สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 256 เข้าวังเข้าเฝ้า
ตอนที่ 256 เข้าวังเข้าเฝ้า
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท” เฮ่อชิงเซียวเข้ามาก็ถวายบังคมนอบน้อม
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรชายหนุ่มที่คุกเข่าลงข้างหนึ่งทีหนึ่ง พระสุรเสียงนิ่งเรียบตรัสขึ้น “ชิงเซียวมีธุระหรือ”
เขาค่อนข้างพอใจกับการทำงานของเฮ่อชิงเซียวที่ติ้งเป่ย แต่การหาบุตรชายผู้นั้นของเขาไม่พบเสียที ทำให้ความไม่พอพระทัยของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เริ่มก่อตัวสั่งสม หากไม่ใช่ว่าระยะนี้ยุ่งกับการสอบสวนสองคดีใหญ่ จากนั้นยังต้องคุมการลงโทษ ก็คงสำแดงพระราชอำนาจกดดันเขาแล้ว
“ทูลฝ่าบาท วันนี้ลูกน้องกระหม่อมได้พบคนที่ต้องสงสัยว่าเป็นคุณชายซินแถวลานประหาร”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ผุดลุกขึ้นทันที “เขาอยู่ที่ใด”
“อยู่ที่สำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือ”
“แน่ใจว่าเป็นเขา?” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พระทัยเต้นแรง ทรงรู้สึกประหลาดใจระคนยินดีกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ แต่ก็ไม่กล้าจะเชื่อทั้งหมด
เผชิญหน้ากับฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ที่ร้อนพระทัย เฮ่อชิงเซียวยังคงสุขุมนิ่ง “หลังจากการสอบถามของกระหม่อม เขายอมรับว่าเป็นคุณชายซินและ…”
“และอะไร” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสถามขึ้นอย่างทนรอไม่ไหว
เฮ่อชิงเซียวหลุบตาลง “เขายอมรับว่าเป็นท่านซงหลิง”
คุณชายซินก็คือท่านซงหลิง ผลลัพธ์เช่นนี้ไม่เพียงแต่ไม่ได้ทำให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้สงสัย แต่กลับทรงรู้สึกว่าสมเหตุสมผล
หากท่านซงหลิงไม่ใช่คุณชายซิน จะอธิบายประเด็นในนิยายที่เขาเขียนไว้ได้อย่างไร ซินซินเก็บซ่อนตัวจากสังคม เขาจะรู้เรื่องที่ซินซินเคยเล่าถึงบ้านเดิมอยู่เขาฮวากั่วและเรื่องศิลาเซียนพวกนี้ได้อย่างไร มีเพียงท่านซงหลิงเป็นคุณชายซิน เป็นบุตรชายของเขากับซินซิน ทุกอย่างจึงอธิบายได้กระจ่าง
อาจเพราะค้นหามานานเกินไป ร้อนใจมานานเกินไป ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ยังคงรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องจริง “เขาเหมือนกับภาพวาดกี่ส่วน ตามชาวบ้านบนเขาที่เคยพบเขามายืนยันแล้วหรือยัง ไม่ได้ลงทัณฑ์สอบใช่ไหม”
คำถามฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เป็นชุด เฮ่อชิงเซียวตอบที่ละคำถาม “เหมือนคุณชายซินในภาพวาดสิบส่วน กระหม่อมถามสถานะเขาแล้วก็ร้อนใจรีบมาทูลรายงานฝ่าบาท ยังไม่ได้ตามชาวบ้านบนเขามายืนยัน…”
“ยังไม่ได้ให้ชาวบ้านบนเขามายืนยัน?” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ขมวดพระขนงแน่น คล้ายเกรงว่าจะสิ่งที่ได้มาจะสูญเสียไป “ภาพวาดอาจมีผิดพลาดได้ อย่างไรก็ต้องให้ชาวบ้านที่เคยพบเขามายืนยัน จึงจะแน่ใจได้”
“กระหม่อมไตร่ตรองไม่รอบคอบ กระหม่อมจะรีบกลับไปตามชาวบ้านมายืนยัน”
“เดี๋ยวก่อน!” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ลังเล ก่อนตัดสินพระทัย “เราไปกับเจ้า”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เปลี่ยนฉลองพระองค์ มีเพียงมหาขันทีซุนเหยียนติดตามไป ลอบออกจากหวังหลวงไปสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือเงียบๆ
“อยู่ที่ไหน” พอก้าวเข้ามาในสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ตรัสถามเบาๆ
“ฝ่าบาท โปรดตามกระหม่อมมาพ่ะย่ะค่ะ” เฮ่อชิงเซียวนำฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เข้าไปในห้องหนึ่ง กำแพงอีกฟากก็คือห้องที่ซินโย่วอยู่
ในห้องดูแล้วธรรมดาทั่วไป แต่ผ่านการตกแต่งมาเป็นพิเศษ เมื่อมองลอดผ่านช่องลับจะเห็นสภาพห้องของอีกฟากกำแพงได้
เฮ่อชิงเซียวกระซิบทูล “ฝ่าบาท คนผู้นั้นอยู่อีกฟากกำแพงพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้ยินก็สูดลมหายใจลึก ทอดพระเนตรลอดผ่านช่อง ม่านตาอดหดเกร็งไม่ได้
เป็นเด็กคนนั้น!
ตั้งแต่รู้ถึงการมีอยู่ของเด็กคนนั้น ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็เก็บภาพวาดไว้อย่างดี ยามอยู่ลำพังก็จะนำออกมาดูสองสามที กล่าวได้ว่าลักษณะของคนในภาพวาดประทับอยู่ในความทรงจำเขาลึกๆ นานแล้ว
แต่เพราะผ่านคลื่นลมอุปสรรคมามากมายนานัปการ แม้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงตื่นเต้นอย่างที่สุด ก็ยังคงสงบลงอย่างรวดเร็ว รอให้ชาวบ้านบนเขามายืนยัน
ชาวบ้านสี่คนจากหว่านหยางพักอยู่ละแวกสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือ อยู่ภายในการดูแลของกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินมาตลอด ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รอไม่นานก็เห็นหญิงผู้หนึ่งเข้ามาในห้องข้างๆ
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พอจดจำหญิงชาวบ้านผู้นี้ได้
หญิงผู้นี้เห็นซินโย่วนั่งอยู่ในห้อง ก็พลันลืมความตื่นกลัวในใจตอนถูกนำตัวมา ส่งเสียงเรียกอย่างประหลาดใจระคนยินดี “คุณชาย ท่านเองหรือ!”
ซินโย่วมองประเมินหญิงผู้นี้ทีหนึ่งก็จำได้ “ท่านน้ามาเมืองหลวงได้อย่างไร”
หญิงผู้นี้รีบมองไปรอบๆ เห็นว่าทหารกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินที่นำตัวนางมาไม่อยู่ในห้อง ก็ดึงซินโย่ว ไปกระซิบถามว่า “คุณชาย ท่านล่วงเกินผู้ใดใช่หรือไม่”
“ไม่ได้ล่วงเกินผู้ใด ท่านน้าวางใจเถิด”
หญิงผู้นี้ลังเลเล็กน้อย เสียงเบาลงยิ่งกว่าเดิม “หลายเดือนก่อนมีเจ้าหน้าที่นำตัวข้าเข้าเมืองหลวง ตั้งแต่มาก็อาศัยอยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้ว่าเป็นที่ใด ปกติก็ไม่ได้ออกจากที่พัก…”
แม้ว่าชาวบ้านสี่คนผ่านโลกมาน้อย แต่ก็คาดเดาได้ว่าคุณชายที่ช่วยพวกเขาไว้น่าจะก่อเรื่องใหญ่โต เข้าแล้ว
หญิงผู้นี้กระซิบเบาทำให้ไม่ได้ยิน ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้อดมองไปทางเฮ่อชิงเซียวอย่างทนรำคาญไม่ไหวไม่ได้
เขาต้องการเพียงแค่แน่ใจว่าชายหนุ่มในห้องข้างๆ ก็คือเด็กคนนั้น ไม่ได้มาดูพวกเขารำลึกความหลังกัน
เฮ่อชิงเซียวรู้ทันที รีบสั่งการลูกน้องไปห้องข้างๆ นำตัวหญิงผู้นี้ออกไป เปลี่ยนคนอื่นเข้ามา
สี่คนเข้ามาออกกันไปตามลำดับ ปฏิกิริยายามเห็นซินโย่วไม่ต่างกัน
ในที่สุดฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็วางพระทัย กำชับเฮ่อชิงเซียว “อีกสักครู่นำตัวเขาเข้าวังไปเข้าเฝ้าเรา”
กลับถึงวังหลวง ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ถามซุนเหยียน “เขามาแล้ว?”
ซุนเหยียน “…”
สำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือ เฮ่อชิงเซียวเดินเข้าไปในห้องซินโย่วอยู่ “คุณชายซิน ฝ่าบาทให้เจ้าเข้าเฝ้าในวัง”
ซินโย่วพยักหน้าเล็กน้อย
“เมื่อครู่ฝ่าบาทเสด็จมาที่นี่เงียบๆ” เฮ่อชิงเซียวเอ่ยเตือน
ในใจซินโย่วหวั่นไหวเล็กน้อย
คำพูดง่ายๆ แต่ความจริงแฝงข่าวสารมากมาย ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือจะได้คาดเดาท่าทีคนผู้นั้นได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
พอได้ยินว่ามีผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นคุณชายซินก็ถึงกับออกจากวังมาสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือด้วยตนเอง แสดงให้เห็นว่าคนผู้นั้นให้ความสำคัญต่อคุณชายซิน
นับว่าเป็นเรื่องมีประโยชน์ต่อซินโย่วอย่างไม่ต้องสงสัย
กล่าวตามตรง การที่นางเลือกปรากฏตัวในสถานะของคุณชายซิน ก็เพื่อได้รับความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้ จากนั้นก็จะได้ควานหาตัวคนบงการที่อยู่เบื้องหลังการสังหารมารดานาง
“ขอบคุณใต้เท้าเฮ่อ” ซินโย่วกล่าวขอบคุณเบาๆ
การได้ข่าวสารสำคัญทันเหตุการณ์จะทำให้วิเคราะห์และตัดสินใจเลือกได้เหมาะสมยิ่งขึ้น
ทั้งสองคน คนหนึ่งนั่งรถ คนหนึ่งขี่ม้า พอลงจากรถม้าที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้อีก ก็มีขันทีมายืนรออยู่ก่อนแล้ว
“ใต้เท้าเฮ่อ คุณชายท่านนี้ ตามบ่าวมา”
ขันทีนำทางอยู่ด้านหน้า ซินโย่วเดินผ่านประตูวังแต่ละก้าวไปถึงหน้าคนผู้นั้น
ครั้งก่อนที่นางเข้าวัง มาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ด้วยสถานะของคุณหนูโค่ว ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิมอย่างสิ้นเชิง
“ฝ่าบาท ฉางเล่อโหวมาถึงแล้ว” ซุนเหยียนเอ่ยทูลเสียงไม่เบาไม่ดังนัก มุมปากกระตุกเล็กน้อย
หากกล่าวว่าพระทัยราชันยากคาดเดา ฮ่องเต้ก็เสแสร้งเก่งเกินไปแล้ว
ท่าทีสงบนิ่งของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เป็นท่าทีเสแสร้งแท้จริง ความจริงตอนที่ได้พบกับซินโย่วนั้น เขาก็แทบจะบุกเข้าไปจ้องมองตรงหน้าให้กระจ่างชัดแล้ว
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
เฮ่อชิงเซียวลงคุกเข่าคำนับ ทำให้ชายหนุ่มที่ยืนอยู่เด่นเป็นพิเศษ
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรชายหนุ่มนิ่ง เห็นเขาเม้มปากแน่น ยืดอกตัวตรง แววตานิ่งขรึม มองออกว่าเขาไม่ยอมสยบต่ออำนาจ
มีความทนงในแบบฉบับชายหนุ่ม
การค้นพบนี้ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงกริ้ว แต่กลับทำให้เขาทอดถอนใจ
แน่นอนว่าในฐานะผู้ปกครองสูงสุดแห่งราชวงศ์ต้าซย่า ความคิดของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ย่อมเปลี่ยนไปตามความเหมาะสม เห็นชายหนุ่มที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นบุตรชายของเขากับฮองเฮาไม่ยอมสยบต่ออำนาจ เขาก็รู้สึกนึกขัน หากเป็นผู้อื่น ก็คงเท่ากับรนหาที่ตาย
ซินโย่วเองรู้ว่าควรหยุดในจังหวะที่เหมาะสม หลังจากได้แสดงความไม่พอใจพอสมควรแล้วก็คุกเข่าลง
“กระหม่อมซินมู่ ถวายบังคมฝ่าบาท”
ซินมู่…
ในพระทัยฮ่องเต้ซิงหยวนตี้แอบท่องชื่อนี้เงียบๆ มองชายหนุ่มที่ดูไม่เหมือนเขา ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว