สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 374 การรับรู้ร่วมกันของบรรดาพระสนม
ตอนที่ 374 การรับรู้ร่วมกันของบรรดาพระสนม
……….
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้วางตะเกียบเสียงดัง ทุกคนพากันตกใจชะงักตาม
ไทเฮาทรงรู้ดีว่าบุตรชายกตัญญู แต่ไรมาคิดอยากทำอย่างไรก็ทำ ยามนี้กลับรู้สึกร้อนตัวขึ้นมาอย่างน่าประหลาด คิดหาเรื่องตรัสขึ้นมาด้วยตนเอง “ฝ่าบาท ทรงเป็นอันใดไปหรือ”
“ไม่มีอันใด…” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เดิมคิดจะเสด็จออกไป แต่พอคิดว่าอย่างไรก็เป็นงานเลี้ยงฉลองคืนวันสิ้นปี ยังควรต้องอดทนเอาไว้ก่อน “กินกันต่อเถอะ”
เพียงแต่พอเกิดเหตุการณ์นี้ ทุกคนต่างรู้ว่าฮ่องเต้พระอารมณ์ไม่ดี จากนั้นก็พากันก้มศีรษะรับประทานอาหาร แม้แต่สายตาก็ไม่กล้ามองไปที่ใด
อาหารคืนงานเลี้ยงส่งท้ายปีจบลงท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมตึงเครียด ไทเฮาคิดเอื้อนเอ่ยอยู่หลายครั้ง แต่ติดที่มีคนอยู่กันมาก จึงได้แต่เก็บเอาไว้ก่อน
องค์หญิงเจาหยางเห็นเช่นนี้มุมปากก็กระตุก
ประหลาดจริง มารดานางถือว่าบุตรชายกตัญญู แต่ไรมาทำอันใดตามใจตนเอง ตอนนั้นนางกับพี่สะใภ้ล้วนต้องทนกล้ำกลืนกันไม่น้อย ไม่คิดว่ากลับเสียเปรียบต่อหน้าอาโย่วจนพูดไม่ออกเช่นนี้ได้
องค์หญิงเจาหยางอารมณ์ดีมาก อาหารอร่อยกว่าปกติไม่น้อย
บรรดาพระสนมนางในพาโอรสธิดากลับไปแล้ว องค์หญิงเจาหยางกับซิ่วอ๋องเองก็ออกจากวังกลับจวน ไทเฮาอยู่ต่อ รอให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสว่าจะเสด็จไปส่งนางกลับตำหนักฉือหนิงกง
คืนงานเลี้ยงส่งท้ายปี แต่ไรมาไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้
เดิมไทเฮาไม่ใช่คนที่อดกลั้นอันใดได้ อดกลั้นมาถึงยามนี้ได้ก็ผิดปกติมากแล้ว “ฮ่องเต้กริ้วข้าหรือ”
เพราะนังเด็กนั่น?
“เสด็จแม่ ทรงคิดมากไปแล้ว” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ย่อมไม่ยอมรับ
อดีตกาลราชันปรีชาใช้ความกตัญญูปกครองใต้หล้า ราชทูตจากแผ่นดินเล็กๆ ก็ไม่อาจดูแคลนเสียมายาท นับประสาอันใดกับตำแหน่งยศถากง โหว ป๋อ จื่อ หนานกันเล่า ดังนั้นจึงได้ใจบรรดาเจ้าผู้ครองรัฐ พากันมาบูชาบรรพชนโอรสสวรรค์[1]…
นี่คือคำพูดนักปราชญ์ อยู่บ้านกตัญญูบิดามารดา ภักดีต่อแผ่นดิน นำความกตัญญูปกครองใต้หล้า เป็นวิธีการปกครองหนึ่ง แม้ฮ่องเต้ที่มิได้ผูกพันกับบิดามารดาก็ต้องเสแสร้ง นับประสาอันใดกับฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ที่เดิมก็เป็นบุตรกตัญญู
ไทเฮามองออกว่าฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสไม่ตรงกับพระทัย ก็รู้สึกอัดอั้นตันพระทัยมาก “เด็กนั่นบอกว่าจะไปก็ไป…”
เห็นฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ขมวดพระขนง ไทเฮาก็อารมณ์คุกรุ่นขึ้นมา “ข้ากลับตำหนักฉือหนิงกงแล้ว!”
