สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 253 ลงทัณฑ์สอบ
ตอนที่ 253 ลงทัณฑ์สอบ
กู้ชางป๋อสังหารฮองเฮากับพวกกรมคลังรองเจ้ากรมเผยโกงกินสังหารชาวบ้าน สองคดีใหญ่นี้จบลงอย่างสะเทือนเลือนลั่น ผู้ที่ต้องโทษเนรเทศออกเดินทางแล้ว พวกที่ไม่ได้ส่งไปสำนักทาสหลวงก็เริ่มได้รับการไถ่ถอนตัวไปแล้ว แม้พวกที่ถูกตัดสินประหารชีวิตต้องรอถึงฤดูใบไม้ร่วง แต่อย่างไรเรื่องเกี่ยวข้องถึงชีวิตก็เป็นโทษหนัก เทียบกับสองประเภทแรกแล้วก็จะช้ากว่าสักหน่อย แต่จะช้าอย่างไร วันนั้นก็ย่อมมาถึง
วันประหารวันนั้นแสงตะวันเจิดจ้า สถานที่ประหารอยู่ทางตะวันตกของเมืองหลวง
ครั้งนี้คนต้องโทษประหารมีมาก คาดว่าต้องประหารติดกันสองสามวันจึงจะตัดศีรษะได้หมด
เริ่มจากพวกรองเจ้ากรมเผยก่อน
ซินโย่วตั้งใจไปดูการประหารโดยเฉพาะ พบว่าลานประหารมีชาวบ้านมามุงดูกันแน่นขนัด ถึงกับยังมีเด็กน้อยวิ่งหัวเราะยิ้มแย้มมาดูด้วย
“คุณหนูโค่ว”
ซินโย่วหันไปพร้อมกับอดเผยรอยยิ้มไม่ได้ “คุณหนูจูก็มาด้วยหรือ”
คนที่ส่งเสียงเรียกนางก็คือจูเสี่ยวเยวี่ย บุตรีเซียงเซิน[1]ตำบลไท่ผิง
ในฐานะพยานคนสำคัญของคดีโกงกินคดีใหญ่นี้ จูเสี่ยวเยวี่ยกับเว่ยฉางชิงบุตรชายจู่ปู้อำเภอเป่ยเฉวียน หลังจากเป็นพยานในศาลแล้วได้เข้าพักในที่พักทางการ ได้รับการคุ้มครอง ตั้งแต่นั้นมาครั้งนี้ถือเป็นการพบกันครั้งแรกของทั้งสองคน
สีหน้าจูเสี่ยวเยวี่ยมิได้แสดงความห่างเหิน แต่กลับสนิทสนมเป็นพิเศษ
ยามความแค้นใหญ่หลวงได้รับการชำระ อารมณ์หลากหลาย รวมทั้งความตื่นเต้นที่ยากระงับก็ปล่อยวางลง
“ได้พบคุณหนูโค่วช่างดีจริง ข้ายังคิดว่ารอให้ดูการประหารจบ ก็จะไปเยือนที่เรือนคุณหนูโค่วเพื่อกล่าวขอบคุณ…” จูเสี่ยวเยวี่ยกุมมือซินโย่วไว้
“คุณหนูจูมิต้องเกรงใจเช่นนี้ พบเจอกับเรื่องเช่นนี้ ผู้ใดก็ย่อมมิอาจนิ่งดูดายได้”
“ไม่ใช่…” เห็นสายตาของซินโย่วแล้ว จูเสี่ยวเยวี่ยก็มิได้พูดต่อ
ที่นี่มิใช่สถานที่พูดคุยจริงๆ
“ประหาร!”
