สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 408 วาจาเหลวไหลเป็นจริง
ตอนที่ 408 วาจาเหลวไหลเป็นจริง
……….
ชายปิดหน้าที่รุมไป๋อิงมีสี่คน คนอื่นไม่บาดเจ็บก็ตาย พากันล้มกองกับพื้นไปแล้ว
ทั้งสี่รับรู้ได้ถึงความไม่กลัวตายของไป๋อิง ก็ไม่กล้าประมาท กระจายกันจับจองพื้นที่ได้เปรียบค่อยๆ กระชับพื้นที่เข้าใกล้
ไป๋อิงยกดาบยาวในมือพลางเลิกคิ้วเยาะว่า “มัวแต่ละล้าละลังอย่างกับสตรีอยู่ทำไมกัน เข้ามาพร้อมกันเลย! ดูว่าพวกเจ้าเก่งกาจ หรือว่าข้าจะเอาชีวิตสุนัขเศษสวะของพวกเจ้า!”
สองแก้มนางเปื้อนโลหิต ไม่รู้ว่าโดนพ่นใส่หรือว่ามาจากในปากตนเอง ตอนกล่าววาจาดุดัน ปลายนิ้วเริ่มสั่นเทา ใกล้ทนยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว
สามคนสู้กับสิบกว่าคน ยากเกินไปจริงๆ
ทั้งสี่สบตากันไปมา พุ่งเข้าหาไป๋อิงพร้อมกันเหมือนรู้กัน
ในยามนี้เองก็มีเงาร่างหลายเงาทะยานออกมา
ทั้งสี่รับรู้ได้ว่าไม่ได้การแล้ว แต่ไม่ทันได้หลบหนีหรือปลิดชีวิตตนเอง ก็ถูกจับกุมไว้ได้อย่างรวดเร็ว
เห็นคนที่ลงมือชัดเจนแล้ว ไป๋อิงก็ผ่อนคลายลงทันที “ท่านโหว”
“คุณหนูไป๋เป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้าไม่เป็นไร” ไป๋อิงปาดใบหน้าทีหนึ่ง แววตาไม่เห็นด้วย “ท่านโหวมาแล้วผู้ใดคุ้มกันความปลอดภัยให้คุณหนูซิน”
แม้นางไปส่งจดหมายไม่ได้ กองกำลังฉางผิงก็ย่อมได้รับข่าว ก็แค่ช้าสักวันสองวันเท่านั้น ในความคิดนาง ที่นาพวกนั้นจะสำคัญอย่างไรก็มิเท่าความปลอดภัยของคุณหนูซินที่ควรเป็นอันดับหนึ่ง
นางคิดว่าฉางเล่อโหวก็ควรคิดเช่นนี้
“อาโย่วเป็นห่วงคุณหนูไป๋ ทางโรงนานางมีวิธีการจัดการอื่นแล้ว”
ได้ยินเฮ่อชิงเซียวเอ่ยเช่นนี้ ไป๋อิงก็ไม่เอ่ยอันใดอีก หันกลับไปถามว่า “ท่านโหว พวกท่านขี่ม้ามาหรือไม่”
“ขี่มา เห็นคนบาดเจ็บล้มตายก็ทิ้งสองคนไว้จัดการ นึกถึงว่าคุณหนูไป๋น่าจะไปได้ไม่ไกล จึงได้ทิ้งม้าไว้ที่นั่น”
เช่นนี้จึงจะเข้าประชิดตัวได้เงียบเชียบ รอโอกาสจับตัว มิให้ปลิดชีวิตตนเอง
“ไม่ต้อง ข้ายังไหว” ไป๋อิงกุมบาดแผลที่แขน หันหลังเดินกลับไป “คนของข้า…”
“บาดเจ็บหนักหนึ่ง ไร้ลมหายใจหนึ่ง”
ไป๋อิงชะงักฝีเท้า ก่อนเร่งเดินไปเงียบๆ
ทหารสองนายทางนั้นกำลังพันแผลห้ามเลือดให้กับคนของตนเองที่บาดเจ็บอยู่ ตรวจค้นศพบนพื้นที่โลหิตไหลนอง ศพกองเกลื่อนกลาด ไม่ว่าผู้ใดเห็นแล้วก็ย่อมนึกภาพถึงฉากสังหารโหดเหี้ยมพลีชีพ
ศพคนปิดหน้าถูกลากไปข้างทางค่อยๆ กลบ คนที่ยังมีลมหายใจถูกนำตัวไป คนของตนเองที่บาดเจ็บหนักก็ให้สองคนดูแลใกล้ชิด
จัดการเรียบร้อยแล้ว ทั้งขบวนก็ขี่ม้าเร่งเดินทางไปยังที่ตั้งกองกำลังฉางผิง
ณ บ้านชาวบ้านหลังหนึ่ง มีคนสองสามคนรวมตัวกันอยู่ในห้องโถงสีหน้าคร่ำเครียด
“จางเหวยหมินถึงกับส่งคนมากมายเช่นนี้ไปคุ้มกันแปลงนา เขาเสียสติไปแล้วหรือ”
“ก็บอกไว้แล้วว่าขุนนางบ้านนาพวกนี้เลี้ยงไม่เชื่อง!”
