สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 234 เอ่ยความจริง
ตอนที่ 234 เอ่ยความจริง
เซียวเหลิ่งสือรีบไปยังโถงรับรอง
“ซุนกงกง” พอพบซุนเหยียน สีหน้าเซียวเหลิ่งสือก็ไร้แววเยียบเย็นโหดเหี้ยม มีแต่ความยำเกรง
เขาจำต้องยำเกรง ซุนกงกงเป็นขันทีที่ได้รับความไว้พระทัยจากฮ่องเต้ที่สุด
“ใต้เท้าเซียว เหตุใดจับกุมคนจนเป็นที่รู้กันไปทั่ว ฝ่าบาทไม่พอพระทัยเรื่องนี้นัก”
“ข้าจัดการได้ไม่ดี ขอซุนกงกงช่วยข้าทูลวาจาดีงามสักหน่อย” เซียวเหลิ่งสือควักตั๋วแลกเงินออกจากแขนเสื้อยัดใส่มือซุนเหยียน
ซุนเหยียนกวาดตามองทีหนึ่ง ถ่ายทอดราชโองการด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ใต้เท้าเซียว ข้าขอเตือนท่านสักคำ ฝ่าบาททรงรู้สึกว่าคุณหนูโค่วไม่เลว เจ้าอย่าได้ปฏิบัติต่อคุณหนูโค่วเหมือนผู้ต้องสงสัยทั่วไป อย่างไรก็ต้องระมัดระวังไม่ให้เกินเลยนัก”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“เช่นนั้นเราก็กลับละ”
เซียวเหลิ่งสือส่งซุนเหยียนออกไปแล้วก็กลับไปที่ห้องสอบสวนลงทัณฑ์
สาวน้อยที่ถูกแส้ฟาดและจับกดน้ำมาใบหน้าซีดเซียว ดูแล้วเหมือนกระดาษบอบบางอ่อนแอแผ่นหนึ่ง
นึกถึงคำเตือนของซุนเหยียน เซียวเหลิ่งสือขมวดคิ้ว
มีราชโองการนั้นทำให้ไม่อาจลงทัณฑ์ต่อได้ ไม่เช่นนั้นหากเกิดเหตุอันใดขึ้น เขาก็จะประสบเหตุยุ่งยาก นอกจากสอบสวนที่อยู่ของท่านซงหลิงได้ ได้ผลลัพธ์ที่ฮ่องเต้ต้องการที่สุด ฮ่องเต้น่าจะไม่ทรงเอาเรื่องที่เขาลงทัณฑ์คุณหนูโค่ว
มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา เซียวเหลิ่งสือเป็นคนวู่วามที่ต้องการเพียงผลสำเร็จโดยไม่สนใจอันใด แต่ดีที่สติยังอยู่ ทำให้เขาระงับความวู่วามนี้ลง
เสี่ยงเกินไป เกิดทำคนตายหรือพิการไป กลับไม่ได้สิ่งที่ต้องการมา ก็ไม่อาจรายงานต่อเบื้องบนได้แล้ว
“คุณหนูโค่วลำบากท่านแล้ว ทหาร ส่งคุณหนูโค่วกลับไปพัก ให้คิดให้ดีๆ อีกครั้ง”
ซินโย่วถูกส่งกลับไปในห้องเมื่อคืน ยังคงมืดสลัวและอับชื้น แม้ว่าเข้าสู่ต้นฤดูร้อนแล้ว แสงอาทิตย์คล้ายว่าไม่มีวันสาดส่องเข้ามาในที่แห่งนี้ได้ แต่สำหรับซินโย่วแล้ว ขอเพียงเป็นสถานที่เล็กๆ ที่มีเตียงและหน้าต่างก็ดีกว่าห้องลงทัณฑ์ที่มีแต่กลิ่นคาวโลหิตมาก
นั่งอยู่บนเตียงที่แข็งกระด้าง ซินโย่วกอดอกครุ่นคิดเงียบๆ
วิเคราะห์จากคำพูดที่นางได้ยินมาพร้อมกับการที่เซียวเหลิ่งสือไม่ได้ลงทัณฑ์กับนางต่อ คนผู้นั้นน่าจะกำชับมาเป็นพิเศษแล้ว
ขอเพียงไม่ถูกลงทัณฑ์ นางก็ไม่มีอันใดต้องกลัว เวลายิ่งเนิ่นนาน ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อนาง
ซินโย่วนึกอยากรู้ขึ้นมาไม่น้อย คนที่ช่วยพูดให้นางคือผู้ใด
คนแรกที่นางนึกถึงก็คือองค์หญิงใหญ่เจาหยาง
คนที่เข้าวังมาพบคนผู้นั้นได้มีไม่มาก และองค์หญิงใหญ่เจาหยางก็เป็นคนที่เป็นไปได้มากที่สุด
ในขณะที่ซินโย่วกำลังคาดเดา องค์หญิงใหญ่เจาหยางก็เข้าวังไปจริงดังคาด
นางได้ข่าวไม่ได้เร็วไปกว่าสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน ตอนนางได้ยินว่าคุณหนูโค่วถูกกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินจับตัวไปก็ช้ากว่าเล็กน้อย
ก่อนเข้าวัง องค์หญิงใหญ่เจาหยางยังด่าบุตรชายไปสองสามคำ “เหตุใดผู้อื่นรู้ข่าวกันเร็ว เจ้าใส่ใจมากอีกหน่อยไม่ได้หรือ”
ข่งรุ่ยที่ถูกด่าก็มีสีหน้างุนงง “…” เหตุใดเขาต้องคอยใส่ใจคุณหนูโค่วทุกวัน
ซุนเหยียนเพิ่งกลับเข้าวังมาทูลรายงานได้ไม่นาน ขันทีก็ส่งเสียงรายงานดังขึ้นว่าองค์หญิงใหญ่เจา หยางขอเข้าเฝ้า
ปฏิกิริยาแรกของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็คือมาเพื่อคุณหนูโค่ว
ดังคาด พอองค์หญิงใหญ่เจาหยางเข้ามา คุยได้สองคำก็เอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มา “หม่อมฉันได้ยินว่าคุณหนูโค่วถูกกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินจับกุมตัวไป เสด็จพี่ทราบเรื่องนี้หรือไม่เพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงรู้สึกร้อนตัว ทรงส่งเสียงกระแอมไอทีหนึ่ง แต่สีพระพักตร์ยังคงไม่แปรเปลี่ยน “เราเองก็เพิ่งได้ยิน”
องค์หญิงใหญ่เจาหยางตกใจ “เสด็จพี่เชื่อข่าวลือเหลวไหลว่าคุณหนูโค่วกักตัวท่านซงหลิงไว้หรือเพคะ”
“เราจะไปเชื่อเช่นนั้นได้อย่างไร…” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงยกแก้วน้ำชาขึ้นจิบ
“ในเมื่อเสด็จพี่ไม่ทรงเชื่อ เหตุใดจึงปล่อยให้กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินเอาเรื่องคุณหนูคนหนึ่ง”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงดื่มน้ำชาไปอีกคำหนึ่ง ครุ่นคิดถึงคำพูดรับมือน้องสาว
องค์หญิงใหญ่เจาหยางหน้าบึ้ง “เสด็จพี่ทรงอย่าลืมว่า คุณหนูโค่วเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตฝูเอ๋อร์ไว้ ฝูเอ๋อร์เป็นบุตรสาวหม่อมฉัน และก็เป็นหลานสาวคนเดียวของเสด็จพี่ ทรงให้กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินทำกับคุณหนูโค่วเช่นนี้ ไม่ทรงรู้สึกว่าพวกเราแล้งน้ำใจหรือเพคะ”
“คนละเรื่องกัน…”
“คนละเรื่องได้อย่างไร หรือว่าคุณหนูโค่วช่วยฝูเอ๋อร์ก็เป็นความผิด” องค์หญิงใหญ่เจาหยางยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห
นางนึกถึงไทเฮา
คุณหนูโค่วช่วยบุตรสาวนาง ผลที่ได้รับเล่า ท่านแม่นางขวางการแต่งงานของคุณหนูโค่ว พี่ชายนางสั่งให้คนจับตัวนาง
ตอบแทนคุณด้วยความแค้นเป็นเช่นนี้นี่เอง
“คุณหนูโค่วยังเกี่ยวพันถึงเรื่องอื่นด้วย น้องพี่วางใจ เราได้กำชับไปแล้ว อย่าได้เสียมารยาทต่อคุณหนูโค่ว”
องค์หญิงใหญ่เจาหยางแค่นเยาะ “ไม่ลงทัณฑ์ก็พอหรือเพคะ อย่างไรคุณหนูโค่วก็เป็นคุณหนู ถูกขังอยู่ในกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินจะกระทบต่อชื่อเสียงนาง”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงคิดถึงเด็กสาวที่ถูกชะตาอย่างน่าประหลาดผู้นั้นขึ้นมา ในพระทัยเองก็รู้สึกขออภัย แต่ความรู้สึกขออภัยนี้เทียบกับคำตอบที่เขาต้องการไม่ได้แม้แต่น้อย
เห็นว่าไม่อาจกล่อมให้น้องสาวกลับไปได้โดยง่าย ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยความลับที่ซ่อนอยู่ออกมาว่า “การที่เราต้องการสอบสวนคุณหนูโค่วก็เพราะนางอาจเป็นคนเดียวที่รู้ที่อยู่ของท่านซงหลิง”
องค์หญิงใหญ่เจาหยางสีพระพักตร์เคร่งเครียดขึ้นมาทันที “หรือว่าข่าวลือเป็นจริง”
“ข่าวลืออันใด?”
