สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 368 ลงโทษ
ตอนที่ 368 ลงโทษ
……….
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ยิ่งตรัสก็ยิ่งกริ้วเดือดดาล ทอดพระเนตรลงไปเบื้องล่าง ตรัสถามสุรเสียงเข้ม “ผู้ว่าการศาลซุ่นเทียนอยู่ไหม”
ขุนนางผู้หนึ่งก้าวออกจากแถว “กระหม่อมเถียนต้าเฉิง ผู้ว่าการศาลซุ่นเทียน ถวายบังคมฝ่าบาท”
“เมื่อวานบัณฑิตผู้นั้นถูกส่งไปศาลซุ่นเทียนด้วยความผิดใด”
เมื่อวานเชียนเฟิงนำตัวบัณฑิตไปส่งศาลซุ่นเทียน ผู้ว่าการศาลซุ่นเทียนได้ยินว่าเป็นผู้คุ้มกันของซินโย่วนำตัวมาส่ง ก็ไม่กล้ารอช้า ดำเนินการสอบสวนด้วยตนเอง ตอนนี้ถูกฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงถาม ก็พลันรู้สึกโชคดีที่สอบสวนมาอย่างละเอียด ไม่เช่นนี้คงถูกถามจนตอบไม่ได้
“ทูลฝ่าบาท ใส่ร้ายและมุ่งโจมตีขุนนางราชสำนักพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พยักพระพักตร์ “โทษความผิด ‘มุ่งโจมตี’ นี้เราเข้าใจว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ‘ใส่ร้าย’ คืออันใด”
ผู้ว่าการศาลซุ่นเทียนก้มศีรษะทูลตอบว่า “บัณฑิตผู้นั้นว่าซินไต้จ้าวเป็นขุนนางไร้เมตตา ขูดรีดราษฎร——”
ปัง ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงตบบัลลังก์มังกรเสียงดังสนั่น ทำเอาผู้ว่าการศาลซุ่นเทียนตกใจพูดต่อไปไม่ได้
ในท้องพระโรง บรรดาขุนนางต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด ในใจเริ่มระวังตัวขั้นสูงสุด
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรไปยังพวกขุนนางตรวจสอบตู้ด้วยสีพระพักตร์ดำทะมึน “เรามอบสิทธิ์ยื่นฎีกาจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ให้กับขุนนางตรวจสอบ ก็เพื่อให้พวกเจ้าเลือกรับฟังหรือ บัณฑิตผู้นั้นนำไข่เน่าไปปาใส่ซินไต้จ้าว ยังกล่าวให้ร้ายชื่อเสียงซินไต้จ้าวรุนแรงเพียงนี้ พวกเจ้าถึงกับยังคิดให้ซินไต้จ้าวเมตตา ยื่นฎีกาว่าซินไต้จ้าวกระทำการเหิมเกริมหรือ!”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสรวดเดียวติดต่อกัน ก่อนจะค่อยๆ ตรัสช้าๆ “เราว่าพวกเจ้าจงใจขัดขวางนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ พวกเจ้าก็คือขุนนางชั่วที่ทนเห็นราษฎรสุขสบายไม่ได้! ทหาร นำตัวพวกขุนนางตรวจสอบตู้ไปคุมขัง ปลดจากตำแหน่ง!”
พอตรัสเช่นนี้ บรรดาขุนนางก็ส่งเสียงฮือฮาดัง
“ฝ่าบาท ขุนนางตรวจสอบยื่นฎีกาจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เดิมก็เพื่อจะได้ไม่ต้องมีหลักฐาน หากขุนนางตรวจสอบตู้โดนลงโทษด้วยเหตุนี้ วันหน้าคงกลายเป็นเรื่องน่าขันของใต้หล้านี้!” เสนาบดีกรมพิธีการก้าวออกมาขอร้องแทนขุนนางตรวจสอบตู้
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรเสนาบดีกรมพิธีการด้วยสีพระพักตร์เยียบเย็น ตรัสทีละคำ “เราไม่ได้ลงโทษเขาเพราะไม่ยื่นฎีกา แต่เพราะจงใจขัดขวางนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่!”
ขัดขวางนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่เป็นเพียงเรื่องหนึ่ง สาเหตุหลักก็เพราะคนเหล่านี้ยื่นฎีกาเหลวไหลต่ออาโย่ว! แน่นอนเขารับไม่ได้
ดังคาด พอฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสความผิด ‘ขัดขวางนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่’ ไม่ว่าเสนาบดีกรมพิธีการที่ก้าวออกมา หรือคนที่ยังเตรียมเอ่ยขอร้องแทนก็ไม่กล้าส่งเสียงอีก
กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินลากตัวพวกขุนนางตรวจสอบตู้ออกไปทันที
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้จึงได้พระทัยเย็นลง ทอดพระเนตรไปยังผู้ว่าการศาลซุ่นเทียน
ผู้ว่าการศาลซุ่นเทียนใจกระตุกวาบ
เขาคงไม่โชคร้ายไปด้วยกระมัง เขายังไม่ได้ทำอันใดทั้งสิ้นนะ!
“ตอนนี้บัณฑิตผู้นั้นอยู่ศาลซุ่นเทียน?”
ผู้ว่าการศาลซุ่นเทียนรีบกราบทูล “พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้แค่นเยาะ “บัณฑิตผู้นั้นชื่อแซ่อันใด มีตำแหน่งหรือไม่”
“ทูลฝ่าบาท บัณฑิตผู้นั้นชื่อว่าหม่าจี๋หย่วน เป็นเพียงเซิงหยวน[1]”
“เซิงหยวน?” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้ยินก็ยิ่งกริ้วหนัก
เซิงหยวนก็คือคนที่มีตำแหน่งแล้ว ยังจะมาเรียกว่าเป็นชาวบ้านอีกหรือ สุนัขผายลมมารดามันสิ
“เมื่อครู่ตู้อี้เซิงบอกว่า ชาวบ้านแสดงออกถึงความโกรธแค้นด้วยการปาไข่เน่าพบเห็นอยู่เสมอ ในเมื่อเจ้าคนที่ชื่อหม่าจี๋หย่วนคิดว่าตนเองเป็นชาวบ้าน เช่นนั้นก็ปลดจากตำแหน่งเซิงหยวน ไม่ให้สอบเคอจวี่ตลอดชีวิต ให้เป็นชาวบ้านธรรมดาให้สบายใจไป”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสจบ ก็ทอดพระเนตรมองบรรดาขุนนางเบื้องล่างเขม็ง “ขุนนางทุกท่านมีฎีกาอีกหรือไม่”
บรรดาขุนนางพาก้มศีรษะหลบสายตา แต่ละคนหัวหดดังนกกระทา
แม้แต่ขุนนางตรวจสอบยังถูกส่งเข้าคุก ผู้ใดยังกล้าก้าวออกมารนหาที่ตายอีก
สงบเสงี่ยม สงบเสงี่ยมเป็นพิเศษ
“ในเมื่อไม่มีเรื่องใดแล้วก็เลิกประชุมได้” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ลุกขึ้นรีบออกไปทันที
บรรดาขุนนางทยอยกันเดินไปทางประตูวัง การสุมหัวกันก็น้อยลงกว่าทุกครั้ง แต่ละคนดูแล้วตื่นตกใจ บรรยากาศเคร่งขรึมอย่างมาก
