สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 414 แล้งน้ำใจ
ตอนที่ 414 แล้งน้ำใจ
……….
ไทเฮาทอดพระเนตรฮ่องเต้ซิงหยวนตี้บนเพระแท่นบรรทมก็ทรงร่ำไห้ “บุตรชายข้า เหตุใดจึงผอมจนเป็นเช่นนี้ไปได้…”
หลี่เหวยข้างๆ รีบปลอบ “ไทเฮาอย่าได้ทรงเสียพระทัยไป ฝ่าบาทต้องการการพักผ่อนเงียบๆ…”
“เจ้าหุบปาก!” ไทเฮาปาดน้ำตา ด่าอย่างไม่เกรงใจ “พวกเราแม่ลูกพูดจา เจ้าเป็นแค่ขันทีมาแทรกอันใดด้วย หากเป็นเมื่อก่อน สาวใช้ยกน้ำชามาพูดแทรกตอนข้าคุยกับบุตรชายเช่นนี้ ตบหน้าทีหนึ่งยังนับว่าเบาไป!อย่างไรเจ้าก็เป็นขันทีข้างพระวรกายฮ่องเต้ เหตุใดไม่รู้จักธรรมเนียมเหมือนสาวใช้อ้วนเรือนคหบดีชาวบ้านกัน”
หลี่เหวยใบหน้าแดงก่ำ หุบปากแต่โดยดี
ไทเฮาแม้ด่าทอ แต่กลับจดจำคำหมอหลวงได้ ยืนอยู่ข้างแท่นบรรทมมองดูบุตรชายอยู่ห่างๆ อย่างละเอียด ยิ่งมองก็ยิ่งปวดใจ
“น่าสงสารจริง ข้าก็บอกแล้วว่าอย่าไปที่ไกลเพียงนั้น เจ้าเป็นฮ่องเต้ ความปลอดภัยของตนเองสำคัญที่สุด…” ไทเฮาบ่นอยู่นานก่อนจะปาดหางพระเนตร “ลูกแม่ ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสพระสุรเสียงแหบพร่ารุนแรง “ไม่เป็นอันใด…แค็ก แค็ก แค็ก …”
เห็นบุตรชายเอ่ยวาจายากลำบากเช่นนี้ ไทเฮาก็ไม่กล้าถามต่อ ไม่ทันรอให้คนไม่มีตาเอ่ยปลอบขึ้น ก็กำชับฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ให้พักผ่อนให้ดี ก่อนจะยื่นพระหัตถ์ให้องค์หญิงเจาหยาง
องค์หญิงเจาหยางประคองแขนไทเฮาออกจากตำหนักเฉียนชิงกง
“ล้วนเพราะยัยเด็กซินโย่วนั่นแท้ๆ วันๆ เอาแต่ก่อเรื่องเหลวไหล ตอนนี้ทำร้ายพี่ชายเจ้าเอาเสียแล้ว…” ไทเฮาด่าซินโย่วตลอดเส้นทางกลับตำหนักฉือหนิงกง
องค์หญิงเจาหยางออกจากวัง กลับถึงจวนองค์หญิงใหญ่ ซินโย่วก็มารอนางอยู่ในจวนแล้ว
“ท่านอา ได้พบฝ่าบาทไหมเพคะ”
“ได้พบแล้ว” องค์หญิงเจาหยางให้บ่าวรับใช้ออกไปหมดแล้วก็ไม่กล่าวอ้อมค้อมอีก “ดูแล้วสุขภาพอ่อนแอผ่ายผอมมาก ในระยะเวลาสั้นๆ นี้เกรงว่าไม่อาจดูแลราชกิจได้”
“พระสติเป็นเช่นไร”
องค์หญิงเจาหยางได้ยินก็นิ่งอึ้งไปมองท่าทางซินโย่วด้วยสีหน้าแปลกไป “อาโย่ว เจ้าถามเช่นนี้หมายความว่า…”
ซินโย่วลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยสิ่งที่คิดในใจออกมา “หม่อมฉันรู้สึกว่าแปลกอยู่บ้าง ตั้งแต่เกิดเรื่อง ตลอดทางกลับเมืองหลวง พวกเสนาบดีกรมพิธีการเป็นคนจัดการทั้งหมด เมื่อก่อนฝ่าบาทให้ความสำคัญกับคนกลุ่มนี้หรือเพคะ”
ตั้งแต่ผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ คนกลุ่มใดในราชสำนักคัดค้านนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ คนกลุ่มใดเป็นพวกนิ่งดูเฉย คนกลุ่มใดเอนเอียงมาทางนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ ล้วนแยกแยะชัดเจน
พวกเสนาบดีกรมพิธีการเป็นกลุ่มคัดค้านนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่อย่างชัดเจน ในเมื่อคนผู้นั้นริเริ่มผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ จะพึ่งพาอาศัยกลุ่มเสนาบดีกรมพิธีการในห้วงเวลาเช่นนี้ได้อย่างไร
องค์หญิงเจาหยางคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง “แม้พระพลานามัยฮ่องเต้อ่อนแอ แต่พระสติยังคงกระจ่างชัด เรื่องนี้มองออก”
