สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 413 ประหลาด
ตอนที่ 413 ประหลาด
……….
ขบวนของซินโย่วเร่งควบม้ามา ทุกวันใช้เวลาพักผ่อนสั้นที่สุด เร่งรีบเดินทางเช่นนี้ ในที่สุดก็มาถึงสถานที่ช่วงลำน้ำที่ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เกิดเหตุ
เรือใหญ่ลอยเทียบท่าอยู่ริมฝั่ง คนเข้าออกมีสีหน้าเคร่งเครียด องครักษ์จำนวนมากเฝ้าอยู่โดยรอบ
“ซิ่วอ๋อง คุณหนูซิน…”
ซินโย่วกับซิ่วอ๋องก้าวไปด้านหน้า ขุนนางเห็นทั้งสองก็พากันทักทาย สีหน้าตื่นเต้นอย่างมาก
ไม่นานขุนนางภายใต้การนำของเสนาบดีกรมพิธีการก็ออกมาต้อนรับ “ถวายบังคมซิ่วอ๋อง”
ก่อนจะกล่าวกับซินโย่วด้วยน้ำเสียงเย็นชามากว่า “คุณหนูซิน”
ซิ่วอ๋องไม่สนใจทักทายผู้ใด รีบถามทันที “หาเสด็จพ่อพบไหม”
“ฝ่าบาทวาสนาเทียมฟ้า สองสามวันก่อนก็หาพบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีกรมพิธีการเอ่ย มุมปากอดเผยรอยยิ้มไม่ได้
ซิ่วอ๋องดีใจมาก “ดีมาก รีบพาพวกข้าไปพบเสด็จพ่อ!”
เสนาบดีกรมพิธีการลังเลครู่หนึ่ง
ยามนี้ขันทีผู้หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “ซิ่วอ๋อง หลังฝ่าบาทตกน้ำกว่าจะพบก็หลายวันถัดมา พระพลานามัยอ่อนแอมาก ตามความเห็นของหมอหลวงต้องพักผ่อนเงียบๆ อย่าได้พบผู้ใด…”
ซิ่วอ๋องมองไปทางขันที เลิกคิ้วเล็กน้อย “หลี่กงกง ซุนกงกงเล่า?”
ขันทีผู้นี้ชื่อว่าหลี่เหวย เป็นขันทีตำแหน่งรองจากซุนเหยียน แต่ทว่าตอนซุนเหยียนอยู่ เขาก็มักไม่เอ่ยอันใดมากนัก
ได้ยินคำถามซิ่วอ๋อง หลี่เหวยก็ถอนหายใจ “วันนั้นขันทีซุนตกน้ำ ถึงตอนนี้ยังหาไม่พบ”
“มีผู้ใดตกน้ำอีก” ซินโย่วถาม
หลี่เหวยมองดูพวกเสนาบดีกรมพิธีการรายงานชื่อออกมาเป็นชุด ส่วนใหญ่ล้วนกลายเป็นศพ ยังมีอีกจำนวนหนึ่งที่ถึงตอนนี้ ตายไม่เห็นศพ อยู่ไม่เห็นตัว ในนั้นก็มีซุนเหยียนกับเฮ่อชิงเซียว
ซินโย่วกัดฟันแน่น
ซิ่วอ๋องได้ยินแล้วก็ยืนยันจะต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ “เสด็จพ่อเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ผู้เป็นบุตรไม่ได้พบหน้าจะสบายใจได้อย่างไร ในเมื่อหมอหลวงบอกว่าไม่เป็นอันใดแล้ว เช่นนั้นข้ากับอาโย่วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ไว้ค่อยแอบมาดูเสด็จพ่อทีหนึ่งก็พอ”
ซิ่วอ๋องกล่าวเช่นนี้ หลี่เหวยมองดูคนอื่นๆ ก็ก้มหน้าไม่คัดค้านอีก
ซินโย่วรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ตอนออกมา ซิ่วอ๋องก็มารอนางที่หน้าประตูแล้ว
“อาโย่ว ไปกันเถอะ”
ซินโย่วพยักหน้า เดินอยู่ข้างซิ่วอ๋อง
วันนั้นเกิดเพลิงไหม้ ไหม้เพียงเรือพระที่นั่งของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ ตอนนี้ไหม้หมดแล้ว ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ถูกจัดให้ประทับยังเรือลำอื่นแทน
