สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 292 ต้องมองใหม่
ตอนที่ 292 ต้องมองใหม่
เส้นทางภูเขาเงียบสงบมีแต่เสียงฝีเท้าม้าดัง
หัวหน้าหกมองกลุ่มที่ขี่ม้ามา ก็โบกมือตื่นเต้น “คุณชาย พวกเราอยู่นี่!”
พริบตาก็เข้ามาใกล้ ซินโย่วกระชากบังเหียนหยุดลง
ด้านหลังหัวหน้าหกมีชายหนุ่มรูปร่างกำยำสี่คน เผยรอยยิ้มเก้อเขินเล็กน้อยให้นาง
“นี่คือคุณชายพวกเรา ยังมัวยืนเซ่อทำอันใด คำนับสิ!”
ทั้งสี่ประสานมือพร้อมกัน “คารวะคุณชาย”
“ไม่ต้องมากพิธี” ซินโย่วมองไปด้านหลัง “มีแค่พวกเขาสี่คนหรือ”
“ห้าคน” หัวหน้าหกชี้ที่ตนเอง “ยังมีข้าน้อย ข้าน้อยขอติดตามคุณชาย เผื่อพวกเขามือไม้หยาบกระด้าง ทำงานไม่เป็น”
แม้เชื่อว่าขากลับคุณชายซินจะมารับพวกเขา แต่เขาไม่อาจเซ่อซ่ารออยู่ค่ายเมฆาดำได้
เขาต้องตามไป ต้องเกาะผู้สูงศักดิ์ท่านนี้ให้แน่น!
หัวหน้าหกจะตามไป ซินโย่วย่อมไม่กล่าวอันใด ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “หากเตรียมตัวพร้อมแล้ว ก็ออกเดินทางกันได้ มีม้าหลายตัว”
ตอนซินโย่วพูดกับหัวหน้าหก เจ้าแปดก็ตื่นเต้นเอ่ยว่า “หัวหน้าหก ข้ายังคิดว่าจะไม่ได้พบท่านแล้ว!”
กับเจ้าแปดที่เข้ามาแสดงความสนิทสนม หัวหน้าหกฟาดไปทีหนึ่ง “พูดจาอันใดของเจ้า!”
“ข้าก็คิดว่าข้าจะต้องถูกบั่นศีรษะแล้ว ไม่ได้พบพี่น้องเราอีกแล้ว คิดไม่ถึงคุณชายซินยังจำได้ ลากข้าออกจากคุกมาด้วย” เจ้าแปดน้ำตาใกล้ร่วง มองซินโย่วอย่างซาบซึ้งใจทีหนึ่ง
เหตุเปลี่ยนแปลงพลิกผันครั้งใหญ่ หลังผ่านเหตุการณ์ความเป็นความตายมา เขาเป็นแค่โจรเล็กๆ จึงทนรับไม่ไหว
“เรียกคุณชายสิ ‘คุณชายซิน’ ให้ผู้อื่นเรียก พวกเราเป็นคนของคุณชาย ไม่เหมือนพวกเขา” หัวหน้าหกเอ่ยเตือน
เจ้าแปดพยักหน้าหงึก ประสานมือให้ซินโย่ว “คุณชาย”
เชียนเฟิงกับผิงอันก็แล้วไป กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินที่เฮ่อชิงเซียวพามาได้ยินดังนี้ก็รู้สึกไม่พอใจอย่างไร้เหตุผล
เจ้าโจรภูเขานี่พูดจาอันใดกัน
มีพวกหัวหน้าหกเข้าร่วม เดิมสิบสี่คนก็กลายเป็นยี่สิบคน ทั้งขบวนขี่ม้าเร่งเดินทาง
สองสามวันต่อมา ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ได้รับข่าวจากทางอำเภอหลิง บรรดาขุนนางต่างชื่นชมยกย่องซินโย่ว และเอ่ยชมเฮ่อชิงเซียวไปด้วย จากนั้นเรื่องที่ควรตรวจสอบก็ตรวจสอบ ที่ถูกคุมตัวมาเมืองหลวงก็ถูกคุมตัวมาเมืองหลวง แต่งตั้งเลื่อนรองนายอำเภอหยางเป็นนายอำเภอ การจัดการแต่ละอย่างมิต้องเอ่ยถึงมากนัก
กลับถึงตำหนักบรรทม ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ทรงดึงฎีการองนายอำเภอหยางออกจากแขนเสื้อ มุมพระโอษฐ์แย้มยกทอดพระเนตรอีกหนึ่งรอบ
มหาขันทีซุนเหยียนที่อยู่ข้างๆ แอบกระตุกมุมปากเบาๆ
“ซุนเหยียน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าว่าซินมู่ดวงดีใช่หรือไม่ เดิมก็แค่ผ่านทางไป เลยไปปราบโจร คิดไม่ถึงว่าจัดการทหารกบฏหลบหนีได้ราบคาบ นับว่าได้ระบายอารมณ์ให้เราไปด้วย”
ในฐานะฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งแผ่นดิน ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่อาจทนรับการหยามเกียรติเช่นนี้ได้ กริ้วพวกที่ก่อกบฏมากเป็นพิเศษ
“พ่ะย่ะค่ะ ซินไต้จ้าวแลดูสง่างาม แค่มองก็รู้ว่าเป็นผู้มีบุญญาบารมี” ซุนเหยียนยังจะกล่าวอันใดได้ ได้แต่ตอบรับ
“เจ้าอย่าได้เห็นว่าทหารกบฏเพียงร้อยกว่ายึดครองภูเขาตั้งตนเป็นใหญ่ แอบขยายอิทธิพล ประสบกับราษฎรที่เอาใจออกหากจากราชสำนัก หากสบโอกาสก็ง่ายดายยิ่งที่จะรวมกับกองกำลังทหารกลายเป็นกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ ไม่แน่อาจเป็นภัยใหญ่ต่อรากฐานราชวงศ์ต้าซย่าเรา”
“ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้อง…”
“ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาถึงทะเลสาบอวิ๋นหูแล้วหรือยัง” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสมากเป็นพิเศษ
เขาเองก็ไม่รู้ว่าอารมณ์นี้คืออันใด คิดอยากคุยหรือ
คุยอันใด
แน่นอนว่าคุยเรื่องมู่เอ๋อร์ปราบโจร
เรื่องอำเภอหลิง เป็นที่กล่าวขานในวงขุนนางและชนชั้นสูง คนที่ได้ยินต่างมีความคิดแตกต่างกันไป
องค์หญิงใหญ่เจาหยางตบมือยินดี หัวหน้าเซี่ยแอบไปเดินในห้องโถงทำงานไต้จ้าวรอบหนึ่ง ถึงกับขอให้จานปู่ไต้จ้าวทำนายให้เขา
หัวหน้าเซี่ยไปแล้ว ฉือไต้จ้าวก็ยิ้มเอ่ยว่า “พี่ๆ ทุกท่านรู้สึกไหมว่า ห้องโถงทำงานไต้จ้าวเราเริ่มครึกครื้นแล้ว”
และนี่คือการเปลี่ยนแปลงเพราะซินไต้จ้าวนำมา
หลายคนอดรอคอยการกลับมาของชายหนุ่มผู้นั้นไม่ได้
รองเจ้ากรมต้วนได้ยินเรื่องปราบโจรก็ขังตนเองอยู่แต่ในห้อง ดื่มน้ำชารวดเดียวไปแก้วหนึ่ง
ไปปราบโจรด้วยตนเอง สังหารทหารกบฏร้อยกว่าไม่กะพริบตา… นังเด็กนั่นเป็นมารร้ายมาเกิดโดยแท้ เมื่อก่อนเขายังคิดสังหารนาง
รองเจ้ากรมต้วนพลันรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ ตกใจจนหลั่งเหงื่อเย็น
ในจวนตระกูลจัง ขุนนางบุ๋นหลายคนมารวมตัวกัน ต่างส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้
“ซินไต้จ้าวผู้นี้ ทำให้เราต้องมองใหม่อีกครั้งจริงๆ”
ปราบทหารกบฏ ปราบรังโจรภูเขา นี่คือจุดยืนร่วมกันของบรรดาขุนนางและชนชั้นสูง หากกล่าวผิวเผินก็คือมีความคิดเพื่อแผ่นดิน หากกล่าวจากส่วนลึกในใจ ราชวงศ์ต้าซย่ามั่นคงก็จะทำให้ผลประโยชน์ของชนชั้นสูงเช่นพวกเขามั่นคงไปด้วย
“เขาเป็นคนฉลาดจริงๆ รู้จักคิดหาทางสร้างความชอบให้ตนเองได้” ผู้ที่เอ่ยขึ้นก็คือจังอวี้เฉิน หลานชายเครือญาติของจังโส่วฝู่ที่สอบเคอจวี่ได้เป็นขุนนาง ตอนนี้แม้ตำแหน่งไม่สูงนัก แต่ตระกูลจังก็ลงเสาหลักหนักแน่นมั่นคงไปตลอดชีวิตแล้ว
คนในที่นั้นต่างเป็นคนอยู่ในวงการขุนนางมาหลายปี พลันคิดถึงโลงพระศพฮองเฮาซินที่อีกไม่นานจะมาถึงเมืองหลวง
การที่คุณชายซินสร้างชื่อเสียงนี้ทำให้หลายคนไม่อาจมองข้าม เพราะไม่เป็นผลดีต่อเรื่องที่พวกเขาจะคัดค้าน
“ไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นเรื่องยุ่งยาก…” มีคนถอนหายใจเอ่ยขึ้น
ซินโย่วไปถึงทะเลสาบอวิ๋นหูแล้ว สมทบกับขบวนนำโลงพระศพฮองเฮาซินเข้าเมืองหลวงแล้ว
เดิมเพราะฝนตกติดต่อกันมาหลายวันทำให้เส้นทางน้ำท่วมยากเดินทาง ขบวนนี้จึงไปหยุดพักที่ทะเลสาบอวิ๋นหูอยู่หลายวัน แต่สองสามวันมานี้ในที่สุดก็เริ่มเดินทางได้ พวกซินโย่วจึงเข้าเมืองมาได้อย่างราบรื่น
ขบวนนี้มีคนราวสองร้อยกว่า ผู้รับหน้าที่หลักมีสองคน หนึ่งก็คือขุนพลหลี่จากกองกำลังประจำเมืองหลวง อีกหนึ่งก็คือหวังกงกงขันทีจากหน่วยงานตรวจทัพ
การมาของพวกซินโย่ว ไม่ว่าในใจทั้งสองคนคิดอย่างไร แต่สีหน้ายังคงนอบน้อม ไม่กล้าให้การต้อนรับบกพร่อง
“คุณชายซิน ในที่สุดเส้นทางก็เปิดแล้ว พวกเรารีบออกเดินทางกันเถอะ” หวังกงกงเสียงแหลมดังขึ้น
หวังกงกงอายุสามสิบกว่า กำลังอยู่ในวัยกำลังวังชาแข็งแรง เดิมคิดว่าการลงใต้ครั้งนี้จะสำเร็จและได้รับความดีความชอบอย่างสบายๆ กลับคิดไม่ถึงว่ามีแต่ความยากลำบาก ประสบอุปสรรคมากมาย ตนเองแทบจะราขึ้นเพราะฝนที่ตกไม่จบไม่สิ้นที่นี่แล้ว
ซินโย่วในชุดขาว คุกเข่าลงช้า ๆ หน้าโลงพระศพฮองเฮาซิน
“ท่านแม่ ออกเดินทางกันเถิด” นางพึมพำเบาๆ แต่ไม่ได้หลั่งน้ำตา
เฮ่อชิงเซียวเปลี่ยนชุดขุนนางสีแดงออกเป็นชุดดำ ลงคุกเข่าคำนับโขกศีรษะสามทีเช่นกัน
ทั่วบริเวณเงียบกริบ โลงศพสิบกว่าใบถูกรถม้าลากออกจากทะเลสาบอวิ๋นหู
เส้นทางหลวงเต็มไปด้วยโคลน ทั้งขบวนได้แต่ค่อยๆ เคลื่อนไปช้าๆ มีแต่ความยากลำบากต่อเนื่อง เดินทางท่ามกลางสายฝนมาได้สามสี่วัน ทั้งขบวนจำต้องหยุดพักแล้ว
อากาศกับเส้นทางเช่นนี้ รถม้ายังบรรทุกโลงพระศพฮองเฮามาอีก ไม่อาจเกิดเหตุผิดพลาดแม้แต่น้อย ขุนพลหลี่ที่รับผิดชอบปฏิบัติการครั้งนี้เสนอขึ้นว่า “เดินทางไปข้างหน้าอีกไม่ไกลก็ถึงอำเภอไป๋อวิ๋นแล้ว ถือโอกาสที่เส้นทางยังไม่ถูกน้ำท่วม พวกเรารีบกันหน่อย จะได้ไปหยุดพักในเมืองชั่วคราว คุณชายซิน ใต้เท้าเฮ่อ มีความเห็นอย่างไร”
ซินโย่วที่สวมหมวกสานเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
ท้องฟ้าเทาหม่น ฝนยังคงโปรยปราย ไม่ได้มีทีท่าจะหยุดแม้แต่น้อย
แม้ว่าโลงศพสิบกว่าใบจะคลุมด้วยผ้าอาบน้ำมันหลายชั้น แต่คิดถึงน้ำฝนที่เย็นเยียบดุจน้ำแข็งตกลงกระทบ ในใจนางก็รู้สึกปวดร้าวอยู่บ้าง
เห็นซินโย่วกับเฮ่อชิงเซียวไม่คัดค้าน ขุนพลหลี่ก็ตะโกนสั่งการ “ทุกคนระวังหน่อย ปกป้องรถม้าให้ดี!”
ม่านพิรุณไร้ขอบเขต ขบวนคนสองร้อยกว่ากลับเล็กดังมดปลวก ค่อยๆ มาถึงนอกเมืองอำเภอไป๋อวิ๋น