ซินโย่วพลันรู้สึกงุนงง
องค์หญิงเจาหยางตบหลังมือนางปลอบใจว่า “อาโย่ว เจ้าอย่าได้คิดมากเกินไป เกิดเหตุแห่งความเป็นความตายนี้ขึ้น ร่างกายไม่อาจฟื้นฟูดังเดิมเต็มที่ ความคิดก็คงจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง”
ซินโย่วพยักหน้า
องค์หญิงเจาหยางมองนางทีหนึ่ง ถอนหายใจเอ่ยว่า “อาโย่ว ความจริงเจ้าดูแล้วอิดโรยยิ่งกว่า”
ซินโย่วนิ่งอึ้งไปทันที
“เพราะฉางเล่อโหวกระมัง”
“เสด็จอา” ซินโย่วอ้าปากคิดเอ่ย แต่ลำคอคล้ายดังมีเหล็กนาบร้อน เจ็บปวดจนไม่อาจกล่าวต่อไปได้
เขาเกิดเรื่องแล้ว ไม่รู้เป็นหรือตาย นางถึงกับไม่อาจออกไปตามหาเขาได้
ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกปวดร้าวในใจยากทนรับไหว
นางไม่คิดว่าผลสุดท้ายจะเป็นเช่นนี้ นางมักคิดว่านางและเขาเพียงแต่แยกจากกันอีกครั้งตามปกติ เดือนแปดปีนี้ก็ยังจะได้ร่วมฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ร่วง
“อาโย่ว” องค์หญิงเจาหยางยื่นมือไปโอบกอดสาวน้อยที่ตกในสภาพเลื่อนลอย “ไม่ว่าอย่างไร เจ้าต้องคิดถึงมารดาเจ้า เจ้าเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของนาง นางหวังเพียงให้เจ้ามีชีวิตที่ดีตลอดไป”
“หม่อมฉันรู้…” เงยหน้าสายตาเมตตาขององค์หญิงเจาหยาง ซินโย่วก็ค่อยๆ เอ่ยขึ้นช้าๆ
แต่นางไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร
ตอนท่านแม่เกิดเรื่อง นางยังอาศัยความแค้นยืนหยัดผ่านช่วงเวลายากลำบากนั้นมาได้ แต่ตอนนี้นางถึงกับไม่มีเป้าหมายที่จะโกรธแค้นและไปเรียกร้องทวงคืนความยุติธรรม
ดังนั้นอารมณ์ทั้งหมดก็เหลือเพียงความเจ็บปวดรวดร้าว และความมุ่งมั่นในปณิธานยังไม่สำเร็จ ไม่อาจสละทิ้งไปในตอนนี้ได้
มาถึงยามนี้ องค์หญิงเจาหยางเองก็เข้าใจแล้ว ชายในดวงใจของอาโย่วก็คือฉางเล่อโหว
นางก็ยิ่งรู้สึกสงสารหลานสาวของนางผู้นี้อย่างมาก
นางเคยมีความรักที่จริงใจและร้อนแรง รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดยามเบื้องหลังไร้คนที่รักคอยอยู่เคียงข้าง
มันคือความรู้สึกเสียใจยามได้เห็นวิหคบนยอดไม้ ได้กลิ่นสุคนธ์พัดพาตามสายลม หลายปีจากนั้นไม่อาจได้แบ่งปันกับเขาอีกแล้ว
ความเสียใจนี้ไม่อาจเอ่ยกับผู้ใดได้
“อาโย่ว”
“เสด็จอา ท่านเชิญกล่าว”
“ฉางเล่อโหวเป็นคนเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวอย่างมาก แต่เล็กมาก็เผชิญอุปสรรคมามากมาย ก็ยังพิชิตฝ่ามาได้ เจ้าต้องเชื่อมั่นในตัวเขา เขาไม่มีทางล้มลงง่ายๆ เพราะความลำบากเพียงแค่นี้
“อืม หม่อมฉันเชื่อมั่นในตัวเขา”
นางได้แต่เชื่อใจเขา จึงจะก้าวเดินต่อไปได้
สองสามวันต่อมา ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ไม่ได้เสด็จออกประชุม มอบงานราชกิจให้เหล่าขุนนางใหญ่ร่วมหารือ ส่วนใหญ่ก็จัดการไปตามระเบียบ หากเป็นเรื่องสำคัญมากก็ค่อยส่งไปตำหนักเฉียนชิงกง
ซินโย่วรอคอยข่าวคราวการตามหาเฮ่อชิงเซียวจากทางใต้มาตลอด แต่ก็ไม่ได้ข่าวคราวอันใด แต่กลับได้ยินคำสั่งใหม่เกี่บวกับนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้คิดว่าการเกิดเรื่องในครั้งนี้เป็นคำเตือนจากฟ้า ตัดสินพระทัยยุติการผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่
