผา
พอได้ยินเสียงฝีเท้า แววตาพระสนมซูเฟยก็ส่องประกายวาบ ถามขันทีที่มาอย่างทนรอไม่ไหวขึ้นว่า “ฮ่องเต้ให้ข้าเข้าเฝ้าแล้วหรือ”
“พระสนมซูเฟย กลับไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีทูลกล่อมประโยคหนึ่ง แต่ก็ไม่กล้าปรับพระดำรัสโดยพลการ “ฮ่องเต้ตรัสว่า จะคุกเข่าตายอยู่ตรงนี้หรือไสหัวกลับไป…”
พระสนมซูเฟยโงนเงน
นางกำนัลที่ตามเข้าประคองพระสนมซูเฟยซ้ายขวา กระซิบทูลว่า “พระสนมกลับเถอะเพคะ”
ขันทีที่มาถ่ายทอดราชโองการหันกลับไปทันที พระสนมซูเฟยจ้องมองประตูตำหนักนิ่ง แววตาเต็มไปด้วยความโกรธและคับแค้นใจ
นางรู้ตัวเองดีมาตลอดว่าฮ่องเต้ไม่ทรงมีพระทัยให้นาง แต่อย่างไรนางก็อยู่กับชายผู้นี้มายี่สิบปี สุดท้ายแม้แต่ความผูกพันสักนิดก็ไม่มีหรือ
เหตุใดชายผู้นี้แล้งน้ำใจได้ถึงเพียงนี้
แม้จะโกรธแค้นมากมายเพียงใด คับแค้นมากมายเพียงใด ก็ไร้ประโยชน์ ความคับแค้นนี้ไม่อาจช่วยพี่ชายกลับคืนมาได้ ไม่อาจช่วยบุตรชายได้
คิดถึงการตายอย่างน่าอนาถของพี่ชายแล้ว พระสนมซูเฟยก็กัดริมฝีปากแน่น
ไม่อาจนั่งรอความตายที่นี่ ตอนนี้บุตรชายถูกกักตัวในสำนักราชวัง อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่ นางยังมีโอกาสพยายามได้อีก!
“ประ…ประคองข้าขึ้น…” ไม่เคยต้องรับทุกข์เช่นนี้มานาน พระสนมซูเฟยแทบไม่มีแม้แต่แรงจะเอ่ย
นางกำนัลประคองพระสนมซูเฟยขึ้นมา พานางกลับตำหนักฮั่นตั้นกง เดินไปได้ระยะทางหนึ่งก็ได้ยินพระสนมซูเฟยตรัสว่า “ไปตำหนักฉือหนิงกง”
หากบนโลกนี้ยังมีคนที่เกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ได้ ผู้นั้นก็คือไทเฮา
แน่นอนว่ายังมีคำพูดของหญิงผู้หนึ่งบางทีใช้งานได้ดีกว่าไทเฮา แต่หญิงผู้นั้นตายไปแล้ว
นึกถึงการตายของฮองเฮาซิน พระสนมซูเฟยก็กระตุกมุมปาก พลันมีแรงกำลังขึ้นมา
“ไทเฮา พระสนมซูเฟยขอเข้าเฝ้าเพคะ”
ไทเฮากำลังกินผลอิงเถา[1]
ผลอิงเถาสีสดเงางามในชามกระเบื้องสีขาว เห็นแล้วก็น้ำลายสอ
ผลอิงเถาเป็นของหายากสำหรับคหบดีร่ำรวย ยามนี้ไทเฮาเสวยได้มากและเสวยไม่หยุด
ความสุขในการกินผลอิงเถาถูกขัดจังหวะ ไทเฮาเอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ให้นางเข้ามาได้”
ไม่นานพระสนมซูเฟยก็ถูกนางกำนัลประคองเข้ามา “หม่อมฉันถวายบังคมไทเฮา”
พอเห็นท่าทางน่าอนาถของพระสนมซูเฟย ไทเฮาก็ตกพระทัย “นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
พระสนมซูเฟยโผลงคุกเข่า “ไทเฮา ขอได้โปรดช่วยอี้เอ๋อร์ด้วยเพคะ!”
ความจริงไทเฮาไม่สนพระทัยความเป็นความตายของพระสนมซูเฟย แต่พอได้ยินว่าหลานชายสุดที่รักเกิดเรื่อง ก็รีบลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที “เกิดอันใดขึ้นกับอี้เอ๋อร์”
“อี้เอ๋อร์ อี้เอ๋อร์ถูกกักตัวในสำนักราชวังแล้ว…” พระสนมซูเฟยสองมือปิดใบหน้าร่ำไห้ปวดร้าวอย่างมาก
ไทเฮาขมวดพระขนงแน่น “เกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดอี้เอ๋อร์ถูกกักตัวที่สำนักราชวัง”
“รายละเอียดหม่อมฉันก็ไม่ทราบแน่ชัด รู้เพียงว่าฝ่าบาททรงกริ้วหนัก หม่อมฉันไปขอเข้าเฝ้าที่ตำหนักเฉียนชิงกง คุกเข่าอยู่เป็นนานก็ไม่ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท…”
พระสนมซูเฟยย่อมกระจ่างใจดี อย่างไรนางก็ดูแลวังหลังมาสิบกว่าปี ย่อมมีเส้นสายอยู่บ้าง ไทเฮามีบุตรชายมีหลานชายก็รู้สึกพอใจแล้ว กินดีอยู่ดีเสพสุขไม่มีหมด เรื่องซุบซิบนอกวังพอใส่ใจอยู่บ้าง แต่เรื่องในราชสำนักล้วนไม่เข้าใจและไม่ใส่ใจ กอปรกับฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสไว้ก่อนหน้านี้ว่าอย่าได้ไปรบกวนไทเฮาด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ส่วนใหญ่ข่าวเหล่านี้จึงไปไม่ถึงพระกรรณไทเฮา
“ไทเฮา ขอได้ทรงโปรดช่วยอี้เอ๋อร์ด้วยเพคะ อี้เอ๋อร์ถูกส่งไปที่เช่นนั้น ยังไม่รู้ต้องทนทุกข์ทรมานอีกเท่าไร…”
พระสนมซูเฟยร่ำไห้ทูลฟ้อง ไทเฮารักหลานชาย รีบเสด็จไปตำหนักเฉียนชิงกงทันที
“ฝ่าบาท ไทเฮาเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินเสียงขันทีรายงาน ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย รีบลุกขึ้นไปรับ
“ฟ้าเริ่มมืดค่ำแล้ว เสด็จแม่ส่งคนมาตามข้าไปพบก็ได้” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ยื่นพระหัตถ์ออกไปประคองไทเฮา นางกำนัลที่ประคองไทเฮาถอยไปยืนด้านข้างเงียบๆ
แต่ไรมาไทเฮารู้ว่าบุตรชายกตัญญู ก็มิเอ่ยอ้อมค้อม “ข้าได้ยินว่าอี้เอ๋อร์ถูกกักตัวอยู่ที่สำนักราชวัง เกิดเรื่องอันใดหรือ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พยักพระพักตร์ยอมรับ
ไทเฮาสีพระพักตร์เคร่งเครียดทันที
[1] เชอรี่