สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 259 สำนักฮั่นหลินย่วนครึกครื้น
ตอนที่ 259 สำนักฮั่นหลินย่วนครึกครื้น
แม้ว่าองค์หญิงใหญ่เจาหยางนึกเยาะจิตใต้สำนึกฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ แต่ส่วนลึกในใจของนางไหนเลยจะไม่หวังว่าซินมู่ก็คือบุตรชายของพี่ชายและพี่สะใภ้
คนเรามักจะเชื่อผลจากการวาดหวังได้ง่ายยิ่งกว่า
“ซินมู่อยู่สำนักฮั่นหลินย่วนกระมัง น้องไปพบสักหน่อยได้หรือไม่”
“น้องพี่อยากพบ เราจะเรียกตัวเขาเข้าวัง”
พอดีเขากำลังจะเตรียมเรียกตัวเข้าเฝ้าพอดี
“เขาเข้าวังมาก็จะเกร็งและระวังตัว ยากจะเห็นความคิดและอารมณ์แท้จริง” องค์หญิงใหญ่เจาหยางปฏิเสธอ้อมๆ
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้คิดแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล ได้แต่รับปาก
“เสด็จพี่ เสด็จแม่ยังไม่รู้กระมัง”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้สีหน้าจริงจัง “เราสั่งการไปแล้ว หากผู้ใดไม่ระวังปากต่อหน้าเสด็จแม่ จะลงโทษสถานหนัก”
องค์หญิงใหญ่เจาหยางค่อยผ่อนคลายลง “เช่นนั้นก็ดี”
องค์หญิงใหญ่เจาหยางออกจากวังมา ก็ตรงไปสำนักฮั่นหลินย่วน
สำนักฮั่นหลินย่วนยามนี้ หัวหน้าเซี่ยกำลังต้อนรับเมิ่งจี้จิ่ว
ทั้งสองคนเป็นขุนนางร่วมราชสำนักกันมานานปี ความสัมพันธ์ไม่เลว หัวหน้าเซี่ยก็ถามขึ้นตรงๆ “พี่จื่อเหยียน ท่านมาพบซินไต้จ้าวหรือ”
เมิ่งจี้จิ่วลูบเคราปฏิเสธ “พี่ไหวผิงเข้าใจผิดแล้ว ข้ามายืมบันทึกประวัติศาสตร์เหตุการณ์ม่อเหอของราชวงศ์ก่อนไปอ่านหน่อย ระยะนี้สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนกำลังคิดจะตีพิมพ์หนังสือ ข้ารู้สึกสงสัยในหนังสือตอนหนึ่ง คิดอยากจะลองเทียบดูสักหน่อย”
เซี่ยเฉิงอัน นามว่าไหวผิง
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ข้าเข้าใจพี่จื่อเหยียนผิดแล้ว”
“แค็กๆ” เมิ่งจี้จิ่วกระแอมไอทีหนึ่ง “พี่ไหวผิง ซินไต้จ้าวที่เอ่ยถึงเป็นชื่อของผู้ใดหรือ”
หัวหน้าเซี่ยยิ้มละไม “ก็มิได้ พี่จื่อเหยียน ข้าพาพี่ไปหอหนังสือเลยก็แล้วกัน”
“แค็ก ๆ ข้าได้ยินว่าท่านซงหลิงอยู่ที่นี่ หากสะดวกก็อยากทักทายสักคำก็พอ”