“น้อมส่งเสด็จแม่”
ไทเฮาสูดลมหายใจลึกทีหนึ่งก่อนสะบัดพระพักตร์ไปทันที พอกลับถึงตำหนักฉือหนิงกงก็ด่าทอยกใหญ่ “ยังไม่มีตำแหน่งองค์หญิง ก็ขึ้นขี่บนหัวข้าแล้ว วันหน้าได้จารึกชื่อในรายนามราชวงศ์จะขนาดไหนกัน”
ในการรับรู้ของไทเฮา ตอนนี้ซินโย่วไม่ยินยอมยอมรับวงศ์ตระกูลเป็นเพราะคิดละโมบมากกว่านี้จึงได้ทำทีปล่อยไปก่อน มีผู้ใดไม่คิดรับฮ่องเต้เป็นบิดา
“เด็กสาวเติบโตในป่าเขาคนหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าเรียนรู้เรื่องเหลวไหลไร้สาระจากมารดาผู้ล่วงลับของนางมากมายเท่าไร ไม่รู้จักธรรมเนียมแม้แต่น้อย…”
ไทเฮาด่าทอเต็มที่อยู่หนึ่งเค่อ[2]จึงได้หยุด แต่ในพระทัยยังคงกริ้วอยู่
บ่าวหญิงสูงวัยข้างพระวรกายจึงได้กล้าเอ่ยเตือน “ไทเฮา กระทบกระเทือนพระพลานามัยเพราะผู้อื่น ไม่คุ้มค่าเพคะ”
“เจ้าว่าฮ่องเต้มีท่าทีอย่างไรกับนังเด็กนั่น”
บ่าวหญิงชราถูกถามจนตอบไม่ออก คิดแล้วก็ทูลตอบว่า “ฝ่าบาททรงพระเมตตา ย่อมทรงดีต่อองค์ชายและองค์หญิงเพคะ แต่ทว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเหนือกว่าไทเฮาเพคะ”
ไทเฮาจึงได้รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย แต่พอคิดถึงซินโย่วบอกว่าจะไปก็ไป รู้สึกเสียพระพักตร์จนอัดแน่นในพระทัย ทำอย่างไรก็ไม่จางหายไป
บรรดาพระสนมนางในต่างครุ่นคิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน
นี่คืองานเลี้ยงคืนวันส่งท้ายปีในวัง เดินจากไปต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ กล่าวได้ว่าไม่เคยมีตัวอย่างเช่นนี้มาก่อน และน่าจะไม่มีผู้ใดกล้ากระทำเช่นนี้อีก
“อิ้วเอ๋อร์” พระสนมเสวียนเฟยดึงมือองค์ชายสามมาเอ่ยว่า “คุณหนูซินเป็นผู้มีพระคุณของเจ้า วันหน้าต่อหน้านางอย่าได้เอาแต่ใจ”
“กระหม่อมทราบแล้ว” องค์ชายสามไม่เข้าใจว่าเหตุใดเสด็จแม่ยังต้องกำชับเช่นนี้อีก
พี่ซินช่วยเขาไว้ แน่นอนว่าเขาจะจดจำความดีของนางไว้ ไม่เช่นนั้นจะไม่กลายเป็นคนลืมบุญคุณคนหรือ
ในใจพระสนมเสวียนเฟยคิดว่า แม้แต่ไทเฮา คุณหนูซินยังไม่เอาพระทัยใส่ ไม่กำชับอีกครั้งนางไม่วางใจ
ตำหนักพระสนมลี่ผิน
องค์หญิงเสวียนเอ่ยถามเบาๆ “เสด็จแม่ คุณหนูซินทำเช่นนั้น…จะไม่เกิดเรื่องหรือ”
ต่อหน้าเสด็จพ่อกับเสด็จย่า และคนมากมายเช่นนั้น บอกว่าไปก็ไป จะไม่โดนลงโทษหรือ
สำหรับองค์หญิงเสวียน อย่าว่าแต่ทำเช่นนี้ แม้แต่เก็บมาคิด ก็ยังรู้สึกว่าน่ากลัว
พระสนมลี่ผินโอบกอดองค์หญิงเสวียนที่ตกใจกับการกระทำของซินโย่ว ได้ยินความสงสัยของบุตรสาวก็ครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วสีหน้าก็เริ่มแปรเปลี่ยน
“เสด็จแม่?”
พระสนมลี่ผินตั้งสติได้ก็ค่อยๆ พูดให้บุตรสาวฟัง “เรื่องนี้คุณหนูซินกระทำได้ฉลาดมาก”
“ฉลาด?”
“ในงานเลี้ยงโดนรังแกก็จากไป เดิมเป็นการไร้ธรรมเนียมอย่างยิ่ง แต่คืนนี้ไทเฮาตรัสก่อนว่าคุณหนูซิน ร่วมงานเลี้ยงในวังไม่ถูกต้องตามธรรมเนียม เช่นนั้นคุณหนูซินออกจากงานเลี้ยงไป ก็อาจกล่าวได้ว่าเชื่อฟังคำผู้ใหญ่ ทำตามพระประสงค์ไทเฮา”
“กล่าวว่านางทำให้การไร้ธรรมเนียมกลายเป็นมีธรรมเนียม?”
