สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 260 สายฟ้าฟาดรองเจ้ากรมต้วนในวันท้องฟ้าแจ่มใส
ตอนที่ 260 สายฟ้าฟาดรองเจ้ากรมต้วนในวันท้องฟ้าแจ่มใส
ซินโย่วกลับไปนั่งที่ประจำตนเอง ไม่มีผู้ใดมองมาทางนาง คล้ายว่าถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวแล้ว?
พอความคิดนี้ผุดขึ้นมา ซินโย่วก็หลุดหัวเราะออกมา
สำหรับนางแล้ว ความสัมพันธ์สหายร่วมงานดูง่ายเช่นนี้เป็นเรื่องดี
เป็นเช่นนี้จนกระทั่งเลิกงานก็ไม่มีคนสนใจนาง ซินโย่วก้าวออกจากสำนักฮั่นหลินย่วนอย่างสบายใจ
เป็นเวลาเลิกงานของทุกหน่วยงาน แต่ละหน่วยงานก็มีคนทยอยเดินกันออกมา
“เห็นไหมนั่น ชายหนุ่มสวมชุดยาวสีเขียวก็คือซินไต้จ้าว”
“ดูแล้ว… ไม่เหมือน…”
วาจานี้ลุ่มลึกแฝงความนัยอย่างมาก
ขุนนางที่พูดพึมพำเสร็จ ก็รีบสำทับต่อว่า “คิดไม่ถึงว่าจะหนุ่มเพียงนี้”
ขุนนางที่จับกลุ่มกันสามถึงห้าคนเป็นกลุ่มๆ พากันวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ พร้อมกับสายตาเหลือบมองมาทางซินโย่ว
“ซินไต้จ้าว องค์หญิงใหญ่เชิญท่านขึ้นรถไปจวนองค์หญิงใหญ่” พ่อบ้านผู้หนึ่งเข้ามารอรับซินโย่วพร้อมกับเชิญอย่างนอบน้อม
ซินโย่วประสานมืออย่างเกรงใจ ตามพ่อบ้านผู้นั้นไปหยุดที่รถม้าไม่ไกลนัก
“รถม้าจวนองค์หญิงใหญ่!” ขุนนางผู้หนึ่งเห็นตราสัญลักษณ์รถม้าก็ตกใจ
“เช่นนี้ ดูท่าองค์หญิงใหญ่ยอมรับซินไต้จ้าวแล้ว”
“เกรงว่าจะรีบร้อนไปหน่อยแล้วกระมัง…”
“พี่จางระวังคำพูด…”
กรมพระราชยานหลวงไม่ได้ตั้งอยู่บริเวณสองข้างทางนี้ แต่เพราะจวนรองเจ้ากรมอยู่ฝั่งตะวันออก รองเจ้ากรมต้วนกลับบ้านเองก็ต้องเดินผ่านที่บรรดาสหายขุนนางรวมตัวกันตรงนี้ รองเจ้ากรมต้วนอยากรู้จึงได้ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง พอฟังได้ความมาบ้าง
พอคนเห็นรองเจ้ากรมต้วนก็เดินเข้าไปหา “รองเจ้ากรมต้วน ได้ยินว่าคุณหนูโค่วหลานสาวท่านสนิทกับซินไต้จ้าว”
ตอนเริ่มแรกรองเจ้ากรมต้วนยังคิดว่าเป็นวาจาเสียดสี จึงชักสีหน้าใส่คนพูด แต่ก็อดตกตะลึงไม่ได้
เหตุใดมีแววตาอิจฉาด้วย
ตอบรับไปสองสามคำแล้ว รองเจ้ากรมต้วนก็ขึ้นรถม้า สงบจิตใจเริ่มคิดแล้วก็เข้าใจ คิดว่าวันหน้าซินไต้จ้าวจะไม่ธรรมดา ไม่แน่ชิงชิงอาจสร้างปาฏิหาริย์ และเขาก็จะพลอยได้อานิสงส์จากหลานสาวไปด้วย
พอคิดได้เช่นนี้แล้ว รองเจ้ากรมต้วนยิ้มเฝื่อน
เขาเฝื่อนขมในใจจริงๆ
เพื่อรักษาหน้าตา การที่หลานสาวไร้ความเคารพกับเขาผู้เป็นลุงไม่อาจให้ภายนอกรู้ได้แม้แต่น้อย แต่ในความเป็นจริง?
ยากจะเอื้อนเอ่ย…
รองเจ้ากรมต้วนรู้สึกยากทนรับกับความสัมพันธ์เลวร้ายระหว่างลุงและหลานสาวได้ พอกลับถึงจวนรองเจ้ากรมก็ไปเอ่ยกับนายหญิงผู้เฒ่าอย่างไม่คิดอันใดว่า “สองสามวันมานี้เหตุใดไม่เห็นชิงชิง”
“เจ้าออกไปแต่เช้า กลับมาก็ดึก ปกติก็ไม่ได้กินข้าวด้วยกัน จะได้เห็นคนไหนบ้าง” นายหญิงผู้เฒ่าพูดจบก็ชะงัก เล่าสถานการณ์ใหม่ของหลานสาวขึ้นมา “หลายวันก่อนชิงชิงบอกว่ามีเซียนมาเข้าฝัน ต้องการเก็บตัวบำเพ็ญ…”
ฟังนายหญิงผู้เฒ่าพูดจบ สีหน้ารองเจ้ากรมต้วนก็บอกไม่ถูก
“ท่านแม่ คำพูดเช่นนี้ท่านก็เชื่อหรือ”
นายหญิงผู้เฒ่าเหลือบมองบุตรชายทีหนึ่ง “เหตุใดไม่เชื่อ ชิงชิงสงบเสงี่ยมอยู่แต่ในเรือนหว่านฉิงไม่ดีกว่าออกไปแล่นอยู่ข้างนอกหรือ”
อีกอย่าง เกิดทำลายโชควาสนาจริงจะทำอย่างไร
“ข้ามักรู้สึกว่าไม่ได้ง่ายดายเช่นนี้”
รองเจ้ากรมต้วนออกจากเรือนหรูอี้ถัง คิดแล้วก็ก้าวเดินกลับไปเรือนหว่านฉิง
ฟ้ายังไม่ใกล้มืด เรือนหว่านฉิงจุดไฟสว่าง ต้นไม้ครึ้มเขียวชอุ่ม
ได้ยินสาวใช้เฝ้าประตูรายงานว่านายท่านใหญ่มา เสี่ยวเหลียนก็สูดลมหายใจเฮือก ยืดอกตรงขึ้นด้วยสัญชาตญาณก่อนจะก้าวออกไป
ด่านนี้อย่างไรก็ต้องมาถึง คุณหนูกำชับไว้แล้วว่าให้รับมืออย่างไร ถึงเวลาที่นางต้องจัดการให้สำเร็จงดงามแล้ว
นางจะต้องทำได้อย่างงดงาม!
“คุณหนูเจ้าล่ะ”
“นายท่านใหญ่ เชิญตามบ่าวมาเจ้าค่ะ”
รองเจ้ากรมต้วนไม่ทันรู้สึกว่าเสี่ยวเหลียนหลบเลี่ยงไม่ตอบ ในใจคิดเพียงว่าอีกสักครู่พบเจอหลานสาวจะสนทนาอย่างไร
เขาจำต้องรอบคอบ เพราะหากไม่ทันระวังจะถูกหลานสาวเล่นงานเสียเงินทองจนขยาดนางไปแล้ว
หลายครั้งรองเจ้ากรมต้วนไม่อาจระงับความคิดที่ผุดขึ้นว่าจะวางยาหลานสาวให้ตายด้วยยาพิษห่อหนึ่งให้จบๆ ไป แต่เพราะยังมีสติ ตอนนี้เขาพบว่านับวันก็ยิ่งยาก และยากขึ้นเรื่อยๆ…
“นายท่านใหญ่ เชิญนั่งเจ้าค่ะ”
รองเจ้ากรมต้วนดึงความคิดกลับคืนก่อนจะลงนั่ง
“นายท่านใหญ่เชิญดื่มน้ำชา”
รองเจ้ากรมต้วนรับแก้วชาจากเสี่ยวเหลียน เปิดฝาค่อยๆ จิบไปคำหนึ่ง ก็พบว่าสาวใช้ยังคงยืนนิ่งไม่จากไป ก็ขมวดคิ้ว “คุณหนูเจ้าล่ะ”
บอกว่าเก็บตัวบำเพ็ญ ก็ไม่ได้ถึงกับก้าวออกจากห้องไม่ได้กระมัง
เขาเป็นลุงมาเยี่ยมหลานสาว นั่งในโถงกลางไม่เป็นไร เข้าไปในห้องก็ไม่ค่อยเหมาะสม
รองเจ้ากรมต้วนส่งสายตามองไปยังม่านไข่มุกห้องตะวันออก ในใจอดมีลางสังหรณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นไม่ได้
หลานสาวคนนี้ต้องมีเรื่องพิสดารใดเป็นแน่!
เสี่ยวเหลียนไม่ได้ตอบคำถามรองเจ้ากรมต้วนทันที แต่เดินไปปิดประตูทีเชื่อมต่อไปยังลานด้านหน้า
ในโถงห้องแสงสลัวลง มือที่ยกแก้วชาของรองเจ้ากรมต้วนไหววูบหนึ่ง
หรือว่าคิดปิดประตูลงมือกับเขา
แต่ที่ทำให้รองเจ้ากรมต้วนยิ่งหงุดหงิดก็คือ ปฏิกิริยาแรกของเขามิใช่โมโห แต่ถึงกับเป็นครุ่นคิด ครุ่นคิดว่าทำให้หลานสาวคนนี้ไม่พอใจตรงไหนหรือไม่
รองเจ้ากรมต้วนได้สติก็จ้องมองเสี่ยวเหลียนด้วยสีหน้าดำทะมึน
เสี่ยวเหลียนกัดริมฝีปาก กระซิบเบายิ่งว่า “นายท่านใหญ่ คำพูดที่บ่าวจะพูดต่อจากนี้ ขอให้ท่านอย่าได้ตกใจเกินไป”
“คุณหนูไม่อยู่ในจวนเจ้าค่ะ”
รองเจ้ากรมต้วนได้ยินคำนี้ก็เลิกคิ้ว เพียงแค่ไม่อยู่ในจวนเท่านั้นหรือ เทียบกับเรื่องราวต่างๆ นานาที่หลานสาวเขากระทำมาในหนึ่งปีนี้แล้ว การลอบหนีออกจากบ้านมิใช่เรื่องใหญ่อันใดนัก
เห็นรองเจ้ากรมต้วนไม่เข้าใจความหมายของคำว่า ‘ไม่อยู่จวน’ เสี่ยวเหลียนก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “นายท่านใหญ่ คุณหนูเราจะไม่กลับมาในระยะเวลาอันสั้นนี้”
รองเจ้ากรมต้วนตบโต๊ะ “เจ้าบอกข้ามาให้กระจ่าง!”
อันใดเรียกว่าจะไม่กลับมาในระยะเวลาอันสั้นนี้
นี่คือนางลักลอบหนีไปกับผู้อื่นหรือ กับผู้ใด? ฉางเล่อโหวเฮ่อชิงเซียว? เอาเงินเหล่านั้นไปด้วยหรือ
ไม่สิ เมื่อวานเขายังได้เห็นเฮ่อชิงเซียวอยู่
ในสมองรองเจ้ากรมต้วนคิดเหลวไหลเลอะเทอะไปไกลเป็นชุด ก่อนจ้องมองเสี่ยวเหลียน “พูด!”
“นายท่านใหญ่รู้จักท่านซงหลิงไหมเจ้าคะ”
รองเจ้ากรมต้วนตกใจ หรือว่านางลักลอบหนีไปกับท่านซงหลิง
ยิ่งไม่ถูกต้อง ท่านซงหลิงก็คือซินไต้จ้าว เมื่อวานซินไต้จ้าวเข้าประจำตำแหน่งในสำนักฮั่นหลินย่วน วันนี้มีคนหลายคนได้เห็นเขาออกจากที่ทำการหลังเลิกงาน
เดี๋ยวนะ! เมื่อวานท่านซงหลิงเข้าประจำสำนักฮั่นหลินย่วน เมื่อวานชิงชิงก็เก็บตัวบำเพ็ญ…
รองเจ้ากรมต้วนรู้สึกผิดปกติ ผิดปกติอย่างมาก แต่พลันไม่รู้ว่าผิดปกติที่ใด มีเพียงจิตใต้สำนึกบอกเขาว่าแย่แน่แล้ว
เสี่ยวเหลียนเองก็มิได้อ้อมค้อม เอ่ยน้ำเสียงเบายิ่งว่า “ท่านซงหลิง ก็คือคุณหนูปลอมตัว…”
เพล้ง แก้วน้ำชาข้างมือรองเจ้ากรมต้วนถูกชนล้มกลิ้งลงพื้นแตกละเอียด น้ำชาสาดกระจายเต็มพื้น
รองเจ้ากรมต้วนจ้องมองเศษกระเบื้องแตก แววตาตื่นตกใจ
แหลกเป็นหมื่นชิ้น แหลกเป็นหมื่นชิ้นแล้ว!
เขาผุดลุกขึ้นยืนทันที คิดจะรีบออกไป
เสี่ยวเหลียนขวางหน้ารองเจ้ากรมต้วน “นายท่านใหญ่ ท่านต้องสงบนิ่งก่อน!”
“สงบนิ่ง?” รองเจ้ากรมต้วนยื่นมือกระชากสาบเสื้อเสี่ยวเหลียน กัดฟันกรอดเอ่ยว่า “นังชั้นต่ำ เจ้ารู้หรือไม่โค่วชิงชิงทำเช่นนี้จะเกิดผลเช่นไร!”
“รู้ รู้…” เสี่ยวเหลียนถูกกระชากคอเสื้อ ทำให้หายใจไม่คล่องนัก “คุณหนูบอกว่า หากนางถูกพบเข้า ก็ทูลต่อฮ่องเต้ว่า เพื่อเกียรติยศเงินทอง ท่านบงการให้นางทำเช่นนี้ ถึงตอนนั้นคุณหนูจะถูกตัดศีรษะ จวนรองเจ้ากรมเองก็จะถูกประหารทั้งตระกูลเช่นกัน หากตอนนี้ท่านไปทูลฟ้อง ก็เป็นเพราะท่านหวาดกลัวเรื่องราวที่ตกลงกันไว้แต่เดิม เริ่มสำนึกเสียใจที่ได้ทำลงไป ต้องการผลักความผิดไปที่นางคนเดียว เช่นนั้นก็ยังคงถูกประหารทั้งตระกูลเช่นกัน…”
รองเจ้ากรมต้วนแววตามืดมน ล้มกลับไปนั่งเก้าอี้ดังเดิม