สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 370 จดหมายมาถึง
ตอนที่ 370 จดหมายมาถึง
……….
ขุนนางผู้นั้นถามแทงใจขึ้นมาเช่นนี้
“หย่งอันป๋อก็กล่าวได้ยาก เฮ่อชิงเซียวกับซินโย่วมีความสัมพันธ์กันไม่ธรรมดา จะต้องไม่ปล่อยวิธีนี้ไปเป็นแน่”
“เช่นนี้ก็คงยิ่งยุ่งยากแล้ว” ขุนนางผู้หนึ่งพึมพำขึ้น
เสนาบดีกรมพิธีการจิบน้ำชาไม่เอ่ยอันใด
ก็เหมือนเช่นการคาดเดาของคนเหล่านี้ เฮ่อชิงเซียวเดินทางลงใต้ ไปถึงสถานที่ทดลองดำเนินนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ เรื่องแรกที่ทำก็คือตั้งเวทีละคร เรื่องที่สองก็คือหาขอทานมาให้มาก นำข้อดีของนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่แต่เป็นบทร้องเหลียนฮวาเล่า[1]ที่เข้าใจง่ายและสอนให้พวกเขาร้อง
ไม่นามตามท้องถนนก็เต็มไปด้วยกระแสละคร ตามถนนและตรอกซอกซอยล้วนได้ยินเหลียนฮวาเล่าเกี่ยวกับนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่
พอเริ่มรังวัดที่นา แม้แต่เด็กน้อยก็ร้องได้ว่า “นโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ดีงาม นโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่แยบยล”
ราษฎรลำบากยากจนล้วนเข้าใจข้อดีของนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ เริ่มมีความหวังว่านโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่จะดำเนินการได้สำเร็จ
แน่นอนว่าตระกูลขุนนางเก่าแก่ทรงอิทธิพลไม่พอใจ แต่พวกเป็นขุนนางก็เป็นห่วงว่าหมวกขุนนางจะถูกถอด จึงไม่กล้าคัดค้านเปิดเผย ส่วนพวกคหบดีก็แอบก่อกวนต่างๆ นานาทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
เฮ่อชิงเซียวแสดงท่าทีหนึ่งเดียวต่อเรื่องนี้ ก็คือลงมือแข็งกร้าว
ไม่หวั่นเสียงด่า ไม่หวั่นลงมือหลั่งโลหิต
พวกคหบดีที่คัดค้านรุนแรงมากที่สุดก็ถูกจับกุมไม่ก็ประหารทิ้งไปหลายระลอก ขุนนางตีสองหน้าก็ถูกอำนาจ ‘ประหารก่อนกราบทูล’ ของเขาส่งเข้าคุกหลวง การผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่จึงดำเนินไปอย่างราบรื่นมาก
เฮ่อชิงเซียวจรดพู่กันเขียนจดหมาย มีรายงานลับทูลฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ และมีจดหมายถึงซินโย่ว
รายงานลับเล่ารายละเอียดง่ายๆ ถึงประเด็นสำคัญที่สุดที่ต้องรายงานให้กระจ่าง เฮ่อชิงเซียวชำนาญการเขียนรายงานลับอย่างมาก
แต่พอเป็นจดหมายถึงซินโย่ว ต้องเขียนว่าผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่อย่างไร ละครได้รับการต้อนรับอย่างไร ทุกอย่างต้องเขียนไป ทั้งเมืองเต็มไปด้วยเสียงร้องเหลียนฮวาเล่าก็ต้องเขียนไป…คิดไปคิดมา ทิวทัศน์รายทางก็ควรเขียนไปด้วย
เรื่องที่คิดจะเขียนก็เขียนจบอย่างไม่รู้ตัว เฮ่อชิงเซียวเขียนเสร็จ ‘หนึ่งเล่ม’……
หยิบปึกกระดาษจดหมายกองหนาคิดแล้วก็รู้สึกว่าตัดใจตัดส่วนใดทิ้งไม่ได้สักส่วน จดหมายปึกหนาเท่าหนังสือเล่มหนึ่ง สุดท้ายก็ส่งไปถึงมือซินโย่ว
ยามนี้ย่างเข้าสู่เดือนสิบสองแล้ว ด้านนอกเริ่มเป็นน้ำแข็งแล้ว ลมหนาวพัดหวีดหวิว ซินโย่วหลบอยู่ในห้องอบอุ่น แกะจดหมายค่อยๆ อ่าน