จะไม่ตื่นตกใจได้อย่างไร ทันทีที่แตะต้องเรื่องซินไต้จ้าว ฮ่องเต้คล้ายว่าไร้สติสัมปชัญญะ รับสั่งลงโทษมั่วซั่ว
ผู้ใดจะทนรับไหว
ต่างจากบรรยากาศตกต่ำสุดขีดของบรรดาขุนนาง หลังฮ่องเต้ซิงหยวนตี้จัดการคนที่ฟ้องร้องและคนปาไข่เน่าเรียบร้อยหมดจดแล้ว ในที่สุดก็ไม่ได้กริ้วอันใดมากแล้ว กลับถึงตำหนักเฉียนชิงกงก็สั่งให้ขันทีไปเรียกตัวซินโย่วเข้าวัง
ซินโย่วอยู่สำนักฮั่นหลินย่วน ได้รับราชโองการเรียกตัวเข้าเฝ้า ไม่นานก็มาถึงตำหนักเฉียนชิงกง
พอถวายบังคมแล้ว ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ตรัสว่า “เราได้ยินว่าเมื่อวานมีคนเอาเรื่องต่อหน้าเจ้า”
ซินโย่วตั้งสติได้ทันทีว่ามีขุนนางประชุมท้องพระโรงเอ่ยถึงเรื่องนี้ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่ามีคนยื่นฎีกานาง
เมื่อวานนางบอกว่าไม่รีบร้อนลงมือ ก็เพราะอยากรอดูปฏิกิริยาคนผู้นี้
หากเจ้าผู้ครองแผ่นดินไม่มีความคิดแน่วแน่ที่จะผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ เช่นนั้นคิดผลักดันนโยบายใหม่ต่อไปก็คงต้องเผชิญกับความยากลำบากเป็นแน่ แต่การตัดสินใจแน่วแน่ของเขา มองจากแรงกำลังปกป้องนาง ก็พอมองออกได้พอสมควร
“เพคะ คนผู้นี้ไม่รู้ไปได้ยินความคิดบิดเบี้ยวเกี่ยวกับนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่มาจากที่ใด วิ่งมาปาไข่เน่าระบายอารมณ์ใส่หน้าประตูร้านหนังสือ”
“อาโย่วถูกรังแกแล้ว เราสั่งการให้ปลดเจ้าเซิงเหยียนนั่นแล้ว วันนี้คนที่ออกหน้าแทนคนผู้นั้นก็โดนลงโทษไปแล้ว วันหน้าหากมีคนพูดจาเหลวไหลอีก เจ้าก็มาบอกเราก็พอ” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่ชอบตรัสอ้อมค้อมเก็บงำ ทำดีต่ออาโย่ว นางย่อมรู้สึกได้
ซินโย่วถวายบังคมอีกครั้ง “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ศาลซุ่นเทียน
บัณฑิตหม่าจี๋หย่วนถูกนำตัวมายังหน้าผู้ว่าการศาลซุ่นเทียน
ได้ยินว่าถูกปลดจากตำแหน่งเซิงหยวน หม่าจี๋หย่วนก็ตาค้างตกใจ “เป็นไปไม่ได้ๆ……”
ผู้ว่าการศาลซุ่นเทียนกลัวว่าคนผู้นี้จะเสียสติในศาล รีบสั่งว่า “นำตัวออกไป”
เจ้าหน้าที่สองคนลากหม่าจี๋หย่วนออกไป หม่าจี๋หย่วนหันมาตะโกนสุดเสียงว่า “พวกเจ้าปลอมแปลงราชโองการ ฝ่าบาทไม่มีทางปลดตำแหน่งข้า ข้าไม่เชื่อ!”