ม่านมุ้งทิ้งตัวปิดบังสายตา ขันทีรับใช้สงบนิ่งเคร่งขรึม สิ่งที่แตกต่างจากในวังก็คือหน้าประตูมีผู้บัญชาการเฝิงเหนียนประจำกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินเฝ้าด้วยตนเอง
ม่านมุ้งเปิดออก กลิ่นหอมของยาอ่อนๆ โชยออกมา ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้บนแท่นบรรทม กำลังบรรทมหลับสนิท ดูแล้วซูบซีดอิดโรยอย่างมาก
ซินโย่วมองดูเงียบๆ ในใจพลันเคร่งเครียดขึ้นมา
ตั้งแต่เกิดเรื่องมาถึงตอนนี้ไม่ถึงเจ็ดวัน ถึงกับผ่ายผอมลงเช่นนี้
หลี่เหวยส่งสัญญาณมือให้ออกไปก่อน
พอออกมาแล้ว ซิ่วอ๋องก็ถามว่า “เสด็จพ่อบรรทมอยู่ตลอดหรือ”
“โอสถที่ฝ่าบาทเสวยมียากล่อมพระสติ หลังเสวยลงไปก็จะบรรทมสักระยะหนึ่ง ทุกวันก็จะมีเวลาที่ได้พระสติอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“กล่าวเช่นนี้ เพียงทรงพักผ่อนเงียบๆ ไม่นานก็จะดีขึ้นหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ซิ่วอ๋องเผยรอยยิ้มผ่อนคลาย “เช่นนั้นก็ดี”
ซินโย่วไม่ค่อยสนิทกับหลี่เหวย จึงไปพบพวกหัวหน้าเซี่ย รอฟังคำพูดจากปากพวกเขาเพื่อทำความเข้าใจเรื่องราวเหตุเพลิงไหม้บนเรือนในวันนั้น
นางไปซิ่วพบอ๋องอีกครั้ง “ซิ่วอ๋อง”
“อาโย่วมีธุระ?” หลังจากเดินทางไปกว่างเฉิง ซิ่วอ๋องพูดจากับซินโย่วน้ำเสียงมีความสนิทสนมเป็นกันเองมากขึ้น
ความเย็นชาของซินโย่วก็ลงน้อยลง “หม่อมฉันอยากไปตามหาฉางเล่อโหวกับซุนกงกง”
“เอ่อ” ซิ่วอ๋องนิ่งอึ้งไปทันที จากนั้นก็แสดงท่าทีสนับสนุน “เช่นนั้นเจ้านำคนไปด้วยมากอีกหน่อย ไปตามหาตามชายฝั่ง อย่าได้ลงน้ำไปด้วยตนเอง”
คนหากจมน้ำตายแล้วไม่ถูกพัดขึ้นฝั่ง เกรงว่าก็คงยากจะตามหาพบ
ซินโย่วกล่าวขอบคุณแล้วก็ไปตามหาคน แต่กลับถูกผู้บัญชาการเฝิงเหนียนประจำกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินขัดขวาง
“คุณหนูซิน ตอนฝ่าบาทมีพระสติตรัสว่า ต้องการให้ท่านอยู่ข้างกายซิ่วอ๋อง อย่าได้ออกไปไหน”
ซินโย่วกำมือในแขนเสื้อแน่น ถามน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “ฝ่าบาทตรัสกับใต้เท้าเฝิงเช่นนี้หรือ”
“ข้ามิกล้าแอบอ้างพระราชโองการ ตอนนั้นหลี่กงกงก็อยู่ด้วย”
ซินโย่วเม้มปาก ไม่ได้คิดสงสัยอีก
ตอนนี้คนผู้นั้นนอนล้มป่วยอยู่บนเตียง การแข็งกร้าวใส่คนเหล่านี้ไม่ใช่วิธีที่ชาญฉลาด
ตอนนี้ซิ่วอ๋องกับซินโย่วเร่งเดินทางกลับมา ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้อยู่ในการดูแลใกล้ชิดของหมอหลวงจึงได้ยังดำรงอยู่ได้ บรรดาขุนนางหารือตัดสินใจเดินทางกลับเมืองหลวง
ซินโย่วไม่อาจอยู่ต่อได้อีก ได้แต่สั่งการให้เชียนเฟิงกับผิงอันค้นหาเฮ่อชิงเซียวแทนนาง
นางนอนไม่หลับทั้งคืน ขอบตาดำคล้ำยากปิดบัง
ดาดฟ้าเรือมองเห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้า สายน้ำไหลไปไม่ขาดสาย
“อาโย่ว”
ซินโย่วหันกลับไปมองซิ่วอ๋องที่เดินเข้ามาใกล้
“เจ้าอย่าได้คิดมา รอให้เสด็จพ่อหายดี ก็ทูลเสด็จพ่อก็ได้”
ซินโย่วยื่นมือไปวางบนราวกั้น หันหลังให้สายน้ำสบตากับซิ่วอ๋อง