พอราชโองการนี้ออกมา ซินโย่วก็ตรงเข้าวังขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ซิงหยวนตี้
ไม่นานขันทีก็มาเชิญ “ซินไต้จ้าว ฮ่องเต้ให้ท่านเข้าเฝ้าได้”
คำตอบนี้ทำให้ซินโย่วแปลกใจอยู่บ้าง
นางเตรียมใจถูกปฏิเสธไว้แล้ว
เส้นทางตรงไปยังตำหนักเฉียนชิงกงเป็นเส้นทางที่คุ้นเคยอย่างมาก แต่ตอนนางเห็นฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พิงอยู่บนพระแท่นบรรทมกลับรู้สึกแปลกตาไม่คุ้นเคย
คนผ่ายผอมลงไปมาก แววพระเนตรคล้ายว่าเย็นชาลงไปด้วย เย็นยะเยือกไร้ความอบอุ่นแม้เพียงน้อยนิด
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท”
เงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะได้บินเสียงแหบพร่าดังขึ้นเหนือศีรษะ “ลุกขึ้นได้”
ซินโย่วลุกขึ้น หลุบตาลงรอสอบถาม
“อาโย่ว เข้าวังมามีเรื่องอันใด”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันได้ยินว่าทรงคิดยกเลิกนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ เป็นเรื่องจริงหรือเพคะ”
“ใช่”
“ปีที่แล้วทดลองดำเนินนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ทางใต้และเหนือ ภาษีฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงก็เพิ่มมากขึ้นอย่างมาก ข้อดีของนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ก็ทรงได้เห็นแล้ว เหตุใดจึงยกเลิกกะทันหันเพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ขมวดพระขนงแน่น “เจ้ากำลังบีบคั้นเรา?”
เดิมฮ่องเต้กับขุนนางสนทนากันไม่อาจจ้องมองพระพักตร์โดยตรงได้ ซินโย่วกลับอดเหลือบตามองไปทางฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่ได้
ที่แท้คนผู้นี้แล้งน้ำใจขึ้นมาก็เป็นเช่นนี้
“หม่อมฉันมิกล้า หม่อมฉันเพียงแต่ไม่เข้าใจ”
“เราไม่ได้ให้คำอธิบายแล้วหรือ” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ยกพระหัตถ์ชี้ฟ้า “เพราะฟ้าเบื้องบนเตือนสติเรา ครั้งนี้เราปลอดภัยมาได้ หากทำอันใดตามอำเภอใจอีก ก็ไม่แน่แล้ว”
“ฝ่าบาท นโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่เป็นนโยบายที่ดีและมีประโยชน์ต่อแผ่นดินและราษฎร หากฟ้าทรงศักดิ์สิทธิ์ ก็คงไม่ลงโทษเพราะดำเนินนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่หรอกเพคะ…”
“แต่ความจริงก็เป็นเช่นนี้” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่ทนรอให้ซินโย่วกล่าวจบ ก็ตัดบทนาง “หากไม่ใช่ว่าผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ ไม่ใช่มันหวานที่นำกลับมาจากดินแดนโพ้นทะเลอะไรนั่น เราจะลงใต้หรือ เราก็คงไม่ประสบเหตุเช่นนี้!”
ซินโย่วรู้สึกเพียงว่าเหลวไหลสิ้นดี “ฝ่าบาท ตอนนี้ทรงได้พระสติแท้จริงหรือเพคะ”
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พลันแปรเปลี่ยน “เจ้าว่าเราเลอะเลือนหรือ”
ซินโย่วเม้มปากจ้องมองฮ่องเต้ที่กำลังกริ้วเดือดดาล
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เอ่ยพระสุรเสียงเย็นเยียบ “เจ้าไม่เพียงแต่ไม่ห่วงใยเรา แต่ยังตำหนิเรา เจ้าไม่ให้ความเคารพเช่นนี้ เพราะก่อนหน้านี้เราทำให้เจ้าคิดเข้าใจผิดไปเอง โปรดปรานเจ้าจนเจ้ากล้าเหิมเกริมเช่นนี้หรือ”