สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 230 ผู้ที่มาไม่ประสงค์ดี
ตอนที่ 230 ผู้ที่มาไม่ประสงค์ดี
เฮ่อชิงเซียวรับหน้าที่จัดการสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือไม่ถึงปีกว่า พอเซียวเหลิ่งสือมาพร้อมลูกน้องคนสนิท อีกทั้งยังใช้งานลูกน้องคนสนิทเดิมในสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือ พวกเหยียนเชาเป็นคนของเฮ่อชิงเซียว แม้ไม่พอใจแต่ไม่กล้าเอ่ยอันใด
“พวกเจ้าไปร้านหนังสือชิงซง นำตัวคุณหนูโค่วมาที่นี่”
พอเซียวเหลิ่งสือสั่งการ องครักษ์กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินสองนายก็ไปร้านหนังสือชิงซง
“เจ้าของร้านเรากลับไปจวนรองเจ้ากรม ไม่อยู่ร้านหนังสือ”
พอองครักษ์กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินสองนายไปแล้ว หลิวโจวก็เขยิบเข้าไปใกล้ผู้ดูแลร้านหู “กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินสองนายที่มาวันนี้หน้าตาไม่คุ้น ดูแล้วประสงค์ร้ายอยู่บ้าง”
ผู้ดูแลร้านหูลูบเคราครุ่นคิด “บางทีอาจเกี่ยวข้องกับข่าวลือแปลกประหลาดเหล่านั้น กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินคิดจะพบเจ้าของร้านเพื่อสอบถามให้กระจ่าง”
“คนพวกนั้นกินอิ่มเกินไปหรือ ถึงกับมาถามที่ร้านหนังสือ”
หลิวโจวพลันนึกถึงเรื่องที่มีพวกที่เรียนหนังสือดื่มมากไป วิ่งมาคว้ามือเขาบอกให้เขามอบตัวท่านซงหลิงออกมา ก็คิดอยากด่ามารดาเจ้าสิ
คำพูดเช่นนี้ก็เชื่อไปได้ เรียนหนังสือจนโง่หรือ
ทั้งสองคนกำลังคุยกันเรื่องนี้ ก็คิดถึงใต้เท้าเฮ่อที่เป็นคนคุ้นเคยของร้านหนังสือ ไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงนัก
กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินสองนายกลับไปรายงานแล้ว ก็ถูกเซียวเหลิ่งสือด่า “ในเมื่อบอกว่าอยู่จวนรองเจ้ากรม แล้วไม่ไปเชิญตัวจากจวนรองเจ้ากรม?”
กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินสองนายที่ถูกด่าก็รีบออกไปอีกครั้ง ระหว่างทางไปจวนรองเจ้ากรม มีคนหนึ่งแสดงท่าทีเป็นห่วง “ดูจากท่าทีใต้เท้าเซียวเกรงว่าจะไม่เกรงใจต่อคุณหนูโค่วนัก ได้ยินว่าคุณหนูโค่วมีความสัมพันธ์กับใต้เท้าเฮ่อไม่เลว ใต้เท้าเฮ่อกลับมาจะไม่ตำหนิเอาเรื่องพวกเราหรือ”
อีกคนแค่นเยาะ “หากเจ้ากลัวใต้เท้าเฮ่อเอาเรื่อง ก็ควรไปอยู่ข้างนั้นแล้ว แต่ใต้เท้าเฮ่อแต่ไรมาไม่เคยเหลียวมองพวกเรา”
คนที่เอ่ยขึ้นก่อนสีหน้าย่ำแย่เล็กน้อย
อีกคนกล่อมว่า “คิดมากมายเช่นนี้ทำไมกัน ใต้เท้าปกครองหรือจะสู้นายทะเบียน[1] ตอนนี้ใต้เท้าเซียวเป็นผู้ดูแลหลัก พวกเราก็ฟังใต้เท้าเซียว หากใต้เท้าเซียวจัดการงานที่ฝ่าบาทมอบหมายได้ดี ใต้เท้าเฮ่อกลับมา ก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ใด พวกเราทำงานให้ดี ไม่แน่อาจมีเหตุพลิกฟื้นชะตาชีวิตได้ อย่างไรก็ดีกว่าได้แต่นั่งบนเก้าอี้เยียบเย็นเหมือนเมื่อก่อน”
“ก็ใช่” คนผู้นั้นคลายความรู้สึกขัดแย้งในใจลงหมดสิ้น
มาถึงจวนรองเจ้ากรม ทั้งสองคนลงจากม้าไปเคาะประตู
ไม่นานก็มีใบหน้าคนเฝ้าประตูโผล่ออกมา “นายท่านทั้งสอง…”
“คุณหนูโค่วอยู่ไหม”
“อยู่…”
“พวกข้ามาจากสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือ รบกวนคุณหนูโค่วตามพวกข้าไปหน่อย ใต้เท้าเรามีเรื่องสอบถาม”
“อ้อ อ้อ ทั้งสองท่านรอสักครู่”
คนเฝ้าประตูรีบไปรายงาน
พอข่าวมาถึงเรือนหว่านฉิง ซินโย่วคิดแล้วก็กำชับเสี่ยวเหลียน “หากวันนี้ข้าไม่กลับมา เจ้ากลับไปร้านหนังสือ พรุ่งนี้ให้ผู้ดูแลร้านหูขายบันทึกตะวันตกเล่มสาม…”
ซินโย่วกำชับละเอียด เสี่ยวเหลียนยิ่งฟังก็ยิ่งเป็นห่วง “คุณหนู ท่านไปครั้งนี้…อันตรายมากใช่หรือไม่”
“ไม่ต้องเป็นห่วง เตรียมตัวให้พร้อมก็พอ” ซินโย่วปลอบใจเสี่ยวเหลียนด้วยสีหน้านิ่งสงบ เตรียมใจกับการไปครั้งนี้แล้ว
ผู้ที่มาไม่ประสงค์ดี
องครักษ์กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินสองนายรออยู่ในโถงบุปผา พอเห็นซินโย่วเข้ามาก็รีบลุกขึ้นยืน
“คุณหนูโค่วกระมัง ใต้เท้าเราเชิญท่านไปที่ทำการสักครั้ง”
“ไม่ทราบว่าใต้เท้าท่านใด”
ทหารองครักษ์จิ่นหลินนายหนึ่งสีหน้ารำคาญ “คุณหนูโค่วไปก็รู้เอง”
ซินโย่วยิ้มคาดเดาในใจได้ ไม่เอ่ยถามอีก
นายหญิงผู้เฒ่าสะดุ้งในใจ “นายท่านทั้งสอง หลานสาวข้ายังเป็นสาวเป็นนาง อาจมีเรื่องอันใดเข้าใจผิด…”
ทหารองครักษ์จิ่นหลินนายหนึ่งตัดบทนายหญิงผู้เฒ่า “คุณหนูโค่วถูกเชิญไปสอบสวนในสถานะเจ้าของร้านหนังสือชิงซง”
คำพูดนี้ทำให้นายหญิงผู้เฒ่าพูดไม่ออก ได้แต่ส่งสายตาให้บ่าวคนสนิทยัดเงินให้ทั้งสองคน
“ขอนายท่านทั้งสองดูแลด้วย…”
พอได้เงินไป สององครักษ์กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินก็มีท่าทีดีขึ้นเล็กน้อย ก่อนนำตัวซินโย่วไป
นายหญิงผู้เฒ่าถอนหายใจแรง อดด่าไม่ได้ “เจ้าเด็กควรตายนี้ ตอนแรกหากไม่เปิดร้านหนังสือ จะมีเรื่องยุ่งยากมากมายเช่นนี้หรือ!”
“นายหญิงผู้เฒ่าอย่าได้ร้อนใจไป คุณหนูนอกย่อมไม่เป็นอันใด”
นายหญิงผู้เฒ่าคิดแล้วก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ ส่งคนนำจดหมายไปให้รองเจ้ากรมต้วน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซินโย่วมาสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือ ครั้งก่อนที่มาล้วนได้พบกับกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินที่คุ้นหน้าบ้างแปลกหน้าบ้าง ได้รับรอยยิ้มเป็นมิตรบ้าง สายตาอยากรู้อยากเห็นบ้าง
แต่เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินที่เคยไปร้านหนังสือขยิบตาให้นาง เหมือนแอบบอกว่าครั้งนี้ยุ่งยากแล้ว
ยิ่งเป็นเช่นนี้ สีหน้าซินโย่วก็ยิ่งนิ่งสงบ ในที่สุดก็ได้พบคนที่ต้องการพบนาง
เป็นชายวันสามสิบกว่า ใบหน้ายาว ดวงตาเล็กตี่ กลิ่นอายเยียบเย็นดุดัน
เทียบกับใต้เท้าเฮ่อที่รูปงามไร้ที่ติ คนผู้นี้ดูแล้วเหมือนหัวหน้าสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือมากกว่า
“ใต้เท้า นำตัวคุณหนูโค่วมาแล้ว” กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินผู้นั้นเห็นแก่เงิน จึงเอ่ยเตือนว่า “นี่คือใต้เท้าเซียว เจิ้นฝูสื่อของเรา”
“ข้าน้อยคารวะใต้เท้าเซียว” ซินโย่วย่อกายคำนับ คาดเดาที่มาของคนผู้นี้
สำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือมีเพียงเจิ้นฝูสื่อผู้เดียว แต่คนผู้นี้ถูกเรียกขานว่าเจิ้นฝูสื่อก็ควรมาจากสำนักหนานเจิ้นฝู่ซือ
เซียวเหลิ่งสือเองก็ไม่เอ่ยอันใด มองประเมินสาวน้อยตรงหน้าด้วยแววตาค้นหา
มารยาทครบถ้วน สง่าราศีไม่ธรรมดา ไม่เสียทีที่เป็นหญิงสาวที่มีชื่อเสียงเปิดร้านหนังสือรุ่งเรืองในเมืองหลวง
“ได้ยินชื่อเสียงคุณหนูโค่วมานานแล้ว วันนี้ได้พบ สมดังคำล่ำลือ”
“ใต้เท้าเซียวชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
เซียวเหลิ่งสือตั้งใจรอเป็นพิเศษ แต่ไม่เห็นซินโย่วเอ่ยถามเอง จึงแอบคิดในใจว่าคุณหนูผู้นี้ระงับท่าทีตนเองได้จริงๆ
“วันนี้เชิญคุณหนูโค่วมา ก็คิดอยากจะทำความเข้าใจเรื่องของท่านซงหลิง”
“ก่อนหน้านี้ใต้เท้าเฮ่อได้สอบถามแล้วเจ้าค่ะ”
เซียวเหลิ่งสือยิ้มกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ก็คือก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็คือตอนนี้”
“เช่นนั้นเชิญใต้เท้าเซียวถาม”
“คุณหนูโค่ว พบกับท่านซงหลิงครั้งแรกเมื่อใด ที่ใด คุยอันใด”
เผชิญหน้ากับคำถามเป็นชุดของเซียวเหลิ่งสือ ซินโย่วตอบอย่างไม่รีบร้อนเป็นลำดับ “ข้าน้อยพบท่านซงหลิงครั้งแรกเมื่อเดือนหกปีที่แล้ว ระหว่างทางจากจวนรองเจ้ากรมกลับร้านหนังสือชิงซง ตอนนั้นร้านหนังสือติดประกาศหาต้นฉบับหนังสือด้วยเงินรางวัล…”
“ได้พบท่านซงหลิงครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนสิบเอ็ดปีที่แล้ว…”
เซียวเหลิ่งสือฟังอย่างตั้งใจ หาช่องโหว่ไม่พบ
“ก็หมายความว่า คนที่ได้เคยพบท่านซงหลิงมีเพียงคุณหนูโค่ว?”
ซินโย่วฟังน้ำเสียงประสงค์ร้ายออก จึงเอ่ยน้ำเสียงสงบเยียบเย็นว่า “คนอื่นเคยพบท่านซงหลิงหรือไม่ ข้าน้อยเองก็ไม่อาจทราบได้ ข้าน้อยติดต่อกับท่านซงหลิงเพราะเรื่องการค้า เพียงเพราะต้นฉบับนิยาย”
เซียวเหลิ่งสือจ้องมองสาวน้อยนิ่งสงบตรงหน้า พลันยิ้มกล่าวว่า “คุณหนูโค่วฉลาดหลักแหลม ข้าเลื่อมใสยิ่ง แต่ทว่า…”
ซินโย่วรอเขาพูดต่อไป
เซียวเหลิ่งสือขยับมาตรงหน้าเล็กน้อย “แต่ข้าไม่เชื่อว่าคุณหนูโค่วจะไม่รู้ที่อยู่ของท่านซงหลิง”
ซินโย่วหลุบตาลง “ใต้เท้าเซียวไม่เชื่อ ข้าเองก็ไร้หนทาง”
“เฮอะ” เซียวเหลิ่งสือแค่นเยาะ “คุณหนูโค่วกล่าวกับใต้เท้าเฮ่อเช่นนี้หรือ เสียดายใต้เท้าเฮ่อทะนุถนอมหยกงาม แต่ข้าไม่”
เขาจ้องมองสาวน้อยสีหน้าสงบนิ่งตรงหน้าเขม็ง คล้ายว่าจ้องมองเหยื่อในแห และเส้นทางงดงามที่กำลังจะก้าวขึ้นไป
เซียวเหลิ่งสือรู้ว่าคุณหนูโค่วได้รับพระเมตตาจากองค์หญิงใหญ่เจาหยาง และเคยเข้าวังไปเข้าเฝ้าอย่างมีเกียรติ แต่เขาไม่อาจหวาดกลัวเพราะเรื่องเหล่านี้
ฮ่องเต้ต้องการหาตัวท่านซงหลิงให้พบอย่างมากจนเขารู้สึกได้ ขอเพียงจัดการเรื่องนี้ได้สำเร็จ การต้องจัดการคุณหนูตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะกระไรนัก
“ทหาร…”
[1] เป็นสำนวนหมายถึงผู้ดูแลจัดการสู้ผู้ปฏิบัติงานจริงไม่ได้