พระสนมลี่ผินพยักหน้า “กล่าวเช่นนี้ก็ได้”
ไทเฮาถูกทำให้เสียหน้า เสียเปรียบจนพูดไม่ออก ล้วนเป็นสิ่งที่บรรดาพระสนมนางในต่างได้เห็น
องค์หญิงเสวียนขมวดคิ้ว ไม่รู้กำลังคิดอันใดอยู่
พระสนมลี่ผินเห็นเช่นนี้ก็รีบเตือนสติ “แต่ทว่าทำเช่นนี้ได้ก็ต้องมีเงื่อนไขบางอย่างก่อน”
“เงื่อนไขอันใดเพคะ” องค์หญิงเสวียนเหลือบมองมารดาตนเอง
“ก็คือท่าทีของฮ่องเต้ คุณหนูซินมีน้ำหนักในพระทัยเสด็จพ่อเจ้า แม้เรื่องที่กระทำน่าตกใจในสายผู้อื่น แต่หากมีคำพูดที่มีเหตุผลรองรับ ก็ย่อมไม่เกิดเรื่องอันใด หากเสด็จพ่อเจ้าไม่พอพระทัย เช่นนั้นก็ย่อมหาข้อผิดได้ นับประสาอันใดกับการทำให้เสด็จย่าเจ้าเสียหน้า” พระสนมลี่ผินอธิบายน้ำเสียงอ่อนโยน ในใจรู้สึกหนาวเหน็บ
ความหนาวเหน็บนี้มิใช่มีให้ตนเอง แต่มีต่อบุตรสาว
ชีวิตนางก็คงมาไกลได้เพียงแค่นี้ แต่บุตรสาวยังมีอนาคต การได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้หรือไม่ อาจสร้างความแตกต่างได้ราวฟ้ากับดิน
พระสนมลี่ผินได้แต่กำชับบุตรสาว “สรุปว่าอย่าได้มีเรื่องกับคุณหนูซิน เจ้าดำรงตนสงบเสงี่ยมเชื่อฟัง รูปโฉมโดดเด่น เสด็จพ่อเจ้าจะดูแลเจ้าอย่างดี”
“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ”
ที่อื่นๆ ในวัง คนมีองค์ชายองค์หญิงก็พากันเตือนสติองค์ชายองค์หญิงตนเองอย่าได้มีเรื่องกับซินโย่ว พระสนมนางในที่ได้ร่วมงานเลี้ยงก็พากันเริ่มพิจารณาตนเอง
ก่อนหน้านี้เห็นว่าคุณหนูซินไม่ได้ยอมรับวงศ์ตระกูล ก็ยังคิดดูแคลน ประมาทไปแล้ว! ยังดีที่มีไทเฮาทำให้พวกนางได้เห็นความจริงกระจ่าง
ซินโย่วกลับถึงจวนตระกูลซิน เสี่ยวเหลียนจึงได้กล้าถาม “คุณหนู งานเลี้ยงในวังเลิกเร็วเพียงนี้หรือเจ้าคะ”
ซินโย่วตบหลังมือเสี่ยวเหลียน “ยกของกินมาก่อน กินเสร็จค่อยเล่า”
เสี่ยวเหลียนได้ยินก็ยิ่งสงสัย ไปห้องครัวด้วยตนเอง ไม่นานก็ยกอาหารกับข้าวสี่อย่างน้ำแกงหนึ่งอย่างออกมา
ซินโย่วกินข้าว ดื่มชาพุทธาแดงผสมลำไยแล้วก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงวังหลวงด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
เสี่ยวเหลียนตกใจจนอ้าปากค้าง “คุณหนู ท่านออกมาเช่นนี้ จะไม่โดนลงโทษหรือ”
“ไทเฮาตรัสก่อนว่าข้าไม่ควรปรากฏตัวในงานเลี้ยงวัง ข้าเพียงแค่ทำตามพระประสงค์ไทเฮา หรือว่าจะลงโทษที่ข้าเชื่อฟังไทเฮามากเกินไป?”
“แต่ว่า” เสี่ยวเหลียนได้ยินก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างน่าประหลาด
ไม่ถูกต้อง เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่จะโดนลงโทษหรือไม่เท่านั้น!
“คุณหนู เช่นนั้นวันหน้าจะทำอย่างไรเจ้าคะ ไม่ใช่ว่าท่านไม่อาจเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังแล้วหรือเจ้าคะ”
ซินโย่วยิ้มกว้าง “ข้าไม่อยากไปร่วมพอดี”
ก็เป็นดังที่นางคิดตอนอยู่ในงานเลี้ยงวังหลวง ความเคยชินเป็นเรื่องน่ากลัว ไทเฮาเห็นนางแล้วขัดตา เห็นหน้าก็หาเรื่องจับผิด หากทุกครั้งนางพบกับไทเฮาแล้วคนผู้นั้นคิดว่านางต้องยอมอยู่ตลอด นานวันเข้า คนผู้นั้นก็จะคิดว่านางโดนไทเฮารังแกเป็นเรื่องปกติ
นางเป็นคนนอก เดิมก็ไม่สนใจจะสมาคมกับคนเหล่านั้น วันหน้าเทศกาลต่างๆ ไม่ต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังก็จะเป็นการดีอย่างยิ่ง
เสี่ยวเหลียนฟังออกว่าซินโย่วไม่ได้รู้สึกเสียดายแม้แต่น้อย ก็รู้สึกวางใจแทนนาง
นางก็จะไม่ไปคิดต่อเหมือนกับคุณหนู
[1] คำพูดของขงจื่อ
[2] เวลาหนึ่งเค่อจีนเท่ากับประมาณสิบห้านาที
……….