เสียงผู้คุมการประหารออกคำสั่ง ผู้คนก็พากันส่งเสียงดัง
ซินโย่วกับจูเสี่ยวเยวี่ยถูกกระแสผู้คนเบียดไปมา อย่าว่าแต่มองดูศีรษะคนชั่วตกลงพื้น ไม่ถูกเบียดรองเท้าหลุดก็ไม่เลวแล้ว
“คุณหนูโค่ว พวกเราไปตรงนั้นกัน!” จูเสี่ยวเยวี่ยดึงซินโย่วเบียดตัวออกจากฝูงชน วิ่งออกห่างไป
พอหยุดลง นางก็ส่ายหน้าไปมา “คนมากมายจริง คนเมืองหลวงชอบดูเรื่องครึกครื้นกันใช่หรือไม่”
ซินโย่วกระดกมุมปาก “คนเมืองหลวงชอบดูเรื่องครึกครื้นจริง”
หอบหายใจกันได้พักหนึ่ง คนที่บุกไปแถวหน้าแต่ใจไม่กล้าพอไม่น้อย พอเห็นศีรษะร่วงลงพื้นจริงก็ตกใจผงะถอยหลังหลายก้าว ทำให้ทั้งสองคนมีช่องว่างได้เห็นศีรษะกลิ้งลงพื้น
สีหน้าจูเสี่ยวเยวี่ยนิ่งจริงจัง จ้องมองกำแพงมนุษย์ด้านหน้าหลายชั้น น้ำตารินไหลเป็นทาง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ บุตรสาวแก้แค้นให้พวกท่านแล้ว พวกท่านเห็นหรือไม่เจ้าคะ”
ซินโย่วมองสาวน้อยหลั่งน้ำตาเงียบๆ ไม่ได้ส่งเสียงรบกวน
ทุกครั้งที่เห็นจูเสี่ยวเยวี่ย คล้ายว่านางได้เห็นตนเองอีกคน
ทั้งสองคนยืนอยู่เป็นนาน นานจนคนมุงดูทนกลิ่นคาวโลหิตไม่ไหวพากันจากไป ไม่มีผู้คนเบียดเสียดกันอีก
ลานประหารโลหิตไหลนองคล้ายดังขุมนรกบนโลกมนุษย์ แม้แต่ผู้คุมการประหารที่เห็นมาจนชินตาก็ยังมีสีหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ มือของเพชฌฆาตกุมดาบก็อดสั่นเทาไม่ได้
จูเสี่ยวเยวี่ยสีหน้าขาวดังหิมะ เบือนหน้าหนีไปอาเจียนออกมา
ซินโย่วส่งผ้าเช็ดหน้าให้นาง
จูเสี่ยวเยวี่ยรับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมุมปากพร้อมกับกล่าวขออภัยอย่างเก้อเขิน “ทำให้คุณหนูโค่วเสียบรรยากาศแล้ว รู้สึกขออภัยจริงๆ…”
ซินโย่วดึงมือนางเดินออกมาไกลอีกหน่อย “ที่ควรดูก็ได้ดูแล้ว กลับกันเถอะ”
จูเสี่ยวเยวี่ยพยักหน้าเล็กน้อย
เดินไปหยุดที่รถม้าริมทาง ซินโย่วถามขึ้นว่า “คุณหนูจู จากนี้คิดทำอันใดต่อ อยู่เมืองหลวงต่อ หรือกลับบ้านเกิด”
จูเสี่ยวเยวี่ยยิ้มเฝื่อน “ที่บ้านไม่มีคนอยู่แล้ว คงไม่กลับไปแล้ว เจ้ากรมตรวจสอบเหอบอกว่าหางานให้ข้าทำได้ ข้า…”
นางลังเลเล็กน้อย ก่อนเงยหน้าสบตาซินโย่ว เดิมยังรู้สึกเขินอายที่จะกล่าวความในใจออกมา “ข้าดูแล้วใต้เท้าเหอไม่ค่อยมีเงินเท่าไร งานราชการก็ยุ่ง ไม่ค่อยอยากรบกวน…”
อีกอย่าง นางเป็นหญิงสาวตัวคนเดียว ไม่อยากใกล้ชิดกับชายที่มิใช่ญาติมิตรมากนัก
“คุณหนูโค่ว ไม่ทราบว่าร้านเจ้าต้องการคนหรือไม่…” จูเสี่ยวเยวี่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าแดงเล็กน้อย
อยู่เมืองหลวงมาหลายวันนี้ นางจึงได้รู้ว่าคุณหนูโค่วที่รับนางไว้มีชื่อเสียงและมีร้านค้ามากมายเพียงใด
“ข้าทำได้ทุกอย่าง ข้าทนลำบากได้…”
“คุณหนูจูถนัดทำสิ่งใด”
“ถนัด?” จูเสี่ยวเยวี่ยนิ่งอึ้งไปทันที ลังเลครู่หนึ่งก็กล่าวตามตรงว่า “ข้าถนัดดีดลูกคิด บัญชีร้านค้าที่นาของที่บ้านล้วนมอบให้ข้าดูแล…”
“ร้านหนังสือชิงซงมีงานมากมาย ผู้ดูแลร้านทำงานหนักมาก คุณหนูจูไปช่วยงานได้”
จูเสี่ยวเยวี่ยตกใจ “ข้า ข้าได้หรือ”
ตั้งแต่นางเรียนดีดลูกคิด บิดานางเคยกล่าวว่า งานบัญชีสำคัญไม่น้อยกว่างานอื่น ล้วนต้องใช้คนกันเอง
