สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 240 แนะนำตนเอง
ตอนที่ 240 แนะนำตนเอง
ได้ยินเสียงรายงานของขันที ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ตรัสกับองค์หญิงใหญ่เจาหยางว่า “น้องพี่ พารุ่ยเอ๋อร์กับฝูเอ๋อร์ไปพักที่ตำหนักข้างก่อน”
องค์หญิงใหญ่เจาหยางปฏิเสธสีหน้าบึ้งตึง “หม่อมฉันจะอยู่ที่นี่ อยากดูนักว่าเจ้าเซียวเหลิ่งสือเป็นคนเช่นไร”
นางเข้าใจความคิดเสด็จพี่ดี ตอนเฝิงเหนียนและเซียวเหลิ่งสือสองคนนี้ถูกตำหนิ หากนางอยู่ด้วย ก็แสดงให้เห็นชัดว่านางเป็นคนฟ้อง ให้นางหลบไปก็เพื่อตัวนางเอง
แต่ครั้งนี้ นางตัดสินใจของทำตามใจตนเองสักครั้ง
เมื่อก่อนนางให้ความเมตตาต่อคุณหนูโค่วอย่างไม่เปิดเผยนัก ทำให้ตอนคนเหล่านี้ทำร้ายคุณหนูโค่วไม่คิดไว้หน้าองค์หญิงใหญ่เช่นนาง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รู้ว่าน้องสาวกำลังโมโห เห็นนางไม่ยอมไปหลบก็ไม่ได้บังคับ ส่งสัญญาณให้ขันทีนำตัวทั้งสองคนเข้ามา
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมองค์หญิงใหญ่”
ผู้บัญชาการกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินเฝิงเหนียนกับเซียวเหลิ่งสือเดินตามกันเข้ามา ถวายบังคมนอบน้อม
องค์หญิงใหญ่เจาหยางอยู่ด้วย ทำให้เซียวเหลิ่งสือรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
ตอนเห็นคุณหนูโค่วสลบไปต่อหน้าผู้คน เขาก็รู้ว่าอาจจะมีความยุ่งยากตามมา เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะเร็วถึงเพียงนี้ ยิ่งคิดไม่ถึงองค์หญิงใหญ่เจาหยางจะออกหน้าแทนคุณหนูโค่วถึงขั้นนี้
หากจะบอกว่านึกเสียใจภายหลัง เซียวเหลิ่งสือไม่คิด
ผู้ต้องสงสัยที่เข้ามาในกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน ไม่ลงทัณฑ์สอบสวน หรือว่าให้ต้อนรับกินดีอยู่ดี สอบความจริงออกมาได้สิแปลก!
“ผู้บัญชาการเซียว” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสเรียกสุรเสียงนิ่งเรียบ
“พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้จ้องมองเขา “เจ้าลงทัณฑ์คุณหนูโค่ว?”
เฝิงเหนียนที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ ได้ยินเช่นนี้ ในใจก็ด่าเซียวเหลิ่งสือแทบจมดิน
เขาถูกเจ้านี่วางยาแล้ว!
ในสถานการณ์ยามนี้ เซียวเหลิ่งสือย่อมไม่กล้าปิดบัง “พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตบโต๊ะดัง “เราบอกว่าอย่างไร เจ้าหลอกลวงเบื้องสูงหรือ”
‘หลอกลวงเบื้องสูง’ คำนี้ตรัสออกมา เซียวเหลิ่งสือหลั่งเหงื่อเย็นท่วมแผ่นหลังเปียกอย่างเห็นได้ชัด รีบหมอบลงกับพื้นแก้ตัวว่า “ตอนกระหม่อมได้รับราชโองการก็ปฏิบัติต่อคุณหนูโค่วอย่างมีมารยาทยิ่งแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านั้น เพื่อเร่งให้นางบอกที่อยู่ของท่านซงหลิงออกมา จึงได้ลงแส้ไปสองที…”
องค์หญิงใหญ่เจาหยางแค่นเยาะ ถามขึ้นว่า “เจ้ามีหลักฐานหรือว่าคุณหนูโค่วรู้ที่อยู่ของท่านซงหลิง?”