หัวหน้าเซี่ยกระตุกมุมปาก เอ่ยอย่างจนใจ “ตามข้ามาเถอะ”
เสแสร้งอยู่เป็นนาน ยังคงมาเพราะซินไต้จ้าว
ก็ไม่อาจโทษหัวหน้าเซี่ยที่เดาจุดประสงค์การมาของเมิ่งจี้จิ่วได้แต่ต้น เพราะเช้านี้คนที่อ้างเหตุต่างๆ มาดูซินไต้จ้าวกันหลายคน
หัวหน้าเซี่ยนำเมิ่งจี้จิ่วตรงไปยังห้องโถงทำงานไต้จ้าว
ราชวงศ์ต้าซย่าไม่เหมือนกับราชวงศ์ก่อน ห้องโถงทำงานไต้จ้าวแบ่งออกเป็นโถงตะวันออกและโถงตะวัตก โถงตะวันออกมีไต้จ้าวหกคน รับหน้าที่ตรวจพิสูจน์อักษรและบทความ คนในโถงตะวันตกก็ค่อนข้างปะปน มีฮว่าไต้จ้าว (ด้านภาพวาด) ฉีไต้จ้าว(ด้านหมากล้อม) ฉือไต้จ้าว(ด้านบทกวี) จานปู่ไต้จ้าว(ด้านพยากรณ์) ยังมีซินโย่วที่เป็นซูไต้จ้าว(ด้านอักษรศาสตร์)
เทียบกับไต้จ้าวในโถงฝั่งตะวันออกที่ค่อนข้างเคร่งเครียดทำงานแล้ว ไต้จ้าวในโถงตะวันตกเหล่านี้กลับว่างกว่ามาก ค่อนข้างจะนั่งมองหน้ากันไปมากันเสียเป็นส่วนใหญ่
“ซินไต้จ้าว หัวหน้าเรียก”
ซินโย่วลุกขึ้นเดินออกไป
ตอนนางเดินออกมา สีหน้าไต้จ้าวที่เหลือก็แลดูสับสนยากคาดเดา
พวกเขาก็เป็นผู้มีความรู้ลุ่มลึกสูงส่งในศิลปวิทยาการแขนงของตน มีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่ชาวบ้าน จึงได้รับเลือกแต่งตั้งเป็นไต้จ้าว คิดว่าสักวันจะได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ได้รับเกียรติยศเงินทองไม่สิ้นสุด
แต่กลับคิดไม่ถึงว่า หนึ่งชีวิตนี้ได้พบฮ่องเต้สักครั้งก็นับว่าไม่เลวแล้ว!
ฮ่องเต้เล่นหมากล้อมไม่เป็น ไม่เข้าใจเรื่องภาพวาด ไม่ทนรับฟังบทกวี และไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีสางเทวดาและการพยากรณ์
คิดว่าจะได้ก้าวไปสู่เส้นทางก้าวหน้ารุ่งเรือง คิดไม่ถึงว่าจะยากยิ่งกว่าลงนรก
“ซินไต้จ้าวมีอันใดไม่เหมือนกับพวกเรา” ฉือไต้จ้าวถอนหายใจ หันไปร่ายบทกวีต่อ
จานปู่ไต้จ้าวเขย่าเหรียญทองแดงสามเหรียญ ปากก็บ่นพึมพำ
ฉีไต้จ้าวหลับตา ในสมองกำลังเดินหมากกับตนเอง
ซินโย่วเดินออกจากห้องโถงทำงานไต้จ้าวก็ถอนหายใจเบาๆ
สหายร่วมงานของนางคล้ายว่าไม่ค่อยปกติกันสักเท่าไร
พอได้พบหัวหน้าเซี่ยและเมิ่งจี้จิ่วที่ยืนเคียงกันกับเขา ซินโย่วก็เข้าไปคำนับ “ท่านเรียกพบข้าหรือ”
“ซินไต้จ้าว ท่านนี้คือเมิ่งจี้จิ๋ว”
“คารวะใต้เท้าเมิ่ง”