“แน่นอนว่าได้ คุณหนูจูทำงานที่ตนเองถนัด ยังได้ช่วยข้าลดความยุ่งยากที่ต้องหาผู้ช่วยให้ผู้ดูแลร้านหู สองฝ่ายล้วนได้ประโยชน์”
“คุณหนูโค่ว…” จูเสี่ยวเยวี่ยพึมพำก่อนจะลงคำนับซินโย่วกะทันหัน
ซินโย่วดึงนางขึ้นมา ให้นางนั่งรถม้าไปด้วยกัน
พอเข้าไปในรถม้า จูเสี่ยวเยวี่ยก็รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น เอ่ยขึ้นเบาๆ “ความจริงราชสำนักให้เงินชดเชยข้าไม่น้อย ใต้เท้าเหอเป็นห่วงว่าข้าตัวคนเดียวออกไปทำงานจะถูกคนดูแคลนได้ง่าย จึงช่วยข้าทำทะเบียนเจ้าบ้านหญิง[2]เรียบร้อยแล้ว คิดว่าจะอยู่ในเมืองหลวงให้มั่นคงสักสองสามปีก่อนค่อยว่ากัน”
ซินโย่วเข้าใจแล้ว ตอนนี้คุณหนูจูไม่ได้ขาดแคลนเงิน แต่เป็นสถานที่กำบังลมฝน
ขณะที่พูดคุยกันก็ถึงร้านหนังสือชิงซง
เห็นซินโย่วเข้ามา หลิวโจวก็ดีใจเป็นพิเศษ “ท่านเจ้าของร้าน ท่านไม่ได้มาร้านหลายวันแล้ว”
ผู้ดูแลร้านหูเองก็รีบเข้ามาคุย
ยามนี้ในโถงร้านหนังสือไม่มีลูกค้า ซินโย่วเอ่ยออกไปตรงๆ “ผู้ดูแลร้าน หลิวโจว พวกเจ้ายังจำคุณหนูจูได้กระมัง”
“ได้ ได้ คดีนั่น…” หลิวโจวเอ่ยขึ้น
คดีผู้แทนพระองค์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทุจริตงบประมาณ คุณหนูจูผู้นี้เป็นพยาน สร้างชื่อเสียงไม่น้อย
ซินโย่วรับคำเอ่ยต่อว่า “ตอนนี้คดีจบแล้ว คุณหนูจูอยากหางานทำ นางถนัดงานบัญชี ข้าคิดแล้วก็รู้สึกว่าพอเหมาะพอดี หลายวันก่อนผู้ดูแลร้านบอกว่าจะหาผู้ช่วย จึงได้ให้คุณหนูจูมาลองดู”
ผู้ดูแลร้านหูอดมองจูเสี่ยวเยวี่ยทีหนึ่งไม่ได้
เดิมผู้ช่วยจดบัญชีนี้เขาคิดจะหาคนจากร้านหนังสือ อย่างไรก็เป็นคนที่ไว้ใจได้ ดูท่าเจ้าของร้านให้ความสำคัญกับคุณหนูจูท่านนี้มาก
ผู้ดูแลร้านหูจึงต้อนรับจูเสี่ยวเยวี่ยอย่างสนิทสนมขึ้นทันที
ฟางหมัวมัวไปตรวจบัญชีที่ร้านอื่นแล้ว ซินโย่วให้เสี่ยวเหลียนจัดห้องพักให้จูเสี่ยวเยวี่ย จากนั้นก็กลับจวนรองเจ้ากรม
คืนนี้นางต้องเตรียมเสื้อผ้าสำหรับวันพรุ่งนี้ เสื้อผ้าที่จะสวมใส่ตระเตรียมเสร็จแล้ว ก่อนจะตรวจอีกครั้ง
เสี่ยวเหลียนมองดูอยู่ก็รู้ว่าพรุ่งนี้ ‘ท่านซงหลิง’ จะปรากฏตัวแล้ว
“เสี่ยวเหลียน คำพูดข้า เจ้าจดจำได้หมดแล้วหรือยัง”
เสี่ยวเหลียนพยักหน้า “จดจำได้แล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี พรุ่งนี้ข้าออกไป เกรงว่าคงกลับมาช้า ทางเรือนหว่านฉิงก็ต้องอาศัยเจ้าดูแลให้อยู่ในความสงบแล้ว”
“คุณหนูวางใจ บ่าวจะทำตามที่คุณหนูสั่งการเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหลียนปากเอ่ยรับรอง แต่ในใจกลับตื่นเต้นไม่มั่นใจ
ไม่ใช่ตื่นเต้นเพราะไม่วางใจการจัดการของซินโย่ว แต่หวาดหวั่นกับเรื่องที่ไม่รู้
คุณหนูแต่งกายเป็นชายไม่ได้ไปทำเรื่องร้าย ไม่ได้ไปทำการค้า แต่ไปสนทนากับโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบัน!
กล่าวตามตรง นางไม่กล้าแม้แต่จะคิดมาก แต่พอคิดแล้วก็นอนไม่หลับ
[1] ผู้มีความรู้ ผู้มีคุณธรรมหรือผู้ที่เคยเป็นขุนนางเป็นที่ยกย่องของคนในหมู่บ้านนั้นๆ
[2] บ้านที่ไม่มีผู้ชายเป็นเจ้าบ้าน