สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 404 อำเภอเวิน
ตอนที่ 404 อำเภอเวิน
……….
ซินโย่วกล่าวได้อย่างสบายอารมณ์ แต่เฮ่อชิงเซียวกลับรู้สึกได้ถึงกระแสไอร้อนไหลผ่านมาทางมือที่รั้งเขาไว้ แทรกซึมผ่านแขนเสื้อรินรดดวงใจเขา
หัวใจของเขาร้อนผ่าวขึ้นมา ทำให้เขายิ่งไม่รู้จะทำอย่างไร
เขาไม่กล้าขยับ แต่ก็ตัดใจจากไปไม่ได้
ความขัดแย้งเช่นนี้คล้ายดังจะทำให้สติสัมปชัญญะของเขาขาดสะบั้น ทำให้ความคลุ้มคลั่งในใจของเขามีความหวานล้ำหลั่งรินออกมา
ซินโย่วเขยิบเข้าไปใกล้อีกก้าวหนึ่ง กางสองมือโอบกอดชายหนุ่มที่ราวกับท่อนไม้เอ่ยน้ำเสียงแผ่วเบาๆ ว่า “เฮ่อชิงเซียว กอดข้าหน่อย”
หากนางสบายอารมณ์ไม่รู้สึกอันใดได้จริง ก็คงไม่เอ่ยกับคนผู้นั้น
เฮ่อชิงเซียวแข็งทื่อไปทันที ค่อยๆ ยื่นมือขึ้นโอบกอดซินโย่ว
ทั้งสองกอดกันเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเป็นคนปล่อยออกก่อน “อาโย่ว ข้าไปละ”
ซินโย่วยิ้ม “ไม่เรียกข้าคุณหนูซินแล้ว?”
เฮ่อชิงเซียวจ้องมองนางล้ำลึก “วันหน้าเรียกเจ้าอาโย่ว”
โอบกอดและจุมพิต พวกเขาได้กระทำเรื่องเฉกเช่นสามีภรรยากันแล้ว ในใจเขาอาโย่วเป็นภรรยาของเขาแล้ว อาโย่วกล้าหาญเช่นนี้ เหตุใดเขาไม่กล้าแม้แต่จะเรียกชื่อนางกัน
“ข้าไปส่งท่าน” แก้มซินโย่วร้อนผ่าว
นางเดินออกมาส่งเขาผ่านลานต้นทับทิมออกผลสีแดงเพลิง มองไปยังประตูหลังห้องโถงร้านหนังสือแล้วก็หยุดลง “ร้านหนังสือ ท่านคุ้นเคย ข้าไม่ส่งละ”
“อาโย่ว อีกสองวันพบกัน”
เฮ่อชิงเซียวหันหลังเดินเข้าไปที่โถงร้านหนังสือ
ซินโย่วยืนอยู่ที่เดิมปล่อยให้สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดชายกระโปรง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้หันหลังกลับ
จากนั้นก็เก็บสัมภาระ ซินโย่วมองดูเสี่ยวเหลียนวิ่งเข้าวิ่งออก แทบจะเก็บของทุกอย่างไปให้หมด ได้แต่เอ่ยอย่างจนใจ “เดินทางครั้งนี้ต้องนำของไปให้น้อยหน่อย ไปถึงให้เร็วที่สุด ไม่จำเป็นต้องนำของไปมากนัก”
เหตุใดแม้แต่เครื่องประดับหนักสองชุดที่นางไม่ค่อยได้ใช้ก็ต้องนำไปด้วย
“ไม่ใช่ว่าต้องไปนานมากหรือเจ้าคะ ทิ้งไว้ที่นี่หายไปจะทำอย่างไรเจ้าคะ” เสี่ยวเหลียนตอบ
คุณหนูชอบใต้เท้าเฮ่อเพียงนั้น กว่าจะได้เดินทางลงใต้ร่วมกันมิใช่เรื่องง่าย ไม่แน่ว่าอาจจะได้โบยบินไปพร้อมกันไม่ต้องกลับมาอีกแล้ว
“นำของที่จำเป็นไปก็พอ”
พริบตาก็ผ่านไปสองวัน หลังทูลลาฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็นำคนยี่สิบสามสิบคนออกเดินทาง นอกจากคนที่เดิมซินโย่วรู้แล้ว ยังมีเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง… มหาขันทีซุนเหยียนถูกฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ยัดเข้ามาในขบวนกะทันหัน
ภายนอกซุนเหยียนรับภารกิจดูแลการปลูกมันหวานเหมือนเจ้ากรมตรวจสอบเหอ แต่ยังแฝงภารกิจลับจับตามองซินโย่วกับเฮ่อชิงเซียวอีกด้วย
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่อยากให้เก็บเกี่ยวผลผลิตมันหวานพร้อมกับผลผลิตหลานชาย
เพื่อเอื้ออำนวยต่อการนำเถามันหวานไป ทั้งขบวนจึงใช้เส้นทางน้ำ ครึ่งเดือนกว่าก็ถึงอำเภอเวิน
การที่เลือกอำเภอเวินก็เพราะซินโย่วไตร่ตรองมาอย่างละเอียด
เมื่อก่อนตอนนางเดินทางท่องเที่ยวเคยผ่านมาทางอำเภอเวินและแวะพักอยู่ระยะหนึ่ง พอเข้าใจภูมิอากาศดินน้ำของที่นี่ เป็นพื้นที่ที่มีอากาศเหมาะกับการปลูกมันหวาน เส้นทางห่างจากเมืองหลวงก็มิได้ไกลมากจนน่าปวดหัว ส่งข่าวไปมาค่อนข้างสะดวก หากลงใต้ไปอีก อากาศก็จะยิ่งร้อน อากาศยิ่งร้อนยิ่งดีต่อการเจริญเติบโตของมันหวาน แต่น้ำฝนก็มากเกินไป
เข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อำเภอเวินกลับอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ ผืนหญ้าตรงหน้าเต็มไปด้วยความเขียวขจี ต้นไม้ใบดอกผลิบาน
“ที่นี่งดงามจริงเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหลียนอุทานชื่นชม
“พี่เสี่ยวเหลียนลงใต้ครั้งแรกสินะ ทางใต้หลายแห่งเป็นเช่นนี้ ฤดูกาลนี้ ฤดูหนาวไม่ต่างจากฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อน…” หัวหน้าหกเอ่ยอย่างกระตือรือร้น
เสี่ยวเหลียนฝืนยิ้ม พยายามระงับความคิดส่งสายตาค้อนใส่
เชอะ ชายหน้าเหม็นคิดอยากโอ้อวดแย่งความโปรดปรานเจ้านายสินะ
คนหลายสิบคนจะว่ามากก็ไม่มาก จะว่าน้อยก็ไม่น้อย ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นแล้ว นายอำเภอของอำเภอเวินไม่กล้าต้อนรับล่าช้า แทบจะนำที่พักทั้งอำเภอออกมาให้พวกซินโย่วพัก
“นายอำเภอจางไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนี้ ขอถามหน่อยว่านอกอำเภอมีที่นาดีเหลือไหม พวกเราอยากจะขอยืมสักสองสามหมู่ หากมีโรงนาสะดวกให้ยืมพักก็ยิ่งดี”
“มี มี มี น้องชายภรรยาข้ามีโรงนาแห่งหนึ่ง ที่นาชั้นดีมีไม่น้อย…”
“ที่นาชั้นดี ที่นาชั้นรองกับที่นาชั้นล่างอย่างละห้าหมู่ก็พอ”
นายอำเภอจางฟังแล้วประหลาดใจมาก
ใต้เท้าเหล่านี้มาจากเมืองหลวง มาสถานที่เล็กๆ เช่นอำเภอเวิน ต้องใช้ที่นาก็แล้วไป เหตุใดยังต้องการที่นาชั้นล่าง? และทั้งหมดก็ต้องการเพียงสิบห้าหมู่ แค่นี้จะเพียงพอทำอันใดได้