ทางสายเลือด เขาคือพี่ชายของนาง แต่นางไม่อาจเกิดความรู้สึกสนิทสนมได้
เพียงแต่ในยามนี้ นางรู้สึกโดดเดี่ยวเคว้งคว้าง การต่อต้านก็ลดลงไม่รู้ตัว
“หม่อมฉันรู้ ซิ่วอ๋องรีบกลับไปนอนเถอะเพคะ”
“อาโย่ว…”
ซินโย่วรอให้เขาพูดต่อ
“เจ้าเรียกข้าว่าเสด็จพี่สักคำไม่ได้หรือ” ค่ำคืน น้ำเสียงซิ่วอ๋องอ่อนโยนราวสายน้ำ
“เรียกท่านอ๋องเหมาะสมกว่าเพคะ” ซินโย่วตอบกลับเช่นนี้ก่อนเดินไปทางท้องเรือ
หลังการเดินทางต่อเนื่องติดต่อกัน ในที่สุดก็ถึงเมืองหลวงแล้ว
วันนั้นบรรดาขุนนางและชนชั้นสูงมารอรับเสด็จนอกเมือง ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ประทับในรถม้าหกตัวลาก ตรงเข้าพระราชวัง
ซินโย่วเงยหน้ามองรถที่ประทับที่มีม่านบางทิ้งตัว รู้สึกเพียงแค่เห็นเงาร่างหนึ่ง
สัญชาตญาณของนางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ความคิดนางถูกความเป็นความตายของเฮ่อชิงเซียวครอบงำไปเกินครึ่ง แต่ก็ค่อยๆ รับรู้ว่าตลอดทางมาเสนาบดีกรมพิธีการกับผู้บัญชาการเฝิงเหนียนประจำกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินและมหาขันทีหลี่เหวยสามคนร่วมแรงกันเป็นหนึ่ง กีดกันคนอื่นไม่ให้เข้าใกล้คนผู้นั้น
หรือสภาพคนผู้นั้นย่ำแย่กว่าวันที่เห็นวันนั้นมาก ถึงขั้นต้องให้ขุนนางเหล่านี้เข้าประกบซ้ายขวา?
พอคาดเดาเช่นนี้แล้ว ในใจซินโย่วก็พลันเย็นวาบ เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างขึ้น
ต้องรีบพบกับคนผู้นั้นให้เร็วที่สุด
คนที่ร้อนใจเรื่องฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ยิ่งกว่าซินโย่วก็คือไทเฮา
“ฮ่องเต้ต้องการพักผ่อนเงียบๆ ไม่อาจพบผู้ใดได้” พอได้ยินมหาขันทีหลี่เหวยอธิบาย สีพระพักตร์ไทเฮาก็ถมึงทึงเริ่มด่าทอ “น่าขัน ข้าเป็นมารดาแท้ๆ! ฮ่องเต้ไม่อาจพบข้า กลับพบขันทีเช่นพวกเจ้าได้ทุกวัน ยังมีขุนนางใหญ่พวกนั้น? นี่มันหลักการสุนัขผายลมอันใดกัน”
หลี่เหวยถูกด่าก็ได้แต่ก้มหน้าไม่อาจโต้ตอบได้
“หลีกไป! ข้าดูว่าผู้ใดกล้าขวางข้า มีโทษคิดไม่ซื่อทั้งหมด!”
องค์หญิงเจาหยางประคองไทเฮาอยู่ มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย
เสด็จพี่ประทับเรือใหญ่ เกิดเพลิงไหม้อย่างน่าประหลาดก็แล้วไป กลับถึงเมืองหลวงถึงกับไม่พบผู้ใด ฟังจากอาโย่ว ระหว่างทางเข้าเมือง นางกับซิ่วอ๋องได้พบเพียงแค่หนึ่งครั้ง
นี่ไม่แปลกประหลาดหรือ
ในเวลาเช่นนี้ นำมารดามาใช้ประโยชน์ได้ดีที่สุด
ไทเฮาก้าวเท้าเข้าไป ที่หมอหลวงเฝ้าในตำหนักบรรทมออกมารับเสด็จ ทูลเตือนนอบน้อม “ไทเฮา ฮ่องเต้พระพลานามัยอ่อนแอ ไม่อาจพบกับคนจำนวนมากได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้” ไทเฮาดึงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกจากแขนฉลองพระองค์ ขึ้นมาปิดพระโอษฐ์และพระนาสิก ผูกไว้ที่ท้ายทอย “หลายปีก่อนตอนอยู่ที่หมู่บ้าน ข้าก็รู้ว่าอาการโรคบางอย่างแพร่มาทางปาก เช่นนี้ได้หรือไม่”
หมอหลวง “…”