เจ้าหน้าที่สองคนได้ยินคนผู้นั้นกล้าเอ่ยถึงฮ่องเต้ ไม่รู้ว่ายังจะเอ่ยอันใดน่าตกใจออกมาอีก รีบเข้าไปลากตัวโยนออกไปนอกประตูศาลรวดเร็ว
“ให้ข้าเข้าไป!” หม่าจี๋หย่วนหันหลังวิ่งกลับ
บ่าวรับใช้รออยู่นอกศาลซุ่นเทียน เห็นเขาเช่นนี้ก็รีบเข้าไปรั้งไว้ “นี่คือศาลซุ่นเทียน อย่าได้เอะอะโวยวายที่นี่นะขอรับ”
“ข้าไม่มีตำแหน่งเซิงหยวนอีกแล้ว เพราะพูดไปไม่กี่คำ…” หม่าจี๋หย่วนสูญสิ้นสติสัมปชัญญะ ตะโกนเสียงดังไม่หยุด
คนที่มุงดูเริ่มมากขึ้น
อีกสองวันถัดมา ซินโย่วไปร้านหนังสือชิงซงอีกครั้ง บัณฑิตถูกปลดตำแหน่งเซิงหยวนก็แพร่มาถึงหูพวกผู้จัดการร้านหูแล้ว
“ท่านเจ้าของร้าน สองวันนี้ข้าน้อยส่งคนไปเดินตามร้านสุราและร้านน้ำชาหลายแห่ง แทบไม่มีคนกล้าวิจารณ์ท่านกับนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่แล้ว”
ซินโย่วไม่แปลกใจ
พอลงโทษไปแล้ว เสียงวิพากษ์วิจารณ์เปิดเผยก็ย่อมสงบลงชั่วคราว เป็นเรื่องปกติอย่างที่สุด
ผู้จัดการร้านหูกลับกังวลเล็กน้อย “เช่นนั้นคนเหล่านั้นก็ยังคงแอบวิพากษ์วิจารณ์ท่านเจ้าของร้าน นานวันเข้า ก็จะมีคนเชื่อมากขึ้น”
หลิวโจวไม่คิดเช่นนั้น “ขอเพียงฝ่าบาทยืนอยู่ข้างท่านเจ้าของร้าน ไม่กลัวพวกเขาพูด”
“ชื่อเสียงสำคัญมากนะ” ผู้จัดการร้านหูไม่ได้เอ่ยตรงๆ แต่ในใจกังวลอย่างมาก
หากฝ่าบาทวันใดไม่ปกป้องเจ้าของร้านแล้วเล่า
“พรุ่งนี้ผู้จัดการร้านจัดคนมาดูแลร้านหนังสือ ข้าพาพวกท่านไปดูละคร”
ดูละคร?
ผู้จัดการร้านหูสบตากับหลิวโจวทีหนึ่ง
ไปดูละครจริง หรือว่าไปดูเรื่องสนุก?
คนที่อยากรู้อยากเห็นเช่นพวกผู้จัดการร้านหูกับหลิวโจวมีมากมาย
ฤดูหนาวไม่มีงานทำมากนัก ราษฎรมาล้อมมุงอยู่หน้าเวทีใหญ่ริมถนนพากันวิพากษ์วิจารณ์
“จะร้องละครเรื่องอะไรหรือ”
“ละครไม่ใช่ขับร้องในโรงละครหรือ เหตุมาขับร้องกลางที่โล่งแจ้ง”
“ข้าว่าเป็นเวทีละครขับร้อง ข้าเคยไปโรงละคร”
“โอ เจ้าถึงกับมีเงินไปดูละคร รีบเล่าว่าเป็นอย่างไร”
แต่ไรมาเรื่องจ่ายเงินเสพสุขพวกนี้สำหรับราษฎรทั่วไปแล้วล้วนเป็นเรื่องยาก อ่านนิยายดูละครก็เช่นกัน
ขณะคนผู้นั้นกำลังจะเล่า ผู้คนก็ส่งเสียงฮือฮาดังขึ้น
[1] ทั่วไปเรียกว่า “ซิ่วไฉ” หมายถึงผู้ที่ผ่านการสอบคัดเลือกรอบที่หนึ่งระดับท้องถิ่น จะได้คุณวุฒิระดับเรียกว่า “ซิ่วไฉ” จัดสอบทุกปี ปีละหนึ่งครั้ง