ในใจซินโย่วเองก็คิดอยากได้มากกว่านี้ แต่ทำอย่างไรได้ เถามันหวานที่นำข้ามน้ำข้ามทะเลมาเกรงว่าปลูกในพื้นที่แต่ละหมู่ก็ยังไม่เต็ม ต้องการเพียงสิบห้าหมู่ เห็นชัดว่าไม่น่าแปลกอันใด ไม่เช่นนั้นผู้อื่นก็คงจะนึกสงสัยว่าพวกเขาคิดปลูกมนุษย์ทองคำ
โรงนาอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองนัก นายอำเภอจางนำพวกซินโย่วไปด้วยตนเอง ไม่นานก็จัดที่พักเรียบร้อย
จากนั้นก็จ้างชาวนาผู้มีประสบการณ์มาจำนวนหนึ่ง การปลูกมันหวานก็เริ่มต้นขึ้น
นอกจากนำเถามันหวานกลับมา ยังมีมันหวานอีกสองสามหัวที่ยังไม่เน่าเสีย ซินโย่วนึกถึงวิธีการปรุงที่ฮองเฮาซินเคยเอ่ยไว้ ก็คือหั่นมันหวานใส่ลงในขวดนี้ให้เป็นต้นกล้า
อำเภอเวินเริ่มเข้าสู่กระบวนการไปตามปกติ แต่ทางเมืองหลวง เพราะพวกซินโย่วไม่อยู่ก็ราวกับโยนก้อนหินใส่ผืนน้ำเงียบสงบแตกกระเซ็น
“ได้ยินแล้วหรือยัง ซินโย่วเดินทางออกจากเมืองหลวงแล้ว”
“มิใช่เพียงแค่นี้ ยังมีฉางเล่อโหว เจ้ากรมตรวจสอบเหอ…ซุนกงกงข้างพระวรกายฮ่องเต้ก็ร่วมเดินทางไปด้วย”
“สถานีพักม้าสืบข่าวมาได้ว่าลงใต้กัน”
“พวกเขาลงใต้ไปทำอันใดกัน นี่เป็นภารกิจลับหรือ”
“หากกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินออกไปปฏิบัติภารกิจ ไม่แปลก แต่ซินโย่วเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้อย่างมาก อยากได้อันใดก็ได้ พลันลงใต้ไปเช่นนี้ ในใจข้ารู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก”
พวกซินโย่วออกจากเมืองหลวงเงียบๆ แต่พวกเขาเดิมก็เป็นที่จับตามองของบรรดาขุนนางบุ๋นบู๊ หลังจากแอบสอบถามจากหลายฝ่าย ก็ได้ยินว่าตอนต้นปีต้าซย่าส่งราชทูตออกทะเล ในขบวนมีคนของซินโย่ว และคนของนางนำของประหลาดล้ำค่ากลับมา ลงใต้ครั้งนี้ก็เพื่อนำของสิ่งนี้ไปทำให้อลังการยิ่งขึ้น
ในจวนหลังหนึ่ง กลุ่มคนมารวมตัวกันสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“แท้จริงซินโย่วคิดทำอันใด นำของล้ำค่ากลับมาจากดินแดนโพ้นทะเล?” คนผู้หนึ่งตบเท้าแขนเก้าอี้อย่างแรง “เห็นชัดว่านางคิดยกเลิกการปิดกั้นเส้นทางทางทะเล!”
“ผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ยังไม่พอ ยังคิดเปิดเส้นทางทางทะเลอีก ซินโย่วไม่เหลือทางรอดให้พวกเราใช่หรือไม่!”
เสนาบดีกรมพิธีการสีหน้าเคร่งเครียด “รอให้คนที่ลงใต้ไปสืบข่าวกลับมาก่อนค่อยว่ากัน!”
วงศ์ตระกูลของเขาก็แอบค้าขายกับดินแดนโพ้นทะเล หากนับดูแล้วผลประโยชน์มากยิ่งกว่าครอบครองที่นาชั้นดี
ครึ่งเดือนต่อมา ข่าวที่ได้มาทำให้เสนาบดีกรมพิธีการตกอยู่ในความมึนงง เพาะปลูก? แล่นไปเพาะปลูกในพื้นที่เล็กๆ ไร้ชื่อเสียง?
“ข้าน้อยรู้แล้ว!” ขุนนางผู้หนึ่งเผยสีหน้าหยั่งรู้ “สิ่งที่พวกเขานำกลับมาจากดินแดนโพ้นทะเลคงมิใช่ต้นไม้ที่เขย่าร่วงเป็นเงินทองกระมัง ปลูกต้นหนึ่งก็จะขยายเป็นผืนป่า พอเขย่าก็ได้เงินทองร่วงหล่นเต็มพื้น…”
เสนาบดีกรมพิธีการเงียบกริบ มองดูลูกน้องพูดจาเหลวไหลแล้วก็อยากสังหารเขาทิ้ง
ยามนี้ขุนนางอีกคนก็เอ่ยว่า “โพ้นทะเลมีของประหลาดมากมาย ไม่แน่ว่าอาจเป็นเช่นนี้จริง”
เสนาบดีกรมพิธีการ “…”
แต่ไม่ว่าคาดเดาอย่างไร ก็ทำให้ซินโย่วลงใต้ไปเพื่อการนี้ เรื่องนี้จะต้องเป็นเรื่องสำคัญมาก และเป็นเรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
ซินโย่วเอ๋ยซินโย่ว… ในใจเสนาบดีกรมพิธีการเอ่ยย้ำชื่อที่เขาแค้นใจนี้หลายรอบ แววตาคมกริบยิ่งกว่าคมดาบ
งานเลี้ยงคืนวันส่งท้ายปีนี้ ไทเฮาพบว่าซินโย่วไม่ได้มา อารมณ์ก็ย่ำแย่ลงทันที
นังเด็กควรตายนี้ งานเลี้ยงสำคัญประจำปีของครอบครัว ถึงกับไม่มา เห็นชัดว่าต้องการย้ำเตือนให้ทุกคนนึกถึงงานเลี้ยงคืนวันส่งท้ายปีที่แล้ว ทำให้นางเสียหน้า!
โหมดอ่านต่อเนื่อง
เมื่อเข้าสู่หน้านิยายที่ถูกล็อกด้วยเหรียญระบบจะใช้เหรียญปลดล็อกตอนต่อไปโดยอัตโนมัติ
ปุ่มที่ 4 ใน 4 ตอนถัดไป
ปุ่มที่ 2 ใน 4 ความคิดเห็น
ปุ่มที่ 3 ใน 4 ตอนก่อนหน้า
ปุ่มที่ 1 ใน 4 สารบัญ
0
• เมื่อเหรียญทองหมด สามารถเติมเงินแล้วอ่านต่อได้เลย ไม่สะดุด
• โหมดอ่านต่อเนื่องจะเป็นการตั้งค่ารายเรื่อง และปิดโหมด อัตโนมัติเมื่อออกจากหน้าการอ่านนิยายเรื่องนั้น
• เมื่อเหรียญทองหมด สามารถเติมเงินแล้วอ่านต่อได้เลย ไม่สะดุด
• โหมดอ่านต่อเนื่องจะเป็นการตั้งค่ารายเรื่อง และปิดโหมด อัตโนมัติเมื่อออกจากหน้าการอ่านนิยายเรื่องนั้น
อ่านน้อยลง
ตอนที่ 405 ราชบุตรเขย
……….
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รู้สึกได้ถึงสีพระพักตร์ผิดปกติของไทเฮา ตรัสถามอย่างห่วงใย “เสด็จแม่เหนื่อยแล้วหรือ”
ไทเฮายกน้ำชาขึ้นจิบไปคำหนึ่งก็ตรัสเบาๆ ว่า “พริบตาก็ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว ข้าก็แก่ลงไปอีกปีแล้ว”
“เสด็จแม่ยังทรงอ่อนเยาว์อยู่”
“เทียบกับคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว ข้าดูอ่อนเยาว์กว่าสักหน่อย แต่อายุก็ไม่อาจลวงหลอกได้” ไทเฮาวางแก้วชาลง กวาดพระเนตรมององค์ชายองค์หญิงที่นั่งอยู่ทีหนึ่ง “ซิ่วอ๋องเพิ่งถึงวัยสวมกวน ข้าเชื่อว่าฮ่องเต้จะพิจารณาเลือกให้อย่างดี ไม่ต้องให้ข้าเอ่ยอันใด เสวียนเอ๋อร์ผ่านพ้นปีนี้ไปก็จะสิบเก้าแล้วกระมัง”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรไปยังพระสนมลี่ผินสองแม่ลูก
พระสนมลี่ผินรีบลุกขึ้น “ทูลไทเฮา เสวียนเอ๋อร์ผ่านพ้นปีนี้ไปก็สิบเก้าแล้วเพคะ”
ไทเฮาไม่ได้กล่าวเพื่อพระสนมลี่ผิน แต่แสดงความไม่พอพระทัยต่อฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ “หญิงสาวสิบห้าถึงวัยปักปิ่น แม้องค์หญิงไม่ต้องกังวลเรื่องออกเรือน แต่สิบเจ็ดสิบแปดก็ควรกำหนดได้แล้ว วังหลังนี้ไม่มีเจ้านายหญิง ข้าก็ขอพูดมากสักคำ คู่หมายของเสวียนเอ๋อร์มีตัวเลือกที่เหมาะสมแล้วหรือยัง”
พระสนมลี่ผินคาดไม่ถึงว่าไทเฮาจะตรัสถึงเรื่องการแต่งงานของบุตรสาวนางต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ แต่มิกล้าแสดงออกทางสีหน้า มือที่อยู่ในแขนเสื้อกลับกำแน่น
แต่ไรมาไทเฮามองพวกนางสองแม่ลูกดังสิ่งโปร่งแสง เหตุใดจึงได้ใส่ใจเรื่องการแต่งงานของเสวียนเอ๋อร์ขึ้นมา ยังกล่าวในงานเลี้ยงคืนวันส่งท้ายปี
ความคิดนี้ทำให้พระสนมลี่ผินดังนั่งอยู่บนกองเพลิงแผดเผา
หากฮ่องเต้ตัดสินพระทัยเรื่องนี้แล้วก็ยังดี แต่หากยังไม่ ไทเฮาพลันเลือกราชบุตรเขยให้เสวียนเอ๋อร์จะทำอย่างไร
เทียบกับไทเฮาที่ไม่รู้หนังสือสักตัวแล้ว พระสนมลี่ผินย่อมเชื่อใจการเลือกของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มากกว่า
ในตำหนักผู้คนพากันเงียบกริบ บรรยากาศเริ่มตึงเครียด
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้แย้มสรวล “เสด็จแม่วางใจ เลือกราชบุตรเขยให้เสวียนเอ๋อร์ไว้แล้ว และได้หารือกับฝ่ายชายแล้ว เพียงแต่เพราะเป็นช่วงปลายปี จึงยังไม่ได้เอ่ยถึง รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิก็จะพระราชทานสมรสให้พวกเขา ”
ยามนี้พระสนมลี่ผินไม่รับฟังคำพูดไทเฮาแล้ว หันไปมองฮ่องเต้ซิงหยวนตี้อย่างตกใจ
ฮ่องเต้ทรงเลือกราชบุตรเขยให้เสวียนเอ๋อร์แล้ว?
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรพระสนมลี่ผินด้วยแววพระเนตรปลอบใจ
พระสนมลี่ผินพลันกระตุกวาบในใจและนิ่งสงบลง
เทียบกับพระสนมลี่ผินที่ว้าวุ่นร้อนใจแล้ว พระสนมในที่นั้นล้วนมีเพียงความอยากรู้
ราชบุตรเขยองค์หญิงเสวียนคือผู้ใด?