“ซินไต้จ้าวไม่ต้องมากพิธี ข้ามาธุระที่สำนักฮั่นหลินย่วนได้ยินว่าท่านซงหลิงอยู่ที่นี่ จึงได้ตั้งใจมาคารวะ”
“ใต้เท้าเมิ่งทำให้ข้าน้อยอายุสั้นแล้ว ข้าน้อยอายุยังน้อย ความรู้ต่ำต้อย เพียงแค่เขียนนิยายของท่านซงหลิงออกมาเท่านั้น”
เมิ่งจี้จิ่วมองไปทางหัวหน้าเซี่ย หัวหน้าเซี่ยพยักหน้าเล็กน้อย
เมิ่งจี้จิ่วหัวเราะเอ่ยว่า “ซินไต้จ้าวไม่ปล่อยให้นิยายโดดเด่นเหล่านี้ต้องสูญหายไป นับว่าเป็นการกระทำที่ดีงามยิ่งแล้ว”
เขาชะงักไปครู่หนี่ง ส่งสายตาตื่นเต้นจ้องมองซินโย่ว “นิยายของท่านซงหลิงเหล่านี้ ซินไต้จ้าวฟังมาจากฮองเฮาหรือ”
“ขอรับ”
“ฮองเฮา…”
หัวหน้าเซี่ยส่งเสียงกระแอมไอเบาๆ ทีหนึ่ง
เมิ่งจี้จิ่วกลืนวาจาที่คิดเอ่ยออกไปทันที เปลี่ยนบทสนทนาไปถามถึงเรื่องท่านซงหลิง คุยกันได้สักพักก็ออกจากห้องโถงทำงานไต้จ้าวไปพร้อมกับหัวหน้าเซี่ย
“พี่จื่อเหยียน ตอนนี้กำลังอยู่ในห้วงเวลาสงบก่อนเกิดคลื่นลม รอบคอบไว้สักหน่อยดีกว่า”
เมิ่งจี้จิ่วนิ่งเงียบ
หลังการพังทลายของจวนกู้ชางป๋อ การตายของพระสนมซูเฟย การกักบริเวณชิ่งอ๋อง คลื่นลมเหล่านี้ยังไม่จบสิ้นลงอย่างแท้จริง ฮ่องเต้ส่งคนไปหว่านหยางนำโลงพระศพของฮองเฮาขึ้นเหนือ รอให้โลงพระศพฮองเฮามาถึงเมืองหลวง ย่อมต้องเกิดสงครามวาจาระหว่างฮ่องเต้และขุนนางอีกระลอกเป็นแน่ หากไม่ทันระวังให้รอบคอบก็อาจเข้าสู่วังวนโลหิตได้
ไม่ว่าฮองเฮาเคยมีความดีความชอบสักเพียงใด แต่เป็นถึงมารดาแห่งแผ่นดินกลับหนีออกจากวัง เรียกได้ว่าไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ รอโลงพระศพฮองเฮากลับถึงเมืองหลวง ยังไม่รู้ว่าจะได้ฝังในสุสานหลวงในฐานะฮองเฮาหรือว่าหาที่ฝังอื่น
หากเป็นประการแรก ก็แสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้และราชสำนักยังคงรับรองสถานะของฮองเฮา หากมีเรื่องเช่นนี้ ทันทีที่โอรสฮองเฮาปรากฏตัว ก็มีความเป็นได้ว่าจะได้เป็นรัชทายาท แต่หากเป็นประการหลัง ความเป็นไปได้นี้ก็จะไม่มีทางเกิดขึ้น
เรื่องนี้มองจากภายนอกก็เหมือนว่ารับรองสถานะฮองเฮาซินหรือไม่ แต่ความจริงก็คือตำแหน่งรัชทายาทผู้สืบทอด
เมิ่งจี้จิ่วเตรียมตัวเปิดศึกใหญ่กับบรรดาพวกที่จะกระโดดออกมาคัดค้านแล้ว