เซียวเหลิ่งสือนิ่งเงียบ
หากมีหลักฐาน เขาก็คงลงทัณฑ์ทรมานบีบถามที่อยู่ท่านซงหลิงแล้ว ก็คงไม่มาคุกเข่าโดนด่าอยู่ที่นี่แล้ว
“ไม่มีหลักฐาน แต่กลับลงทัณฑ์คุณหนูที่มีใจเมตตา ชื่อเสียงใจกุศลก้องไกล เจ้าช่างทำให้ชื่อเสียงบารมีกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินยิ่งใหญ่เกรียงไกรเสียจริง”
วาจาเสียดสีขององค์หญิงใหญ่เจาหยางทำให้สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ยิ่งย่ำแย่ “ผู้บัญชาการเป่ยเจิ้นฝูสื่อเฮ่อไม่อยู่ เราให้เจ้ามาดูแลสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือชั่วคราวก็เพราะเชื่อความสามารถของเจ้า ไม่ใช่ให้เจ้าลงทัณฑ์ทรมานเหลวไหล ทำลายชื่อเสียงราชสำนัก”
“กระหม่อมมีโทษสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ” ในใจเซียวเหลิ่งสือกระจ่างดีว่า ยามเผชิญหน้ากับโทสะของฮ่องเต้ การแก้ตัวก็รังแต่จะเป็นดังการราดน้ำมันลงบนกองไฟ ไม่สู้ขอรับผิดแต่โดยดี
“เจ้าทำให้เราผิดหวังจริงๆ” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสสุรเสียงเยียบเย็นจบก็ลงโทษเซียวเหลิ่งสือ
ปลดเซียวเหลิ่งสือจากตำแหน่งเจิ้นฝูสื่อ โบยสามสิบไม้นอกประตูอู่เหมิน
เซียวเหลิ่งสือถูกลากตัวออกไปด้วยสีหน้าซีดเผือด ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มองไปทางผู้บัญชาการกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินเฝิงเหนียน
สีหน้าเฝิงเหนียนเองก็ไม่ได้ดีสักเท่าใด พอสบพระเนตรฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ ก็รีบขอรับผิด “กระหม่อมแนะนำคนผิด ขอฝ่าบาททรงลงอาญาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เขาหมอบคุกเข่ากับพื้น พอขอให้ลงอาญาแล้วก็มีแต่ความเงียบงัน
ความเงียบของฮ่องเต้เป็นความยาวนานอย่างที่สุด ราวกับถูกภูผาใหญ่กดทับจนหายใจไม่ออก
เฝิงเหนียนนึกถึงกู้ชางป๋อ นึกถึงรองเจ้ากรมเผย นึกถึงเซียวเหลิ่งสือที่เพิ่งถูกลากตัวออกไปโบย
เขาไม่ได้มั่นใจในตนเองจนคิดว่าแค่แนะนำคนบกพร่องก็จะไม่มีเรื่อง มีตัวอย่างเหตุการณ์ที่กู้ชางป๋อเข้าวังดื่มสุรากับฮ่องเต้แล้วถูกจับออกไปโบยจนตายก่อนหน้านี้ ความคิดราชันยากคาดเดา ผู้ใดจะรู้ว่าจะมีผลลัพธ์เช่นไร
ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใด เหนือศีรษะในที่สุดก็มีสุรเสียงทรงอำนาจดังขึ้น “ผู้บัญชาการเฝิงแนะนำคนให้เราครั้งนี้ผิดจริงๆ ตอนนี้ตำแหน่งสำนักหนานเจิ้นฝู่ซือว่างลง สำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือไม่มีคนคุม ผู้บัญชาการเฝิงมีข้อเสนออันใดหรือไม่”
ได้ยินคำถามฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ สีหน้าเฝิงเหนียนก็ดำคล้ำ
แนะนำคนมาดูแลสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือชั่วคราวทำให้เกิดความยุ่งยากใหญ่เพียงนี้ ตอนนี้ให้เขาแนะนำมาดำรงตำแหน่งสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือชั่วคราวไม่ว่า ยังต้องแนะนำคนให้สำนักหนานเจิ้นฝู่ซือ?
ต้องการเอาชีวิตเขาหรืออย่างไร
เฝิงเหนียนลังเลเป็นนาน จำต้องทูลว่า “ทูลฝ่าบาท รองนายกองพันเหยียนเชาประจำสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือมาหลายปี คุ้นเคยการทำงานในนั้น เป็นลูกน้องคนสนิทของผู้บัญชาการเฮ่อ กระหม่อมคิดว่าให้เขาคุมสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือชั่วคราวนับว่าเหมาะสม…”
การแนะนำคนสนิทของเฮ่อชิงเซียวต่อฮ่องเต้ อย่าได้เอ่ยว่าในใจเฝิงเหนียนอัดอั้นตันใจเพียงใด
เขาเป็นผู้บัญชาการกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน แต่กลับไม่อาจควบคุมสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือ เรื่องที่ฮ่องเต้สั่งการสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือดำเนินการก็ปิดบังเขามิดชิด เขาทนรับมานานหัวหดเช่นนี้มานานแล้ว จึงได้ถือโอกาสตอนเฮ่อชิงเซียวไม่อยู่เมืองหลวงแนะนำเซียวเหลิ่งสือ ก็เพราะคิดว่าหากเซียวเหลิ่งสือดำรงตำแหน่งในสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือได้มั่นคง รอเฮ่อชิงเซียวกลับมาไม่แน่ก็อาจจะถูกย้ายไปแล้ว
ทำอย่างไรได้ เซียวเหลิ่งสือไม่เอาไหน หากเขาเสนอคนไปแล้วไม่ได้เรื่องอีก ก็ถือว่าหาเรื่องใส่ตนเองโดยแท้ ได้แต่ทำไม่รู้ไม่ชี้แนะนำคนของเฮ่อชิงเซียวแล้ว
หากคนของเฮ่อชิงเซียวทำงานไม่ดี ยามฮ่องเต้ทรงกริ้วก็จะมีเฮ่อชิงเซียวรับอยู่ด่านหน้า
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พยักพระพักตร์เล็กน้อย นับว่ายอมรับคำเสนอของเฝิงเหนียน
เห็นฮ่องเต้ยังทรงทอดพระเนตรรอเขาอยู่ ในใจเฝิงเหนียนก็ได้แต่ร้องโอดโอย
เลือกคนให้สำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซืออย่างไรก็แค่ชั่วคราว สำนักหนานเจิ้นฝู่ซือกลับเป็นเรื่องน่าปวดหัวยิ่งกว่า ผู้บัญชาการสำนักหนานเป่ยเจิ้นฝูสื่อแห่งกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน ก็เป็นบุคคลที่ทำให้บรรดาขุนนางและชนชั้นสูงจับตามอง
“กระหม่อม…”
เฝิงเหนียนกำลังคิดหาคำปฏิเสธ ข่งรุ่ยก็พลันเอ่ยขึ้นก่อน “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมขอแนะนำตนเองดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักหนานเจิ้นฝู่ซือ”
ข่งรุ่ยเอ่ยเช่นนี้ ทำเอาทุกคนในที่นั้นต่างตกใจ
“รุ่ยเอ๋อร์!” องค์หญิงใหญ่เจาหยางสีหน้าไม่อยากเชื่อ
ชาติกำเนิดเช่นข่งรุ่ย ดำรงตำแหน่งโหวโดยไม่ต้องทำงานใดได้ และก็หางานราชการมาทำได้ องค์หญิงใหญ่เจาหยางเคยถามบุตรชายว่าอยากทำอันใด ข่งรุ่ยบอกว่าชอบสำนักหนานเจิ้นฝู่ซือกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินมาก
นางคิดว่าบุตรชายพูดไปอย่างนั้น!
“ท่านแม่ฟังข้าพูดก่อน” ยามเผชิญกับสายตาตกใจของมารดาตนเองกับฮ่องเต้ผู้เป็นลุงของเขา ข่งรุ่ยสุขุมนิ่งอย่างมาก “สำนักหนานเจิ้นฝู่ซือดูแลช่างทหารในกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน รับหน้าที่ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ พอดีข้าเองก็สนใจด้านนี้ ข้ามั่นใจว่าจะดำรงตำแหน่งนี้ได้ดี ขอให้ท่านลุงทรงมอบโอกาสให้ข้าสักครั้ง”
สำนักหนานเจิ้นฝู่ซือนอกจากมีหน้าที่ดำรงกฎวินัยของกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน ยังมีหน้าที่ยิ่งใหญ่ก็คือดูแลช่างทหารและผลิตอาวุธ
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ทรงรับปากคำขอของหลานชาย
“เสด็จพี่!” องค์หญิงใหญ่เจาหยางร้อนใจ
กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินชื่อเสียงไม่ดี นางไม่อยากให้บุตรชายเข้าไปคลุกน้ำครำนี้
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กลับยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเหมาะสม “รุ่ยเอ๋อร์โตแล้ว ก็ควรหางานให้ทำได้แล้ว พอดีตำแหน่งสำนักหนานเจิ้นฝู่ซือกำลังว่าง เขาก็ชอบ ก็ให้เขาไปลองดูก็แล้วกัน ผู้บัญชาการเฝิง เจ้าว่าอย่างไร”
เฝิงเหนียน “…” นี่คิดจะเอาเรื่องเสนอแนะคนมาลงศีรษะเขาให้ได้หรือ
“ท่านโหวสุขุมมีปัญญา ดำรงตำแหน่งสำนักหนานเจิ้นฝู่ซือย่อมเหมาะสมอย่างที่สุด”
กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินถือเป็นกำลังส่วนพระองค์ ไม่ว่าการเลื่อนตำแหน่งหรือปลดจากตำแหน่งล้วนไม่ต้องผ่านกรมปกครอง ไม่นานขุนนางทุกคนก็รู้ความเคลื่อนไหวใหญ่สองเรื่องเกี่ยวกับกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน หนึ่ง เซียวเหลิ่งสือผู้บัญชาการสำนักหนานเจิ้นฝู่ซือถูกโบยและปลดจากตำแหน่ง สอง บุตรชายองค์หญิงใหญ่เจาหยาง จิ้งอันโหว ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักหนานเจิ้นฝู่ซือคนใหม่
ข่าวสองข่าวนี้มารวมกัน ยากจะทำให้บรรดาขุนนางเกิดความคิดประหลาดเหลวไหลแต่ก็สมเหตุสมผลขึ้นมา องค์หญิงใหญ่เจาหยางไม่ต้องการให้กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินไปหาเรื่องยุ่งยากกับคุณหนูโค่วอีก ถึงกับให้บุตรชายไปดำรงตำแหน่งในกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน!