สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 258 เข้าสู่สำนักฮั่นหลินย่วน
ตอนที่ 258 เข้าสู่สำนักฮั่นหลินย่วน
ไต้จ้าว
ซินโย่วนึกถึงตำแหน่งนี้ในใจ เลื่อมใสต่อการจัดการของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้
ตำแหน่งนี้ไม่จำเป็นต้องสอบ อาศัยเพียงแค่พระราชทานจากฮ่องเต้ก็เป็นได้ ไม่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของบรรดาขุนนางและยังทรงเกียรติ สะดวกในการเรียกตัวเข้าเฝ้าตลอดเวลา
สำหรับนางก็ถือว่าสะดวก
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
“พระราชทานจวนพักหนึ่งหลัง ทองคำก้อนสิบคู่ เงินก้อนพันตำลึง ผ้า…บ่าวสิบคน…”
พระราชทานเป็นรายการยาว ซินโย่วได้ยินคำว่า ‘บ่าวสิบคน’ ก็พลันนึกถึงเฮ่อชิงเซียว
ใต้เท้าเฮ่อไม่ค่อยมีเงิน คล้ายว่าเพราะได้รับพระราชทานจวนและบ่าวเป็นพรวนจากคนผู้นี้
ดูท่าเป็นธรรมเนียมเก่าแก่คร่ำครึ
ซินโย่วแอบบ่นในใจ ขอบพระทัยอีกครั้ง
ขุนนางตำแหน่งเล็กๆ แค่นี้ไม่จำเป็นต้องดำเนินพิธีการอันใด แจ้งไปที่กรมขุนนางและตรงไปรายงานตัวที่สำนักฮั่นหลินย่วนก็พอ
“ซุนเหยียน เจ้าพาซินมู่ไป” ความจริงฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ยังอยากให้เขาอยู่ร่วมเสวย แต่จัดการสถานะไต้จ้าวให้เรียบร้อยก่อนค่อยว่ากันดีกว่า
“ซินไต้จ้าวเชิญตามข้าน้อยมา” ซุนเหยียนนำทางอย่างนอบน้อม ออกจากประตูอู่เหมินไปยังประตูเฉิงเทียนเหมิน ตรงไปยังสำนักฮั่นหลินย่วนที่อยู่ปีกตะวันออก
หัวหน้าสำนักฮั่นหลินย่วนชื่อว่าเซี่ยเฉิงอัน ควบตำแหน่งมหาบัณฑิตสำนักเหวินเหยียนเก๋อ[1] เป็นหนึ่งในขุนนางประจำคณะมนตรี
ในเวลานี้โส่วฝู่ในคณะมนตรียังไม่ได้อำนาจมหาอำมาตย์ อำนาจออกนโยบายยังอยู่ในการดูแลของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ คณะมนตรีมีโส่วฝู่หนึ่ง รองโส่วฝู่อีกหนึ่ง โดยคณะมนตรีเป็นกลุ่มขุนนางที่มีหน้าที่ออกความเห็นนโยบายปกครอง มักปรากฏตัวต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ มีโอกาสได้แสดงความเห็นต่อการตัดสินพระทัยในนโยบายปกครองของฮ่องเต้ ทำให้ขุนนางส่วนใหญ่ไม่กล้าล่วงเกิน
ยามได้พบกับเซี่ยเฉิงอันหัวหน้าสำนักฮั่นหลินย่วน หนึ่งในขุนนางประจำคณะมนตรี ท่าทีซุนเหยียนย่อมสุภาพอย่างมาก “หัวหน้าเซี่ย นี่ก็คือท่านซงหลิงที่เขียน ‘วาดหนัง’ และ ‘บันทึกตะวันตก’ ฝ่าบาทเพิ่งแต่งตั้งเป็นไต้จ้าว”
“ท่านซงหลิง?” เดิมหัวหน้าเซี่ยไม่ชอบอ่านนิยาย แม้ ‘บันทึกตะวันตก’ ที่โด่งดังก็ไม่ได้คิดซื้อมาอ่าน จนกระทั่งข่าวลือเริ่มประหลาด กล่าวว่าท่านซงหลิงเป็นคนของฮองเฮา ในยามนี้เองเขาก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นข่าวลือเสียมากกว่า จนกระทั่งข่าวลือกู้ชางป๋อสังหารฮองเฮาแพร่กระจายออกมา แล้วยังมีเรื่องการตายของกู้ชางป๋อ ก็เริ่มอดคิดมากไม่ได้
เขาได้อ่าน ‘บันทึกตะวันตก’ และได้อ่าน ‘วาดหนัง’ แม้ว่านักเขียนนิยายในสายตาพวกเขายากจะทรงเกียรติ แต่เขาก็เลื่อมใสต่อความสามารถท่านซงหลิงไม่น้อย
คนผู้หนึ่งไร้ความสามารถ มีความคิดและประสบการณ์จริงหรือไม่ ผู้มีความรู้ลุ่มลึกเช่นหัวหน้าสำนักฮั่นหลินย่วนผู้นี้ย่อมวิเคราะห์ได้ไม่ยาก
“ข้าน้อยซินมู่ คารวะหัวหน้าเซี่ย”
หัวหน้าเซี่ยมองประเมินชายหนุ่มตรงหน้า ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย
ท่านซงหลิงเป็นชายหนุ่มอายุน้อยเพียงนี้หรือ
“เจ้าก็คือท่านซงหลิง?”
ซินโย่วไม่กล้าอาศัยชื่อเสียงของท่านซงหลิงโดยมิชอบ เอ่ยตามตรงว่า “ท่านซงหลิงไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว กระหม่อมได้ฟังนิยายของท่านซงหลิงมากมาย น่าเสียดายหลายเรื่องไม่เป็นที่รู้ทั่วในหมู่ราษฎร ดังนั้นจึงเขียนนิยายเรื่องนี้ออกมาในนามของท่านซงหลิง”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” หัวหน้าเซี่ยรู้สึกเหตุผลเหมาะสม ก็อดมองซินโย่วทีหนึ่งไม่ได้ รู้สึกชื่นชมขึ้นมากกว่าเดิม
อายุน้อยๆ ก็ไม่ถูกชื่อเสียงเกียรติยศบดบังจิตใจ หาได้ยากยิ่ง
เดี๋ยวก่อน…หัวหน้าเซี่ยเชื่อมโยงกับบรรดาข่าวลือเหล่านี้แล้วก็มองไปทางมหาขันทีซุนเหยียน
ซุนเหยียนเอ่ยถึงสถานะของซินโย่วพอดี “ซินไต้จ้าวก็คือบุตรบุญธรรมของฮองเฮาที่จากไป”
หัวหน้าเซี่ยแววตาวูบไหวพร้อมกับในใจกระเพื่อมไหวรุนแรง
ข่าวลือถึงกับเป็นจริง!
ท่านซงหลิงเป็นคนของ ฮองเฮาจริงๆ และยังเป็นบุตรบุญธรรมของฮองเฮา!
หัวหน้าเซี่ยเหลือบมองแววตาแฝงความนัยของซุนเหยียนอย่างตื่นเต้น ในใจกระตุกวาบ แววตาที่มองไปทางซินโย่วยิ่งลุ่มลึก
เห็นหัวหน้าเซี่ยรับรู้แล้ว ซุนเหยียนยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “ข้าน้อยขอตัวกลับตำหนักก่อน”
ที่เตือนหัวหน้าเซี่ย ไม่ใช่เพราะเขาหวังดีต่อเขา แต่เพราะเขาเป็นบ่าว การช่วยแบ่งเบาความกังวลของฮ่องเต้ที่ให้ความใส่พระทัยชายหนุ่มผู้นี้มาก หากข่าวว่าซินมู่โดนสำนักฮั่นหลินย่วนรังแกไปถึงพระกรรณฮ่องเต้ ฮ่องเต้ย่อมต้องไม่พอพระทัย
“ซุนกงกงค่อยๆ เดินนะ”
ส่งซุนเหยียนกลับแล้ว หัวหน้าเซี่ยก็ยิ้มอ่อนโยนให้ซินโย่ว “ซินไต้จ้าวไม่ต้องเกรงใจ ทำความคุ้นชินกับที่นี่ก่อน”
รอจัดการสั่งลูกน้องให้จัดการสถานที่ทำงานให้ซินโย่วแล้ว หัวหน้าเซี่ยจึงค่อยส่ายหน้าเบาๆ
หัวหน้าสำนักฮั่นหลินย่วนดำรงยากแท้
สำนักฮั่นหลินย่วนกับกรมอื่นๆ อีกห้ากรมกองที่ไม่รวมกรมอาญา ก็มีกรมขุนนาง สำนักพิธีการหงลู่ซื่อ สำนักพยากรณ์ สำนักแพทย์หลวง สำนักราชวังนับว่าสนิทชิดใกล้กัน ที่ทำการเหล่านี้อยู่ทางฝั่งตะวันออก และทางฝั่งตะวันตกก็เป็นที่ตั้งของที่ทำการทหารห้ากรมกอง ข่าวซินโย่วได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ดำรงตำแหน่งไต้จ้าวประจำสำนักฮั่นหลินย่วนก็คล้ายดังกระแสลม แพร่ออกไปยังกรมกองต่างๆ อย่างรวดเร็ว
วันรุ่งขึ้น ก็แพร่ออกไปในวงกว้าง ขุนนางตรวจสอบต่างพากันคิดวิพากษ์วิจารณ์โจมตีเรื่องนี้ แต่ถูกสหายขุนนางด้วยกันห้ามไว้
“เจ้าจะยื่นฎีกาอันใด พวกที่ชำนาญวาดภาพ ชำนาญการทำนายล้วนได้รับการแต่งตั้งเป็นไต้จ้าวได้ รอรับพระบัญชาเรียกตัวเข้าเฝ้าจากฮ่องเต้ตลอดเวลา เหตุใดซินไต้จ้าวจึงไม่ได้”
ขุนนางตรวจสอบฮึดฮัดไม่สบอารมณ์
การจัดการของฮ่องเต้เช่นนี้ ทำให้หลายคนหาช่องโหว่โจมตีไม่ได้
“ซินไต้จ้าวเข้าประจำตำแหน่งในสำนักฮั่นหลินย่วน ก็ไม่ผิดกฎ ไยต้องก้าวออกมาหาเรื่องใส่ตนเองด้วย”
ข่าวที่แพร่ออกไปพร้อมกับข่าวซินไต้จ้าวก็คือท่านซงหลิง ยังมีอีกข่าวว่าซินไต้จ้าวเป็นบุตรบุญธรรมของฮองเฮา
หากกล่าวว่าเมื่อก่อนบรรดาขุนนางและชนชั้นสูงไม่เข้าพระทัยท่าทีฮ่องเต้ต่อฮองเฮาซินที่ออกจากวังไป แต่หลังได้เห็นจุดจบของกู้ชางป๋อ จุดจบของพระสนมซูเฟย จุดจบของชิ่งอ๋อง หากยังไม่เข้าใจอีกก็นับได้ว่าเป็นท่อนไม้แล้ว
“ซินไต้จ้าวผู้นี้หน้าตาเป็นอย่างไร”
“ได้ยินว่าหนุ่มมาก อายุเพียงสิบหกสิบเจ็ด”
“นี่ นี่ก็ช่างอายุน้อยจริง!”
ขุนนางหลายหน่วยงานต่างพากันแอบวิพากษ์วิจารณ์ แววตาแฝงความนัยลึกซึ้ง
องค์หญิงใหญ่เจาหยางได้ยินเรื่องนี้แล้วก็ตรงเข้าวังมาทันที
“ฝ่าบาท องค์หญิงใหญ่ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าองค์หญิงใหญ่เจาหยางมาด้วยเรื่องใด นอกจากไม่ทรงรู้สึกรำคาญพระทัย ยังเกิดความรู้สึกคาดหวังอยู่ไม่น้อย
การตามหาบุตรชายของเขากับซินซินพบ เป็นความยินดีที่เขาไม่อาจแบ่งปันกับบรรดาขุนนางหรือผู้ใด ไม่อาจแบ่งงปันกับไทเฮา มีเพียงน้องสาวที่เข้าใจเขา
“ให้เข้ามาได้!”
ไม่นาน องค์หญิงใหญ่เจาหยางก็ก้าวเข้ามารวดเร็ว “ถวายบังคมเสด็จพี่”
“น้องพี่ไม่ต้องมากพิธี” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้แสดงท่าทีให้บ่าวรับใช้ออกไป ตรัสถามขึ้นก่อนว่า “น้องพี่มาด้วยเรื่องซินไต้จ้าวหรือ”
“เสด็จพี่ ซินไต้จ้าวเป็นบุตรบุญธรรมของพี่สะใภ้หรือเพคะ”
“อืม”
“เป็นบุตรบุญธรรมจริงหรือเพคะ” องค์หญิงใหญ่เจาหยางรุกถามต่อ มือใต้แขนเสื้อกำแน่นจนเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“เสด็จพี่ ว่าอย่างไรเล่าเพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้อดกวาดพระเนตรมองที่ประตูทีหนึ่งไม่ได้ ตรัสพระสุรเสียงเบายิ่ง “เด็กคนนั้นบอกว่าตนเองเป็นบุตรบุญธรรม แต่เรารู้สึกว่าเขาเป็นบุตรชายเรากับพี่สะใภ้เจ้า”
องค์หญิงใหญ่เจาหยางวางใจลงได้ครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังรู้สึกมีอีกครึ่งหนึ่งไม่ค่อยแน่ใจ “เสด็จพี่มีหลักฐานอันใดหรือไม่เพคะ”
“มีพยานที่นำตัวมาเมืองหลวงก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่ได้มีโอกาสได้รวมตัว น่าจะไม่มีโอกาสได้ร่วมกันวางแผน ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ…” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้นิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่มีอันใดต้องปิดบังกับน้องสาวคนนี้ “เราดูเด็กคนนี้แล้วก็รู้สึกสนิทสนม ความรู้สึกไม่อาจลวงหลอก”
องค์หญิงใหญ่เจาหยาง “…”
นี่มิใช่เรื่องเหลวไหลหรือ หากเสด็จพี่ความรู้สึกแม่นยำ จะปล่อยให้พี่สะใภ้ออกจากวังไปอย่างไร้สุ่มไร้เสียงได้หรือ
[1] มหาบัณฑิตสำนักเหวินหยวน คือตำแหน่งหนึ่งในคณะมหาบัณฑิต ขุนนางชั้น 5 ขั้นหนึ่ง ทำหน้าที่ตรวจฎีกา กลั่นกรอง แล้วลงมติตามสมควร