“แอบได้ยินว่าท่านซงหลิงเป็น…คนของพี่สะใภ้…” พอองค์หญิงใหญ่เจาหยางเอ่ยถึงฮองเฮาซิน แววตาก็รู้สึกเจ็บปวด
ได้ยินข่าวลือนี้แฃ้ว ความจริงนางก็แอบส่งคนไปสืบหาตัวท่านซงหลิง แต่ก็คว้าน้ำเหลวอย่างจนปัญญา
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้นิ่งเงียบไปนานก่อนจะตรัสขึ้นเบาๆ “ไม่เพียงเท่านี้”
“เสด็จพี่หมายความเช่นไรเพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้นิ่งเงียบไปอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ ตรัสว่า “เราสงสัยว่า ท่านซงหลิงก็คือบุตรชายของเรากับซินซิน”
หากว่าโลกนี้ยังมีอีกคนที่ทำให้เขาไม่คิดสงสัยแม้แต่น้อยว่าจะทำร้ายบุตรชายเขา ผู้นั้นย่อมเป็นน้องสาวเขาผู้นี้
“อะไรนะ” องค์หญิงใหญ่เจาหยางตกใจลุกขึ้นยืน
“น้องพี่ เจ้าอย่าได้ตื่นตกใจเช่นนี้…”
องค์หญิงใหญ่เจาหยางรีบนั่งลง อดเอ่ยเบาๆ ไม่ได้ว่า “เสด็จพี่ทรงคาดเดาเช่นนี้ได้อย่างไรเพคะ จริงหรือที่ท่านซงหลิงจะเป็น…”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ยังไม่คิดอยากให้องค์หญิงใหญ่เจาหยางรู้ข่าวฮองเฮาซินเกิดเรื่องในตอนนี้ ตรัสเพียงว่า“หาเบาะแสเกี่ยวกับพี่สะใภ้เจ้าพบเล็กน้อย มีคนไม่น้อยบอกว่ามีชายหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ด เป็นบุตรชายพี่สะใภ้เจ้า…”
“สิบหกสิบเจ็ด…” องค์หญิงใหญ่เจาหยางพึมพำ “อายุนับว่าตรง…”
ตอนพี่สะใภ้ออกจากวังหลวงไปตั้งครรภ์ได้สามเดือนกว่า หากเด็กคนนี้คลอดอย่างปลอดภัยและเติบโตมาได้ ตอนนี้ก็จะสิบเจ็ดปีพอดี
“ดังนั้นเราจึงต้องหาท่านซงหลิงให้พบให้ได้ และตอนนี้คนที่เคยพบท่านซงหลิงเพียงคนเดียวก็คือคุณหนูโค่ว กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินตรวจสอบคุณหนูโค่วเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง”
“หม่อมฉันเข้าใจแล้ว” องค์หญิงใหญ่เจาหยาง ค่อยๆ พยักหน้า
“น้องพี่ การคาดเดาเกี่ยวกับสถานะของท่านซงหลิง เจ้าเองก็อย่าได้เผยเรื่องนี้ออกไป”
“ยังต้องให้เสด็จพี่ทรงเตือนอีกหรือเพคะ” องค์หญิงใหญ่เจาหยางคิดเอ่ยอีกมากมายด้วยสัญชาตญาณ แต่ก็พลันชะงักหยุดไว้ได้
ตอนพี่สะใภ้เพิ่งออกจากวังไป นางก็เคยมามีปากเสียงโต้เถียงกับเสด็จพี่หลายครั้ง แต่หลายปีที่ผ่านมานี้ จะมีเรื่องไม่ลงรอยกันต่อไปก็ไร้ประโยชน์ ตอนนี้ตามหาพี่สะใภ้และบุตรชายของนางให้เจอเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
“ในเมื่อมีข่าวของเด็กคนนั้นแล้ว แล้วพี่สะใภ้ล่ะเพคะ”
ในพระทัยฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พลันปวดร้าว สีพระพักตร์ไม่แปรเปลี่ยนสักเท่าไร “กำลังตรวจสอบอยู่ น้องพี่กลับไปก่อนเถอะ”
“หากมีข่าวของพี่สะใภ้ เสด็จพี่ต้องบอกหม่อมฉันนะเพคะ” ก่อนออกจากวัง องค์หญิงใหญ่เจาหยางเอ่ยเตือนอีกครั้ง “แม้ตอนนี้ยังไม่อาจปล่อยตัวคุณหนูโค่ว แต่ก็อย่าให้นางต้องรับทุกข์ทรมานนะเพคะ”
“เรารู้ น้องพี่วางใจ”
องค์หญิงใหญ่เจาหยาง จึงได้ออกจากวังไปอย่างสบายพระทัย