เสี่ยวเหลียนยกชาพุทธาแดงผสมลำไยเข้ามา เหลือบมองจดหมายในมือซินโย่วทีหนึ่งก็ตกใจไม่น้อย “โอะ คุณหนูเขียนหนังสือเล่มใหม่หรือเจ้าคะ”
ซินโย่วก้มศีรษะมองปึกกระดาษหนา อดหัวเราะไม่ได้ “อืม”
“เช่นนั้นบ่าวอ่านได้ไหมเจ้าคะ” เสี่ยวเหลียนอดเขยิบเข้ามาใกล้ไม่ได้
ซินโย่วรีบปิดจดหมาย เอ่ยสีหน้าจริงจังว่า “ร่างคร่าวๆ น่ะ ยังเป็นแค่ร่าง”
คำพูดนี้ไม่อาจทำให้เสี่ยวเหลียนล้มเลิกความตั้งใจได้
‘วาดหนัง’ กับ ‘บันทึกตะวันตก’ สนุกขนาดนั้น นิยายที่คุณหนูเขียนออกมา แม้เป็นร่างคร่าวๆ ก็คงไม่เลวเป็นแน่
“คุณหนู ให้บ่าวอ่านหน่อยเจ้าค่ะ ร่างคร่าวๆ ก็ไม่เป็นไร ให้บ่าวอ่านก่อนเจ้าค่ะ”
ซินโย่วเริ่มนึกเสียใจภายหลังที่ตนเหมือนยกก้อนหินทุ่มใส่เท้าตนเอง ปฏิเสธจริงจังว่า “ไม่ได้ ข้าเคยชินกับการเขียนเสร็จแล้วค่อยให้ผู้อื่นอ่าน แค็กๆ ข้ารู้สึกเย็นมือแล้ว เสี่ยวเหลียนไปเอาเตาอังมือมาหน่อย”
“เจ้าค่ะ” เสี่ยวเหลียนรีบรับคำออกไป ตอนออกไปยังเหลือบมองซองจดหมายที่วางทับอยู่ใต้หนังสือ แม้ตอนแรกยังคิดไม่ทัน แต่ก็รู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดอยู่บ้าง
พอออกจากห้อง สาวใช้ก็ชะงักกึก หวนนึกขึ้นมาได้ วันนี้ได้รับจดหมายจากใต้เท้าเฮ่อ กระดาษปึกหนานั่นไม่ใช่ร่างนิยายแต่อย่างใด เห็นชัดว่าเป็นจดหมายที่ใต้เท้าเฮ่อเขียนถึงคุณหนู!
คิดว่าเมื่อครู่ตนเองไปขอคุณหนูอ่าน เสี่ยวเหลียนก็ตบหน้าผากตนเองอย่างรู้สึกขัดเขิน จากนั้นก็รู้สึกไร้วาจาจะเอ่ย
ใต้เท้าเฮ่อดูแล้วสูงส่งเย็นชา เหตุใดเขียนจดหมายดังเขียนหนังสือได้
แค่นี้ก็ไม่เท่าไร คุณหนูยังหลอกนาง
เสี่ยวเหลียนนึกคาดเดาเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ทันที ตกใจจนต้องปิดปากตนเอง
คุณหนูหลอกนาง เห็นชัดว่าขัดเขิน แต่คุณหนูเป็นคนเปิดเผยเช่นนั้น มีอันใดให้ขัดเขิน
คำตอบก็คือ คุณหนูชอบใต้เท้าเฮ่อ!
แอบรู้ความในใจของซินโย่วแล้ว เสี่ยวเหลียนก็ใจเต้นแรง เดินตัวลอยไร้ความรู้สึก
ไม่ใช่เพราะเหตุใด แต่เพราะตื่นเต้นกับความรู้สึกไวของตนเอง และยังดีใจแทนซินโย่ว
ในสายตาเสี่ยวเหลียน คุณหนูอาโย่วเป็นเสมือนเทพเซียนที่มีความสามารถดลบันดาลทุกสิ่งอย่าง เพราะนางเก่งกาจและมีสติปัญญามาก จึงมักทำให้นางเกิดการรับรู้ผิดพลาดไปเช่นนี้
ตอนนี้พบความในใจซินโย่วแล้ว เสี่ยวเหลียนก็รู้สึกในใจนิ่งสงบลงอย่างน่าประหลาด
ซินโย่วส่งเสี่ยวเหลียนไปนำเตาอังมือมาเป็นคำอ้าง กลัวว่าเสี่ยวเหลียนจะกลับมาเห็นนางอ่านจดหมายแล้วขออ่านด้วยอีก จึงได้พับจดหมายทับเอาไว้ ก่อนจะเปิดหนังสือเล่มหนึ่งนั่งอ่านรอ
พอรอไปรอมาก็พบว่านานกว่าที่คิด
แต่ไรมาเสี่ยวเหลียนทำงานรวดเร็ว เหตุใดวันนี้เป็นเช่นนี้
“คุณหนู เตาอังมือเจ้าค่ะ”
นับว่ารอเสี่ยวเหลียนกลับมาได้เสียที ซินโย่วรับเตาอังมือมาแล้วก็เอ่ยว่า “เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ข้าอยากคิดเรื่องนิยายอีกสักหน่อยว่าจะแก้ไขอย่างไร”
“เจ้าค่ะ คุณหนู ค่อยๆ คิด มีเรื่องอันใดก็เรียกบ่าว” เสี่ยวเหลียนเม้มปากยิ้มออกไป
ซินโย่วจึงได้สบายใจ เริ่มอ่านจดหมายเฮ่อชิงเซียว