แต่ในยามนี้เองก็มีเสียงขานดังว่าองค์หญิงใหญ่เจาหยางเสด็จ
หัวหน้าเซี่ยสบตากับเมิ่งจี้จิ่ว ยิ้มอย่างจนใจ “ดูท่ามาหาซินไต้จ้าวอีกแล้ว”
ซินโย่วเพิ่งกลับถึงห้องโถงทำงานไต้จ้าว ก็ถูกเรียกตัวออกไปอีก
“ครั้งนี้ผู้ใดอีก”
“ได้ยินว่าเป็นองค์หญิงใหญ่เจาหยาง”
จานปู่ไต้จ้าวเคาะกระดองเต่า ฉีไต้จ้าวเดินหมากในสมองสับสนแล้ว
ไต้จ้าวหลายคนเริ่มคุมสติไม่อยู่บ้างแล้ว
“คารวะองค์หญิงใหญ่”
“ไม่ต้องมากพิธี” องค์หญิงใหญ่เจาหยางรีบให้ซินโย่วลุกขึ้น ประเมินมองนางอย่างละเอียด
ความรู้สึกแรกขององค์หญิงใหญ่เจาหยาง ไม่เหมือนเสด็จพี่และไม่เหมือนพี่สะใภ้ ยากจะเกิดความรู้สึกผิดหวังอยู่ไม่น้อย
หรือว่าเป็นเพียงแค่บุตรบุญธรรมจริง แต่เห็นสง่าราศีของชายหนุ่มผู้นี้แล้ว องค์หญิงใหญ่เจาหยางก็หลุดหัวเราะออกมา
แม้ไม่ใช่บุตรชายแท้ๆ แล้วอย่างไร เด็กคนนี้เป็นเด็กที่พี่สะใภ้เลี้ยงดูเติบโตมา แม้ไร้ความสัมพันธ์ทางสายโลหิต แต่ได้รับความคิดสืบทอดมาจากพี่สะใภ้
นึกถึงฮองเฮาซินที่จากไปแล้ว องค์หญิงใหญ่เจาหยางก็ขอบตาร้อนผ่าว “ได้ยินเสด็จพี่บอกว่าเจ้าเป็นบุตรบุญธรรมฮองเฮา เจ้าเรียกเราว่าเสด็จอาก็ได้”
หัวหน้าเซี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
องค์หญิงใหญ่เจาหยางแสดงท่าทีให้เห็นชัดเจนว่าจะให้การสนับสนุนซินไต้จ้าว
องค์หญิงใหญ่เจาหยางประสงค์เช่นนี้จริง
นางได้รับบทเรียนจากเรื่องคุณหนูโค่วครั้งนั้น รู้ดีว่าการปกป้องผู้ใดสักผู้หนึ่ง แสดงท่าทางยิ่งกระจ่างชัดก็ยิ่งดี
“ขอบพระทัยองค์หญิงใหญ่ที่เมตตา เพียงแต่…”
องค์หญิงใหญ่เจาหยาง ตัดบทคำปฏิเสธของซินโย่ว “พี่สะใภ้โมโหเสด็จพี่ หรือว่าโมโหมาถึงข้าด้วย”
“มิได้ ท่านแม่เอ่ยถึงองค์หญิงใหญ่กับกระหม่อมหลายครั้ง บอกว่ามีความผูกพันกับองค์หญิงลึกซึ้ง”
“ถูกต้องแล้ว ในเมื่อพี่สะใภ้รับข้าเป็นน้องสาว เจ้าไม่เรียกข้าว่าเสด็จอา แล้วจะเรียกว่าอันใด”
ซินโย่วไม่ดึงดันอีก ประสานมือคำนับ “หลานคารวะเสด็จอา”
องค์หญิงใหญ่เจาหยาง เผยรอยยิ้ม “รอเลิกงาน เจ้าไปจวนองค์หญิงใหญ่ ค่อยไปพบลูกพี่ลูกน้องของเจ้า”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ซินโย่วกลับถึงห้องโถงทำงานไต้จ้าวอีกครั้งก็พบว่าบรรยากาศผิดปกติไม่น้อย