สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 270 ลงดาบฉับตัดความยุ่งยาก
ตอนที่ 270 ลงดาบฉับตัดความยุ่งยาก
ซินโย่วเดินไปบนท้องถนน มองตามกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินกลุ่มหนึ่งคุมตัวคนเดินอยู่ด้านหน้า
นี่คือถนนที่ไม่ไกลจากวังหลวง และยังเป็นเวลาเลิกงาน คนเดินบนท้องถนนส่วนใหญ่เป็นขุนนางเจ้าหน้าที่
ใต้เท้าเฮ่อต้องจับกุมขุนนางที่ด่าทอลบหลู่นางไปหมดเลยหรือ
ซินโย่วคิดเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่คิดเข้าข้างตนเอง แต่ครุ่นคิดถึงเป้าหมายที่เฮ่อชิงเซียวทำเช่นนี้
เฮ่อชิงเซียวดำเนินการฉับไวอย่างมาก ตอนจังซวี่ถูกนำตัวเข้าไปในสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือยังโวยวายอยู่ เขาก็ก้าวเข้ามาในห้องหนึ่งอย่างรวดเร็ว
“ใต้เท้า นำตัวมาแล้ว”
เฮ่อชิงเซียวพยักหน้าเล็กน้อย “เช่นนั้นก็เริ่มได้”
ในคุกกว้าง อัดแน่นไปด้วยคนที่เพิ่งจับกุมมาใหม่ เห็นการแต่งกายก็รู้ว่าส่วนใหญ่เกินครึ่งเป็นขุนนางเจ้าหน้าที่ระดับล่าง
เฮ่อชิงเซียวกวาดสายตามองไปยังใบหน้าที่โมโหเดือดดาลไม่ก็ใบหน้าที่ตกใจทำอันใดไม่ถูกทีละใบหน้า หยุดลงที่ใบหน้าหนึ่งในนั้นเล็กน้อยอย่างไม่เป็นที่สังเกต ก่อนถอนสายตากลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก
คนผู้นั้นเป็นชายวัยกลางคน หนวดเคราสั้น รูปร่างท้วมเล็กน้อย ก็คือจ้าวหลางจงที่ซินโย่วคิดหาโอกาสพบสักครั้ง
“ใต้เท้าเฮ่อ อย่างไรพวกข้าก็เป็นขุนนางราชสำนัก เหตุใดเพียงแค่ไม่กี่วาจาก็จับกุมพวกเรามาที่นี่”
“ใช่ กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินมีอำนาจล้นฟ้าเช่นนี้หรือ”
“แน่นอนเหนือกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินขึ้นไปย่อมมีฟ้า” เฮ่อชิงเซียวเอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
เขาหน้าตาดีมาก อยู่ในคุกมืดสลัวเช่นนี้ ใบหน้าทำให้คนรู้สึกหนาวเหน็บเพราะไม่เข้ากับสถานที่นี้
“ข้าก็มิได้ต้องการทำให้ทุกท่านลำบากใจ เพียงแต่ปฏิบัติตามรับสั่งให้ดูแลซินไต้จ้าว เพราะการด่าทอลบหลู่ซินไต้จ้าวหลายวันมานี้ทำให้ข้าจำต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบเช่นนี้ ขอเพียงทุกท่านลงนามรับรอง ข้าก็จะปล่อยตัวทุกท่านออกไปทันที ไม่เสียเวลากลับบ้านไปกินข้าว”
“อันใดคือหนังสือรับรอง”
คนที่ถูกจับกุมตัวมา บ้างก็โมโหเดือดดาล บ้างก็ขี้ขลาดตาขาว
กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินหลายนายยกโต๊ะเจ็ดแปดตัวเข้ามา ปูกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง พร้อมกับนำคนเหล่านี้ไปที่ข้างโต๊ะดังอินทรีขยุ้มลูกเจี๊ยบ
จ้าวหลางจงอยู่ใกล้โต๊ะที่ใกล้กับเฮ่อชิงเซียวที่สุด คนที่ถูกจับกุมตัวมาเหล่านี้รวมทั้งจ้าวหลางจง ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่ามีปัญหาอันใด
เฮ่อชิงเซียวจึงได้เอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “เขียนถึงข่าวลือก่อนหน้านี้ วันหน้าจะไม่พูดจาไม่ดีต่อซินไต้จ้าวแม้แต่คำเดียวก็พอ”
“นี่มัน นี่มันรังแกกันเกินไปแล้ว!”