จำต้องกล่าวว่า เนื้อหาครบสมบูรณ์ดีมาก แต่พออ่านจดหมายจบ แม้ไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง แต่เรื่องทางใต้ทุกเรื่องก็คล้ายดังได้ประสบมาด้วยตนเอง ทำให้ซินโย่วมีคำพูดมากมายตอบจดหมายกลับ
ตอนเพิ่งเริ่มตอบจดหมาย ก็มีคนมาจากในวัง ตามตัวซินโย่วเข้าวัง
ระยะนี้ในเมืองหลวงไม่มีคนมาหาเรื่องนาง ซินโย่วอดแปลกใจไม่ได้ที่อยู่ๆ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เรียกนางเข้าเฝ้า
“อาโย่วมาแล้ว ข้างนอกหนาวกระมัง” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รอซินโย่วถวายคำนับเสร็จก็แย้มสรวลตรัสถาม น้ำเสียงดังเช่นบิดาต่อบุตรีทั่วไป
“อยู่ในรถมาตลอดเพคะ ไม่หนาวมากเพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงคิดอีกสองสามคำ ก็ตรัสขึ้นว่า “ทางใต้มีจดหมายมา นโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่เริ่มต้นราบรื่นดี”
มีการเริ่มต้นที่ดี ต่อจากนั้นก็จัดการง่ายแล้ว
“เช่นนั้นก็ดีเพคะ” ซินโย่วเดาว่าเฮ่อชิงเซียวส่งรายงานลับกลับมา แต่ทว่าแสร้งทำไม่รู้เรื่องอันใด
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงเล่าถึงสถานการณ์ทางใต้คร่าวๆ ในจดหมายรายงานไม่มีรายละเอียดที่ไม่อาจแบ่งปันกับบุตรสาวได้ ทรงสรวลดังก่อนตรัสว่า “ราบรื่นได้เพียงนี้ ล้วนเป็นผลงานของอาโย่ว”
ตอนเขาได้ยินละครพวกนั้นครั้งแรก ใช้คำว่าตกพระทัยดังสายฟ้าฟาดมาบรรยายความคิดในพระทัยตอนนั้นก็ไม่เกินไป
เหตุใดมีวิธีการแปลกใหม่ใช้งานได้ดีเพียงนี้ เหมือนกับมารดาของนาง——
เมื่อก่อนฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงนึกถึงฮองเฮาซินก็จะมีแต่ความเสียพระทัย ตอนนี้พอนึกถึง นอกจากนึกเสียพระทัยแล้ว ยังมีความภาคภูมิพระทัยขึ้นมาอีกด้วย
ยามนี้ซุนเหยียนเข้ามาพร้อมฎีกา
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เองก็ไม่ได้ให้ซินโย่วออกไป เปิดฎีกาออกอ่านก่อนจะฟาดลงบนโต๊ะอย่างแรง
ซินโย่วกวาดตามองฎีกาที่ถูกปาลงบนโต๊ะทีหนึ่ง ไม่ส่งเสียงอันใด
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสด่าต่อ “เจ้าพวกบัดซบ!”
ซินโย่วยังคงนิ่งเงียบ
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทนต่อไปไม่ไหว ตรัสเล่าเองว่า “ทางเหนือส่งฎีกามาบอกว่าราษฎรเกือบพันคนมาออหน้าที่ทำการ คัดค้านนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ ถึงตอนนี้เพียงแค่รังวัดที่นาก็คงยากดำเนินการแล้ว…” ตรัสจบก็รับสั่งต่อว่า “เรียกขุนนางใหญ่แต่ละกรมกองเข้ามาหารือ”
พอพวกเสนาบดีกรมพิธีการรีบร้อนมาถึง เห็นซินโย่วในตำหนัก แม้เริ่มแรกไม่ชิน แต่ตอนนี้เริ่มชินชาแล้ว
ไม่ชินชาก็ไม่ได้ ไม่เห็นสีพระพักตร์ดำคล้ำของฮ่องเต้หรือ เห็นชัดว่าอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก ยามนี้พูดเรื่องไร้สาระ อาจถูกนำตัวไปขังคุกได้
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รอคนมาครบแล้วก็ตบฎีกาดังปัง ตรัสเล่าสถานการณ์ทางเหนือ
[1] การแสดงขับร้องของขอทานในสมัยโบราณ ต่อมาจึงกลายเป็นศิลปะการแสดงแขนงหนึ่ง