“เจ้าแอบไปพบเขาหน่อย ถามดูว่าแท้จริงเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
ณ ร้านน้ำชาที่ห่างจากที่ทำการอำเภอเวินไม่ไกลนัก นายอำเภอจางกำลังพบกับคนผู้หนึ่ง
“ใต้เท้าจาง ซินโย่วก่อเรื่องมากมาย ทำให้ทุกคนเสียผลประโยชน์ไม่น้อย ท่านทำเช่นนี้คิดจะง้างกับพวกเราหรือ”
ในใจนายอำเภอจางนึกรังเกียจขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง
เขาไม่คิดจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย แต่ทำอย่างไรได้ หากคิดจะดำรงตำแหน่งในพื้นที่ให้มั่นคง ก็ไม่อาจขาดการสนับสนุนจากตระกูลใหญ่เหล่านี้ จึงต้องอำนวยความสะดวกให้เท่านั้น ตอนนี้เขาไม่กล้านำทั้งครอบครัวมาเสี่ยงภัยไปด้วย
“ข้าเป็นขุนนางที่นี่มาได้สองปี คบหากับพวกพี่จ้าวอย่างดี ก็ขอเสี่ยงภัยเผยให้ทราบสักหน่อย คุณหนูซินปลูกอันใดข้าไม่รู้ แต่ทว่าว่ากันว่ารอถึงเวลาเก็บเกี่ยว ฝ่าบาทจะเสด็จมาทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง…”
คนผู้นั้นตกใจ “ฝ่าบาทจะเสด็จด้วยพระองค์เอง?”
“ใช่ มิใช่ข้าอยากยุ่งเรื่องผู้อื่น แต่หากที่นาเหล่านั้นเกิดปัญหาอันใด ไล่เรียงความผิดไปไม่ถึงพวกพี่จ้าวแต่ข้ากลับโดนคนแรก…”
“ข้าเข้าใจแล้ว” คนผู้นั้นประสานมือคำนับก่อนจะเร่งรีบจากไป นำข่าวฮ่องเต้จะเสด็จอำเภอเวินกลับไปด้วย
“มิน่าจางเหวยหมินถูกนังเด็กนั่นจูงจมูกไป”
“เช่นนั้นพวกเราจากนี้ไปจะทำอย่างไรดี หรือว่าทำลายที่นาตามแผนการเดิมต่อ”
คนที่เป็นหัวหน้าสีหน้าดำทะมึน “จางเหวยหมินส่งคนสองร้อยคนไปช่วย ซินโย่วยังมียอดฝีมือหลายสิบ คน แบ่งออกเป็นสองช่วงเวลา เฝ้าที่นาสิบกว่าหมู่ทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างแน่นหนา ไม่ปล่อยให้ลมเล็ดลอดผ่านไปได้ หากพวกเราคิดทำลายที่นาเหล่านั้นจะต้องใช้คนเท่าไรกัน ไม่เรียกว่ากบฏหรือ”
การเคลื่อนไหวจำนวนมากเช่นนี้ จะไม่ทิ้งร่องรอยไว้ก็คงยาก พวกเขาไม่มีความคิดและความกล้าถึงขั้นก่อกบฏ คิดเพียงแค่รักษาผลประโยชน์เดิมของตนเองไว้เท่านั้น
“หรือว่าจะปล่อยไปเช่นนี้”
คนเป็นหัวหน้าเงียบงันไปนานก่อนถอนหายใจเอ่ยว่า “ดูต่อไปแล้วกัน”
เป็นดังที่ซินโย่วคาดไว้ พอมีคนสองร้อยกว่าที่นายอำเภอจางส่งมาช่วยเหลือ ภาพที่นาถูกทำลายที่นางเห็นก็พลันหายไป
วันต่อมาเฮ่อชิงเซียวกลับมาก่อน อีกสามวัน กองกำลังฉางผิงสองร้อยนายก็มาถึง
ความสามารถของกองกำลังฉางผิงสองร้อยเหนือกว่าคนสองร้อยที่อำเภอรวบรวมมาได้ จากนี้ไปก็เฝ้าประจำโรงนารอเก็บเกี่ยวมันหวาน
ความเคร่งเครียดของซินโย่วก็ผ่อนคลายลงได้บ้าง ไปเดินดูรอบที่นาทั้งสามแปลงทุกวัน ดูเถามันหวานค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย
เฮ่อชิงเซียวมักคอยเป็นเพื่อนนางไปดูเถามัน เขาแอบมองนาง
“เฮ่อชิงเซียว” ซินโย่วชอบเรียกชื่อนี้มาก
น้ำเสียงนางเรียบเย็นเล็กน้อยแต่ก็มีความกังวานใส ยามเรียกชื่อเรียบเย็นนี้ก็ดูเข้ากันอย่างน่าประหลาด
ยามนี้เฮ่อชิงเซียวตอบรับ “อืม” คำหนึ่ง ก่อนจะมองนางอย่างเปิดเผย
“ข้าพบว่า เจ้าตากแดดไม่ดำ” ซินโย่วเขยิบเข้าไปใกล้มองเขา
ทุกวันเดินอยู่บนท้องนา ชายผู้นี้กลับยังคงสูงโปรงผิวขาวละมุนดังเดิม
เฮ่อชิงเซียววิเคราะห์คำพูดหญิงสาวแล้วว่าเป็นคำชม แต่เขาไม่คิดว่าการตากแดดไม่ดำเป็นเรื่องควรค่าแก่การอิจฉาอันใด
เขามองซินโย่วอย่างละเอียดก่อนเอ่ยว่า “อาโย่วเองก็ขาวมาก ตากแดดคล้ำไปเล็กน้อยเท่านั้น”
ซินโย่วเงียบไปก่อนจะบีบมือเฮ่อชิงเซียว
เงียบไปเถอะ เจ้าหนุ่มที่มีดีเพียงแค่หน้าตา
นางนึกรังเกียจที่เขาพูดจาไม่เป็น แต่เขากลับพลิกมากุมมือนางไว้ เอ่ยเบาๆ ว่า “อาโย่วเป็นอย่างไร ข้าก็ชอบ”
เขากล่าวน้ำเสียงจริงจัง น้ำเสียงนิ่งเรียบแต่กลับแผ่กลิ่นอายรักใคร่บางเบา คล้ายดังกำลังเอ่ยถึงเรื่องปกติอย่างที่สุด
ซินโย่วแย้มยกมุมปากอย่างไม่รู้ตัว
นางเองก็เช่นกัน เฮ่อชิงเซียวเป็นอย่างไร นางก็ชอบ
ในวัง ณ เมืองหลวง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรจดหมายจากทางใต้ก็ดีพระทัยอย่างมาก ไม่นานก็เรียกตัวขุนนางใหญ่มาหารือ
“ขุนนางทุกท่าน คิดว่าคงได้ยินมาแล้ว หลายเดือนก่อนซินไต้จ้าวไปจากเมืองหลวง เลือกพื้นที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง เพาะปลูกของล้ำค่าให้ต้าซย่าเรา”
อย่าเห็นว่าเขาอยู่แต่ในวัง ข่าวคราวเหลวไหลนอกวังเกี่ยวกับอาโย่ว เขาล้วนรู้ดี
ปลูกต้นไม้เขย่าเงินทอง?
ตอนเพิ่งได้ยินเรื่องนี้ เขาถึงกับสงสัยความสามารถในการสอบขุนนางของคนพวกนี้ได้มาเพราะทุจริต
แต่ตอนนี้มาคิดดู หากมันหวานได้ผลผลิตดังเช่นอาโย่วว่าไว้ กล่าวว่าเป็นต้นไม้เขย่าเงินทองก็ถูกต้อง
นี่เป็นของล้ำค่าที่ล้ำค่ายิ่งกว่าต้นไม้เขย่าเงินทองเสียอีก เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารที่จะช่วยราษฎรต้า ซย่ายามประสบภัยทุกปี
บรรดาขุนนางได้ยินดำรัสฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็สบตากันไปมา ต่างแสดงท่าทีตกใจ
เป็นไปได้อย่างไร พวกเขาไม่เชื่อว่าซินโย่วกำลังปลูกต้นไม้เขย่าเงินทอง
แค็กๆ อย่างน้อยก็ไม่อาจให้ฮ่องเต้พบว่าพวกเขาเชื่อ…
“อีกไม่ถึงหนึ่งเดือน ของล้ำค่าที่ซินไต้จ้าวปลูกก็จะได้เก็บเกี่ยวแล้ว”
บรรดาขุนนางถวายคำนับ “ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรบรรดาขุนนางใหญ่ ก่อนตรัสถึงจุดประสงค์ที่เรียกทุกคนมา “เราตัดสินใจจะไปอำเภอเวินดูการเก็บเกี่ยวของล้ำค่า”