ปรากฏไทเฮาไม่ได้ถามต่อ เหลือบพระเนตรขึ้นถามว่า “เช่นนั้นแล้วซินโย่วเล่า ข้าจำได้ว่านางโตกว่าเสวียนเอ๋อร์เดือนหนึ่งใช่ไหม”
แววตาบรรดาพระสนมวูบไหว ยามนี้นับว่าเข้าใจแล้ว ที่แท้องค์หญิงเสวียนเป็นเพียงเหตุให้ไทเฮาโยงไปสู่ซินโย่ว มิน่าไทเฮามิทรงถามต่อว่าฮ่องเต้เลือกราชบุตรเขยคนใดให้องค์หญิงเสวียน
ได้ยินไทเฮาเอ่ยถึงซินโย่ว มุมพระโอษฐ์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ยังคงมีรอยยิ้มมิคลาย แต่พยายามระงับสีหน้าเอาไว้ “อืม อาโย่วอายุเท่ากับเสวียนเอ๋อร์”
“เช่นนั้นงานแต่งงานของนางก็ควรกำหนดได้แล้ว นางมิได้มีความผูกพันกับข้าผู้เป็นย่า ข้าก็ไม่อาจข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ ปล่อยให้นางเสียเวลาอันมีค่ามานาน”
“เรื่องการแต่งงานของอาโย่ว ข้ากำลังคิดอยู่” รับรู้ได้ถึงสายตาจากสองฟากมองมา ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสพระสุรเสียงเย็นเยียบอยู่ไม่น้อย
“ยังกำลังคิด เช่นนั้นก็ยังไม่ได้กำหนด ข้าพอมีตัวเลือก…”
“เสด็จแม่!” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตัดบทไทเฮา เหลือบไปทางด้านล่างทีหนึ่ง ตรัสเบาๆ ว่า “ท่านมีตัวเลือก ไว้ค่อยคุยกันข้า มากล่าวในงานเลี้ยงผู้คนมากมาย ยังมีเด็กน้อยเช่นพวกองค์ชายสาม ไม่ค่อยเหมาะ”
ไทเฮาถูกบุตรชายแสดงท่าทีเย็นชาใส่อย่างคาดไม่ถึงก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปทันที สีพระพักตร์พลันบึ้งตึง “ข้ายังไม่ได้พูดอันใด ฮ่องเต้ลำเอียงต่อเด็กนั่นมากไปแล้ว นางจึงได้ไม่เห็นข้าผู้เป็นย่าอยู่ในสายตา!”
“เสด็จแม่ อาหารค่ำคืนวันส่งท้ายปีนี้ไม่กินก็คงเย็นชืดแล้ว” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ระงับโทสะเปลี่ยนเรื่อง ในพระทัยกลับคิดว่า สองปีมานี้เสด็จแม่อายุมากแล้วจริง เริ่มเลอะเลือนไปบ้างแล้ว
งานเลี้ยงในวังจบลงท่ามกลางบรรยากาศอึมครึม ทุกคนรู้ว่าฮ่องเต้อารมณ์ไม่ดี ส่วนพระสนมลี่ผินก็คิดแต่อยากรู้ว่าราชบุตรเขยบุตรสาวนางจะเป็นผู้ใด แต่ก็ไม่กล้าไปถาม
ดีที่ไม่ต้องให้พระสนมลี่ผินทนรอนานนัก พอผ่านพ้นเทศกาลบัวลอย ราชโองการพระราชทานสมรสก็มาถึง
ราชบุตรเขยองค์หญิงเสวียนก็คือเมิ่งเฝ่ยหลานชายเมิ่งจี้จิ่ว
พอได้รับข่าวนี้ พระสนมลี่ผินก็คว้ามือองค์หญิงเสวียนร่ำไห้ เป็นน้ำตาแห่งความดีใจ
“ขอบคุณฟ้าดิน เสวียนเอ๋อร์ เสด็จพ่อเจ้าทรงโปรดเจ้า…”
องค์หญิงเสวียนไม่ได้ตอบอันใด
นางเคยเห็นเมิ่งเฝ่ย เป็นชายหนุ่มรูปงามไม่เลว และเมิ่งจี้จิ่วก็เป็นมหาบัณฑิตที่น่าเคารพยกย่อง
ราชบุตรเขยมาจากตระกูลเมิ่ง ในใจนางก็รู้สึกพึงพอใจ แต่ทว่าเสด็จแม่บอกว่าเสด็จพ่อทรงโปรดนาง ไม่สู้บอกว่าเสด็จพ่อทำให้นางเพราะหน้าที่ของบิดา
แต่เช่นนี้ก็ดีมากแล้ว
คิดถึงคนที่มีวาสนาได้พานพบกันเพียงแค่ครั้งเดียว ชายหนุ่มที่อายุใกล้เคียงกับนาง องค์หญิงเสวียนหลุบตาลงไม่เอ่ยอันใด มุมปากแอบแย้มยกเล็กน้อย
สำนักกั๋วจื่อเจี้ยน
ต้วนอวิ๋นหลางตบไหล่เมิ่งเฝ่ยทีหนึ่ง “พี่เมิ่ง ยินดีด้วย!”
เมิ่งเฝ่ยถูกเขาฟาดจนร้องซี๊ด “พี่ต้วน เบามือหน่อยได้ไหม”
ต้วนอวิ๋นหลางมองดูสหายที่มีท่าทีสงบนิ่งก็เป็นกังวลขึ้นมา กวาดตามองไปรอบๆ เอ่ยเบาๆ ว่า “พี่เมิ่ง หรือว่าท่านไม่ยินดี”
“มิใช่ เหตุใดเจ้าคิดเช่นนี้” ชายหนุ่มพิงกำแพงถามอย่างเกียจคร้าน
หากไม่ยินดีจริง เขาก็ไม่อาจแสดงออก เขามิใช่ฉางเล่อโหว
ฉางเล่อโหวโดดเดี่ยวตัวคนเดียว เขามีท่านปู่ พูดเหลวไหลก็คงถูกท่านปู่คว้ารองเท้าปาเอา
“ก็ดูสีหน้าท่านเหมือนไม่พอใจนัก”
“ข้ามิได้ไม่พอใจ ข้าเพียงแต่สงบนิ่ง”
“สงบนิ่ง?”
“ใช่สิ พวกเราทุกคนล้วนได้วัยแต่งงานกันแล้วไหม ก็ไม่ได้แปลกอันใด” กล่าวถึงตรงนี้เมิ่งเฝ่ยพลันยิ้มขึ้นมา “ก็มีข้อดีอยู่ข้อหนึ่ง ในที่สุดท่านปู่ก็ยอมให้ข้าเลิกเรียนแล้ว”
“อา เช่นนั้นก็ยินดีด้วยจริงๆ!” ต้วนอวิ๋นหลางเอ่ยแสดงความยินดีน้ำเสียงจริงใจ
เมื่อไรที่บ้านจะหาคู่หมายให้เขา เขาเองก็อยากเลิกเรียนแล้ว
ตอนข่าวฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พระราชทานองค์หญิงเสวียนให้เมิ่งเฝ่ยไปถึงซินโย่วก็เดือนสองแล้ว
มันหวานในที่นาเขียวขจีไปทั้งแถบ อีกระยะหนึ่งก็จะได้เวลาเก็บเกี่ยวแล้ว
ซินโย่วยืนอยู่บนคันนา ความคิดล่องลอยไปยังเมืองหลวง “เมิ่งจี้จิ่วเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมาก”
นางไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์มากนัก อย่างไรหลายครั้งความเหมาะสมก็มิได้หมายความว่าจะรักกันได้ แต่ทว่าก็รู้สึกดีใจแทนองค์หญิงเสวียน
ผู้ใหญ่กับสามีล้วนเป็นคนมีคุณธรรม อย่างน้อยก็ไม่ต้องร้อนใจ
เฮ่อชิงเซียวในฐานะคนที่เคยถูกฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เลือกให้สมรสกับองค์หญิงเสวียน ก็ยิ่งไม่มีอันใดกล่าว
เขายืนข้างซินโย่วเงียบๆ มองไปยังชาวนาทำงานกันในพื้นที่เขียวขจี แอบยื่นมือไปกุมมือนางไว้เงียบๆ
ซินโย่วหันหน้ามามองเขา แววตาแฝงรอยยิ้ม “ทำไมหรือ”
มือที่กุมนางไว้ปล่อยลง เฮ่อชิงเซียวเองก็ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่มีอันใด เพียงแค่อยากกุมมือเจ้าไว้”
แม้เขากับอาโย่วไม่อาจเป็นดังองค์หญิงเสวียนกับเมิ่งเฝ่ย ที่ได้กราบไหว้ฟ้าดินท่ามกลางญาติมิตรเป็นพยาน ครองรักกันไปตลอดชีวิต แต่โชควาสนาพวกเขาก็มิได้ด้อยไปกว่าผู้อื่น
หลังเขารู้ความ เขาก็ไม่กล้าคิดถึงความสมบูรณ์พร้อมในเรื่องเหล่านี้อีก
แต่ทว่าเฮ่อชิงเซียวกระจ่างใจดี วันเวลาเช่นนี้ไม่นานก็จะจบลง อีกหนึ่งเดือนกว่ามันหวานก็จะเก็บเกี่ยวได้แล้ว จดหมายรายงานถูกส่งไปเมืองหลวงถึงพระหัตถ์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ด้วยม้าเร็วแล้ว