สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 236 ไม่ไป
ตอนที่ 236 ไม่ไป
เซียวเหลิ่งสือได้ยิน ในใจก็สะดุ้งตกใจ “มากันมากมาย? ผู้ใดกัน?”
ที่นี่คือสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือแห่งกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน ผู้ใดกล้ามาก่อเรื่อง
“ล้วนเป็นชาวบ้าน พวกเขาส่งเสียงเอ็ดตะโรให้กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินเราปล่อยตัวคุณหนูโค่ว”
เซียวเหลิ่งสือนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งทันทีก่อนจะก้าวออกไป
ยามนี้นอกประตูที่ทำการมีคนมาออกันเนืองแน่นจนไร้ที่ว่าง
ทหารกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินสองสามนายพยายามควบคุมสถานการณ์ไว้ด้วยอาการเหงื่อท่วมขมับ
ชาวบ้านมากมายมาก่อเรื่องเช่นนี้ หลายปีจึงจะพบสักครั้ง เหตุใดต้องเป็นพวกเขามาพบเจอเรื่องพวกนี้ด้วย
ไล่กลับไปหรือ
ทหารกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินสบตากัน ผู้ใดก็ไม่กล้า
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงจำนวนชาวบ้านที่มาเทียบกับพวกเขา พวกเขาไม่กี่คนไม่พออุดช่องฟัน ความจริงพวกเขาเองก็ไม่อยากจับตัวคุณหนูโค่ว
แต่ทำอย่างไรได้ ใต้เท้าเฮ่อไม่อยู่ ตอนนี้สำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซืออยู่ใต้การดูแลของใต้เท้าเซียว พวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับล่างก็ได้แต่ฟังคำสั่ง
“ใต้เท้าเซียวออกมาแล้ว” ไม่รู้ผู้ใดตะโกนขึ้น
กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินที่คุมสถานการณ์อยู่พากันหันกลับมามอง ก็เห็นเซียวเหลิ่งสือเดินออกมาด้วยสีหน้าดำทะมึน
บางทีอาจเพราะสีหน้าเซียวเหลิ่งสือเยียบเย็นดุร้ายเกินไป ทำให้บรรยากาศตรงหน้าพลันเงียบลง สายตามากมายมองไปยังใต้เท้าที่เดินออกมาท่านนี้
เซียวเหลิ่งสือมองไปรอบๆ ขมวดคิ้วยิ่งแน่น
ผู้คนถึงกับมากมายเพียงนี้
เขาค่อยๆ กวาดตามองทีละใบหน้า ค้นหาคนนำก่อเรื่อง สุดท้ายไปหยุดที่ชายชราและชายหนุ่มข้างๆ
เซียวเหลิ่งสือสายตาไม่เลวจริงๆ ชายชราก็คือผู้ใหญ่บ้านเป่ยโหลวฝาง ชายหนุ่มก็คือกู่อวี้
รับรู้ได้ถึงสายตาของเซียวเหลิ่งสือ กู่อวี้ก็จะก้าวออกมา แต่กลับผู้ใหญ่บ้านเป่ยโหลวฝางชิงออกมาด้านหน้าก่อน
“ข้าน้อยคารวะใต้เท้า ข้าน้อยเป็นผู้ใหญ่บ้านเป่ยโหลวฝาง ได้ยินว่าคุณหนูโค่วถูกจับเพราะข่าวลือ พวกเราใคร่ขอให้ใต้เท้าปล่อยตัวคุณหนูโค่ว”
“ข่าวลือ? ข่าวลืออันใด” เซียวเหลิ่งสือถามน้ำเสียงเยียบเย็น
สายตาเขาเยียบเย็น น้ำเสียงก็เยียบเย็น มีอำนาจบารมีทางการที่ชาวบ้านทั่วไปหวาดกลัวโดยธรรมชาติ
ในใจผู้ใหญ่บ้านเป่ยโหลวฝางเองก็หวาดกลัว แต่เขาอายุปูนนี้แล้ว เป็นผู้ใหญ่บ้านเป่ยโหลวฝางมาหลายปี ประสบเรื่องราวมามากมายก็ยืนหยัดผ่านมาได้ “คุณหนูโค่วเป็นคนใจกุศล เป็นไปไม่ได้ที่จะกักตัวท่านซงหลิงไว้ ขอใต้เท้าอย่าได้ฟังข่าวลือพวกนั้น โปรดปล่อยคุณหนูโค่ว”
เซียวเหลิ่งสือสีหน้าเย็นเยียบ “ที่นี่ไม่ใช่ที่ทำการทางการทั่วไป แต่เป็นกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน ย่อมไม่นำตัวคุณหนูโค่วมาเพราะข่าวลืออันใด”
ไม่ใช่เพราะข่าวลือหรือ
ผู้ใหญ่บ้านเป่ยโหลวฝางนิ่งอึ้งไปทันที
กู่อวี้ก้าวออกมาหน้าผู้ใหญ่บ้านเป่ยโหลวฝาง ประสานมือกล่าวว่า “ข้ากู่อวี้คำนับใต้เท้า”
เซียวเหลิ่งสือมองชายหนุ่มที่คำนับเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก “เจ้าก็เป็นชาวเป่ยโหลวฝาง?”
“ขอรับ ข้าน้อยเป็นนักเรียนสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน”
ได้ยินกู่อวี้กล่าวเช่นนี้ ผู้ใหญ่บ้านเป่ยโหลวฝางอยากเอ่ยแต่ก็ไม่ได้เอ่ย มองด้วยแววตาเป็นห่วง
พวกเขาล้วนเป็นชาวบ้านตัวเล็กๆ ไม่น่าจะถูกจับกุมตัวไว้ แต่เห็นชัดว่าเจ้าเด็กหนุ่มนี่มีสถานะนักเรียน วันหน้าถูกพวกขุนนางเอาเรื่องจะทำอย่างไร
ความเป็นห่วงของพวกผู้ใหญ่บ้านเป่ยโหลวฝาง กู่อวี้ก็รู้ดี แต่เดิมเรื่องนี้เขาเป็นคนนำหน้ามา ยามเผชิญหน้ากับกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินแล้วเขาไปหลบด้านหลัง ผลักพ่อแม่พี่น้องออกไปรับหน้า เขาจะกลายเป็นตัวอันใด
“เจ้าก็มาขอให้กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินปล่อยตัวคนหรือ” เซียวเหลิ่งสือค่อยๆ ถาม น้ำเสียงข่มขู่ชัดเจน
“ขอรับ คุณหนูโค่วเป็นผู้มีพระคุณช่วยข้าน้อยและชาวเป่ยโหลวฝาง คุณหนูโค่วเกิดเรื่อง พวกข้าน้อยไม่อาจนิ่งดูดายได้ ขอเรียนถามใต้เท้า คุณหนูโค่วทำผิดอันใดหรือ”
เซียวเหลิ่งสือจ้องมองกู่อวี้ “เจ้าขัดขวางกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินทำคดีหรือ”
“ข้ามิกล้า ข้าเพียงแต่ไม่เชื่อว่าคุณหนูโค่วจะทำเรื่องละเมิดกฎหมาย”
“เจ้าไม่เชื่อ ก็คิดบังคับให้กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินปล่อยคน?” เซียวเหลิ่งสือแค่นเยาะ แววตาเยียบเย็นจ้องมองชายหนุ่มยืดอกผึ่งผายตรงหน้า
ชายหนุ่มไม่คิดยอมถอยแม้แต่น้อย “ใต้เท้าเข้าใจผิดแล้ว พวกเราเป็นเพียงแค่ชาวบ้านธรรมดา ไหนเลยจะกล้าข่มขู่กองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน พวกเราแค่ขอร้อง”
“หากข้าไม่รับปากล่ะ”
“พวกเราจะรอคุณหนูโค่วออกมา”
“กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินทำคดี สามศาลก็ไม่มีอำนาจสอบถาม พวกเจ้ากลับมาขอคำชี้แจง ไม่ปล่อยคนไม่กลับ นี่มิใช่ข่มขู่แล้วคืออันใด”
เซียวเหลิ่งสือมองออกว่า คนที่นำมาก็คือชายหนุ่มผู้นี้ อีกคนก็คือผู้ใหญ่บ้านเป่ยโหลวฝาง
หากจับทั้งสองคนไว้ กลุ่มนกกาก็ย่อมสลายตัวไปเอง
“ทหาร จับตัวนักเรียนที่ก่อกวนกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินทำคดีไปเสีย!”
พอเซียวเหลิ่งสือออกคำสั่ง ก็มีทหารองครักษ์กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินสองนายก้าวเข้ามาประกบกดหัวไหล่กู่อวี้ไว้ซ้ายขวา
มารดากู่อวี้บุกออกมา “หากพวกเจ้าจับบุตรชายข้า ก็ต้องจับข้าไปด้วย!”
ผู้ใหญ่บ้านเป่ยโหลวฝางเองก็ก้าวเข้ามา “ใต้เท้า คุณหนูโค่วปลอดภัยเป็นความปรารถนาของชาวเป่ยโหลวฝางเรา ไม่ใช่เรื่องของหนุ่มน้อยคนหนึ่ง”
เซียวเหลิ่งสือสีหน้าดำทะมึนถึงขีดสุด “เจ้าเป็นถึงผู้ใหญ่บ้านเป่ยโหลวฝาง ไม่กล่อมให้ชาวบ้านอยู่ในความสงบใช้ชีวิตกันไป แต่กลับร่วมมือกับนักเรียนผู้นี้ก่อเรื่อง คิดว่ากฎหมายไม่ลงโทษคนหมู่มากหรือ ทางการทำอันใดพวกเจ้าไม่ได้หรือ ทหาร นำตัวตาแก่นี้ไปด้วย!”
เห็นผู้ใหญ่บ้านเป่ยโหลวฝางถูกจับ ชาวบ้านก็ตกใจลนลาน แต่มีคนตะโกนกันมากยิ่งขึ้น
“อย่าจับผู้ใหญ่บ้านเราไป!”
“คุณหนูโค่วช่วยคนไว้มากมาย บารมียิ่งใหญ่ เหตุใดต้องจับกุมนาง”
เห็นกลุ่มคนเริ่มเคลื่อนไหว สถานการณ์เริ่มไร้การควบคุม เซียวเหลิ่งสือก็ออกคำสั่ง ทหารกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินพากันชักดาบยาวออกมา
ยามนี้ก็เริ่มพลบค่ำแล้ว แสงทองบนท้องฟ้าเริ่มทอประกายสุดท้ายก่อนลาลับ ดาบยาวในมือทหารกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินส่องประกายวาววับ
กลุ่มคนพลันสงบลง
ล้วนเป็นชาวบ้านธรรมดาสามัญที่ไม่เคยเห็นสภาพการณ์กดดันเช่นนี้มาก่อน
พวกเขาย่อมกลัว พากันถอยกรูดอย่างไม่รู้ตัว แต่กลับไม่ยอมไม่จากที่นี่ เห็นกู่อวี้กับผู้ใหญ่บ้านเป่ยโหลวฝางถูกนำตัวไป ก็ได้แต่โมโหแต่ไม่กล้าเอ่ย
มารดากู่อวี้เดินไล่ตามหลังทหารกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินที่มีท่าทีดุดันไป แต่ถูกกู่อวี้กล่อมไว้
“ท่านแม่ ท่านรักษาตัวให้ดี ข้าอยู่ข้างในจึงจะสบายใจ”
“อวี้เอ๋อร์…” มารดากู่อวี้สะอื้นไห้ในลำคอ แต่ไม่หลั่งน้ำตา
กู่อวี้เผยรอยยิ้มปลอบใจให้มารดาตน จากนั้นก็ถูกทหารกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินผลักทีหนึ่ง
“รีบไป!”
ตอนเซียวเหลิ่งสือเดินเข้าไป ลูกน้องคนสนิทก็ถามขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า “ใต้เท้า ชาวบ้านมากมายมาออกันด้านนอก จะไม่เกิดเรื่องใดกระมัง”
เซียวเหลิ่งสือแค่นเยาะ “จะมีเรื่องอันใดได้ ไม่เคยเห็นดาบยาวชักออกจากฝัก หมู่นกกาก็สงบเสงี่ยมหรือ หรือว่าจะรวมตัวกันค้างคืนนอกประตู รอให้ฟ้ามืดก็คงสลายตัวไปกันเอง”
ชาวบ้านพวกนี้เป็นอย่างไร เขารู้กระจ่างอย่างยิ่ง
มีพระราชโองการดำรัสจากฮ่องเต้ว่าห้ามลงทัณฑ์คุณหนูโค่วก็เหมือนโดนมัดมือมัดเท้าทำงานไม่ได้แล้ว ยังมีชาวบ้านกลุ่มนี้ออกมากดดันอีก ช่างน่าขันสิ้นดี!
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ลูกน้องก็เข้ามารายงาน “ใต้เท้า คนนอกประตูสลายตัวไปไม่น้อยแล้ว”
เซียวเหลิ่งสือหัวเราะ
เขาก็รู้ว่าชาวบ้านพวกนี้ยืนหยัดกันได้ไม่นาน
หนึ่งชั่วยามผ่านไป
“ใต้เท้า หลายคนที่จากไปกลับมาอีกแล้ว ยังนำผ้าห่มที่นอนมาด้วย”
เซียวเหลิ่งสือ “?”
“ใต้เท้า ทำอย่างไรดี”
“ช่างพวกเขา!”
เดิมการขับไล่ด้วยกำลังเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่รวดเร็วที่สุด แต่คนมากเกินไป เกิดเหตุจลาจลได้ง่าย
มีเตียงดีๆ ไม่นอน จะมานอนบนถนนตากน้ำค้าง?
เขาไม่เชื่อว่าคนพวกนี้ล้วนเสียสติ
แต่ยามนี้ท้องถนนใต้ท้องฟ้าดวงดาวพราวระยิบ คนแก่และเด็กถูกกล่อมให้กลับไป คนอื่นกลับนิ่งเงียบยืนหยัดต่อ
มีคนพักอยู่ละแวกนั้นใจดีออกมากล่อม แต่คนถูกกล่อมกลับส่ายหน้า
“พวกเราไม่ไป ฤดูหนาวเดือนสิบสองพวกข้าไร้บ้านกลับ วันนั้นคุณหนูโค่วส่งเสื้อบุฝ้ายมาให้ ตอนนี้ก็ต้นฤดูร้อนแล้ว ค้างบนถนนสักคืนก็ไม่นับว่ากระไรนัก”
ตอนนี้ก็ควรให้พวกเขาได้มอบ ‘เสื้อบุฝ้าย’ คืนให้คุณหนูโค่วแล้ว