หนังสือรับรองเขียนเช่นนี้ ไม่ต่างอันใดกับตบหน้าต่อหน้าสาธารณะ
“ใต้เท้าให้พวกเจ้าเขียนก็รีบเขียน พูดจาเหลวไหลอันใดมากมาย!” ทหารองครักษ์จิ่นหลินนายหนึ่งตวาด
คนที่ถูกจับกุมตัวมาต่างมีสีหน้าหลากหลาย แม้มีคนคิดรีบเขียนรีบกลับบ้าน แต่ก็ไม่อยากเป็นคนแรกที่เริ่มลงมือเขียน คนเหล่านี้ล้วนเข้าใจดีว่าเรื่องเสียเกียรติมากมายทุกคนล้วนทำ แต่คนที่ถูกหัวเราะเยาะมักจะเป็นคนแรกที่ลงมือทำ
เห็นสถานการณ์ตกอยู่ในความตึงเครียด องครักษ์กองกำลังจิ่นหลินผู้นั้นก็คว้ามือจ้าวหลางจง ตะคอกถามขึ้นว่า “จะเขียนไม่เขียน”
เสียงกร๊อบดังขึ้นเบาๆ ตามมาด้วยเสียงร้องเจ็บปวดของจ้าวหลางจง
มือขวาจ้าวหลางจงถูกหักหลุดจากข้อแล้ว!
ที่ถูกจับกุมตัวมาทั้งหมดแทบจะเป็นขุนนางบุ๋น ไหนเลยจะเคยเห็นวิธีการรุนแรงเช่นนี้ ตอนนั้นมีคนไม่น้อยต่างตกใจใบหน้าซีดขาว เข่าอ่อนหมดแรง
องครักษ์กองกำลังจิ่นหลินผู้นั้นไม่สนใจเสียงร้องเจ็บปวดของจ้าวหลางจง ค่อย ๆ กวาดตามองทุกคน “เขียนไม่เขียน?”
สายตาเขามองไปหยุดที่ขุนนางตำแหน่งระดับล่างที่สีหน้าย่ำแย่ที่สุด
ขุนนางตำแหน่งระดับล่างผู้นั้นหลังเหงื่อเย็นออกมาทันที รีบลนคว้าพู่กันบนโต๊ะ “ข้า ข้าเขียน…”
ก็แค่คำรับรองประโยคเดียว เขียนเสร็จก็กลับบ้านได้ ไม่เขียนยังไม่รู้จะต้องประสบกับการลงทัณฑ์ทรมานอย่างไรอีก ไยต้องดึงดันรนหาที่ตายด้วย
ขุนนางตำแหน่งระดับล่างผู้นั้นรีบเขียนไปพลางปลอบใจตนเองไป
เรื่องเช่นนี้ทันทีที่มีคนลงมือทำ คนที่ทำตามก็จะยิ่งมาก ไม่นานก็มีคนเริ่มขยับพู่กัน
มีคนเขียนเสร็จแล้ว เห็นคนที่มีความสัมพันธ์ไม่เลวกับตนไม่เขียน ก็กระซิบเตือนว่า “ก็มิได้เกี่ยวพันถึงหลักการปกครองแผ่นดิน ดึงดันไปให้เจ็บตัวก็ไร้ความหมาย”
วาจานี้เอ่ยออกมา ไม่ต้องสงสัยว่าพาดบันไดใหญ่ให้ก้าวลงมาแล้ว คนที่ยังดึงดันก็พากันคล้อยตาม
ใช่ ก็แค่พูดไปตามลมเท่านั้น ดึงดันให้ต้องโดนลงทัณฑ์ จะฝากชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ได้หรือ เรื่องนี้ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ก็ยิ่งเสียหน้า รีบเขียนให้เสร็จกลับบ้านดีกว่า ผู้อื่นอาจไม่รู้ว่าตนเองถูกจับ
พอคิดเข้าใจแล้ว ทุกคนก็เริ่มเขียนรวดเร็ว
“ใต้เท้าท่านนี้ไปได้แล้ว” เห็นขุนนางตำแหน่งระดับล่างที่เริ่มเขียนคนแรกวางพู่กันลง องครักษ์กองกำลังจิ่นหลินผู้นั้นตรวจสอบแล้วก็ยิ้มพึงพอใจให้ปล่อยตัวไป ไม่มีท่าทางดุร้ายเหมือนก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย
ขุนนางที่ถูกจับกุมตัวมาพากันเขียนเสร็จและจากไป สุดท้ายเหลือเพียงจ้าวหลางจง
“ใต้เท้าท่านนี้ เหตุใดยังไม่เขียน” เฮ่อชิงเซียวมองมาด้วยสายตาไร้ความรู้สึก
จ้าวหลางจงเจ็บจนหน้าซีด สบกับสายตาจับจ้องเยียบเย็นไร้ความเมตตาตรงหน้า จำต้องกัดฟันเอ่ยว่า “มือข้า… ขยับไม่ได้…”
ชายหนุ่มใบหน้างามกระจ่างเลิกคิ้ว “มือขวาไม่ได้ ไม่ใช่ยังมีมือซ้ายหรือ”
องครักษ์กองกำลังจิ่นหลินข้างๆ ผลักจ้าวหลางจงอย่างไม่ออมแรง “ไม่ได้ยินคำพูดใต้เท้าเราหรือ เจ็บแค่นี้ทนไม่ได้ หรือว่าไปลิ้มรสรสชาติเหล็กร้อนนาบดู”
จ้าวหลางจงตัวสั่นเอ่ยน้ำเสียงสั่นเทาว่า “ข้า ข้าเขียน…”
เขายื่นมือออกไปรับพู่กัน
สายตาสงบนิ่งของเฮ่อชิงเซียววาบขึ้นทีหนึ่ง
การเคลื่อนไหวด้วยสัญชาตญาณของคนยากจะบังคับตนเอง มือซ้ายจ้าวหลางจงยกพู่กัน ก็มองออกว่าเคยฝึกมา
“ใต้เท้า เขาเขียนเสร็จแล้ว”
เฮ่อชิงเซียวเดินเข้าไปมองประเมินแล้วก็เอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “นำตัวออกไปได้”
จ้าวหลางจงผ่อนลมหายใจเบาๆ
“ไปได้” องครักษ์กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินสองนายเข้าประกบซ้ายขวา คุมตัวจ้าวหลางจงออกไป
จ้าวหลางจงกำลังโล่งอกที่ในที่สุดก็พ้นภัยมาได้ ไม่ทันตั้งสติสังเกตว่าตอนเขาออกมาไม่เหมือนกับผู้อื่น จนกระทั่งถูกผลักเข้าไปในห้องสอบสวน
ไม่ถูกต้อง!
เขาหันขวับมาทันที เห็นชายหนุ่มค่อยๆ เดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน
เฮ่อชิงเซียวเงยหน้าเล็กน้อย ก่อนประตูห้องสอบสวนจะถูกปิดลงทันที
จ้าวหลางจงสีหน้าแปรเปลี่ยน “ใต้เท้าเฮ่อ นี่ท่านหมายความอย่างไร”
เฮ่อชิงเซียวหยิบหนังสือรับรองที่จ้าวหลางจงเพิ่งเขียนชูตรงหน้าเขา “จ้าวหลางจงมีความสามารถยิ่ง มือซ้ายเขียนหนังสือได้งามเพียงนี้”
จ้าวหลางจงสะอึกในใจ ในที่สุดก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ
ไม่ทันรอให้จ้าวหลางจงตั้งสตินานนัก เฮ่อชิงเซียวก็ยกกระดาษอีกแผ่นขึ้น “แผ่นนี้ จ้าวหลางจงเคยเห็นหรือไม่”
ตอนเห็นคำลงท้ายจดหมายชัดเจน ม่านตาจ้าวหลางจงก็หดเกร็ง ไม่อาจกลบเกลื่อนความตื่นตระหนกของตนเอง
ไปอยู่ในมือเฮ่อชิงเซียวได้อย่างไร!
“จ้าวหลางจง?”
จ้าวหลางจงพลันตั้งสติได้ เอ่ยปฏิเสธ “ข้าไม่เคยเห็น…”
“เหยียนเชา” เฮ่อชิงเซียวตะโกนสั่ง
“ขอรับ”
เฮ่อชิงเซียวกวาดตามองจ้าวหลางจงทีหนึ่ง แววตานิ่งสงบไร้คลื่นลม “จ้าวหลางจงยากจะมาเยือนสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือเรา ช่วยข้าต้อนรับให้ดีหน่อย”
“ขอรับ” เหยียนเชาสองมือกดบีบกันแน่น ก่อให้เกิดเสียงดังกร๊อบ
พอยื่นมือออก ก็มีทหารองครักษ์จิ่นหลินนายหนึ่งส่งแส้ยาวให้
แส้ยาวนี้เป็นแส้หนามย้อนกลับแบบพิเศษเฉพาะกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน บนแส้มีสีแดงคล้ำที่น่าสงสัย
เพียงแต่สะบัดฟาดไปทีหนึ่ง จ้าวหลางจงก็ได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดไม่สู้ตายนั้นเป็นอย่างไร
ความเจ็บปวดแล่นริ้วเข้าถึงกระดูก ต่างจากความเจ็บปวดตอนข้อมือหักอย่างสิ้นเชิง
“อย่าฟาดข้า ใช่ ใช่ ข้าเขียนเอง…” ก่อนที่แส้ที่สามจะฟาดลงไป จ้าวหลางจงก็ตะโกนเสียงแหบพร่า
เฮ่อชิงเซียวยกมือขึ้น เหยียนเชาถือแส้ถอยออกไปยืนข้างๆ
“เช่นนั้นขอจ้าวหลางจงบอกข้า ผู้ใดสั่งให้ท่านเขียน”