สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 415 หนี
ตอนที่ 415 หนี
……….
ซินโย่วมองพระพักตร์เย็นเยียบดุจน้ำแข็งของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ รู้สึกเพียงแค่แปลกหน้าอย่างที่สุด
ตกน้ำเพียงครั้งเดียวก็คล้ายเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งจริงๆ…พอความคิดนี้ผุดขึ้นมา ในใจซินโย่วก็กระตุกวาบ
หากไม่ใช่ว่านางเกิดเหตุผิดพลาดถูกจำผิดคนกลายมาเป็นโค่วชิงชิง นางก็อาจจะไม่คิดสงสัยอย่างใจกล้าได้เช่นนี้ แต่ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรงหน้าตอนนี้ นางไม่อาจระงับความคิดไม่ให้คิดได้
บางทีเขาอาจไม่ใช่เขาแล้ว?
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กลับไม่ให้โอกาสซินโย่วได้ทำความเข้าใจให้แน่ชัด “ซินโย่วบังอาจเหิมเกริม ไร้เจ้านาย ไร้บิดาในสายตา มีโทษอาญาล่วงเกินเบื้องสูง พระราชทานผ้าแพรขาวสามฉื่อ…”
ซินโย่วไม่รอให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสจบก็หันหลังวิ่งหนีออกไปทันที
นางเคลื่อนไหวรวดเร็ว ขันทีที่เตรียมเข้ามาจัดการยังตั้งสติไม่ทัน
พอฮ่องเต้พระราชทานโทษตายก็ถึงกับวิ่งหนีไปทันที เรื่องเกินคาดหมายเช่นนี้ พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน!
มหาขันทีหลี่เหวยเองก็มิเคยพบมาก่อน พออึ้งไปได้ครู่หนึ่งก็ตะโกนเสียงดังขึ้น “ทหาร จับตัวซินโย่วไว้!”
องครักษ์นอกตำหนักได้ยินก็เคลื่อนไหวทันที
ซินโย่วตัดสินใจหนี ย่อมคว้าโอกาสล้ำค่าน้อยนิดไว้ได้ก่อน ขณะที่องครักษ์ยังไม่เข้าล้อมไว้ ก็พุ่งหนีออกไปยังอุทยานด้านหลังก่อน
องครักษ์ไล่ตามมาด้านหลังได้แต่หยุดชะงัก ปล่อยให้การติดตามไล่จับกุมเป็นหน้าที่ของขันทีต่อไป
นี่ก็คือสาเหตุที่ซินโย่วเลือกหนีไปยังอุทยานด้านหลัง รู้ว่าฮ่องเต้ซิงหยวนตี้คิดสังหารนาง หากนางหนีออกไป ไม่นานก็คงถูกองครักษ์ล้อมไว้ ตกอยู่ในวงล้อมหนีไม่พ้น
อุทยานบุปผาด้านหลังมีภูเขาจำลองและศาลาพัก ยังมีต้นไม้โบราณ บุปผาแปลกหายาก การตามหาคนสักคนย่อมต้องใช้เวลาสักหน่อย
พอมีเวลาเช่นนี้ ข่าวฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พระราชทานโทษตายให้นางก็แพร่ออกไปได้ บางทีอาจเปลี่ยนแปลงได้
มหาขันทีหลี่เหวยย่อมนำคนเข้าไปยังอุทยานด้านหลังด้วยตนเอง
ยามนี้ในอุทยานบุปผาด้านหลังมีพระสนมจำนวนหนึ่งกำลังเดินเล่นชื่นชมหมู่ผกา พอเห็นกลุ่มขันทีมากันด้วยท่าทีดุดัน ก็พากันสีหน้าแปรเปลี่ยน
แต่ไรมาในวังหลวงคุ้มกันแน่นหนา ไหนเลยจะเคยเกิดสภาพเช่นนี้
พระสนมทั้งสองเห็นซินโย่วหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” หลี่เหวยถามน้ำเสียงเคร่งขรึม
สองพระสนมส่ายหน้า
“ซินโย่วมีโทษล่วงเกินเบื้องสูง ฮ่องเต้พระราชทานโทษตาย หากพระสนมทั้งสองพบเห็นนาง ขอได้โปรดรีบรายงานทันที”
“ทราบแล้ว”
พอหลี่เหวยนำกลุ่มขันทีรีบร้อนไปกันแล้ว พระสนมสองนางก็สบตากันทีหนึ่ง ไม่มีใจคิดเดินเล่นต่อ
ยังมีคนอีกไม่น้อยที่ถูกถามเช่นพระสนมทั้งสอง แต่ล้วนไม่มีคนเห็นซินโย่ว
หลี่เหวยสีหน้าเคร่งเครียด ตามขันทีมาเยอะยิ่งขึ้น แบ่งออกเป็นสองสามกลุ่ม “ค้นหาทุกตารางนิ้ว ข้าไม่เชื่อ ว่าคนเป็นๆ จะติดปีกบินหนีไปได้!”
ขันทีสองสามกลุ่มกระจายกำลังออกค้นหา หลี่เหวยค้นหามาถึงหมู่เขาทับซ้อนเขียวขจี
หมู่เขาทับซ้อนเขียวขจีเป็นภูเขาจำลองที่สูงที่สุดและใหญ่ที่สุดในอุทยานบุปผา บนภูเขามีศาลา ใต้ภูเขามีถ้ำ ยังมีบันไดหินปูลานเป็นเส้นทางวนรอบขึ้นยอดเขาโดยเฉพาะ
หลี่เหวยมององค์หญิงเสวียนทีหนึ่ง คำนับอย่างขอไปทีก่อนจะเอ่ยว่า “บ่าวหลี่เหวยถวายบังคมองค์หญิง”
องค์หญิงเสวียนยืนอยู่ปากถ้ำของภูเขาจำลอง ยิ้มอ่อนโยนเอ่ยว่า “หลี่กงกงไม่ต้องมาพิธี”
“ไม่ทราบว่าองค์หญิงทรงเห็นซินโย่วหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“คุณหนูซิน?” องค์หญิงเสวียนเผยสีหน้าสงสัย “คุณหนูซินก็มิได้พักอยู่ในวัง เหตุใดจะมาอุทยานด้านหลังกัน”
หลี่เหวยเหลือบมองไปยังปากถ้ำจำลองด้านหลังองค์หญิงเสวียนทีหนึ่ง อธิบายว่า “ซินโย่วล่วงเกินฮ่องเต้ ได้รับพระราชทานความตายด้วยผ้าขาวสามฉื่อ แต่นางไม่รับพระเมตตา ถึงกับหนีมาอุทยานด้านหลัง…”
องค์หญิงเสวียนริมฝีปากซีดขาว ท่าทางตกใจมาก “ถึงกับมีเรื่องเช่นนี้?”
“บ่าวไม่กล้ากล่าวเหลวไหล ขอองค์หญิงเปิดทาง บ่าวจะได้เข้าไปตรวจค้นในถ้ำ”
“เมื่อครู่ข้าเข้าไปในถ้ำมา ด้านในไม่มีคน”
หลี่เหวยหัวเราะเอ่ยว่า “บ่าวรับพระบัญชามาจับกุมตัวซินโย่ว มิกล้าประมาท ขอองค์หญิงโปรดหลีกทางด้วย ให้บ่าวดูทีหนึ่ง จะได้ไปกราบทูลได้พ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงเสวียนขมวดคิ้ว “หลี่กงกงไม่เชื่อข้าหรือ”
“บ่าวมิบังอาจ แต่ทว่าราชโองการฮ่องเต้สำคัญอันดับหนึ่งในใจบ่าว บ่าวตรวจแล้วก็จะไปเอง องค์หญิงก็คงไม่อยากให้ฮ่องเต้ทรงระแวงกระมัง”
องค์หญิงเสวียนลังเลครู่หนึ่ง ก็เขยิบออกไปด้านข้างเปิดทางเข้าปากถ้ำ
หลี่เหวยก้าวเข้าไปในถ้ำ มองทีหนึ่งก็เห็นนางกำนัลนั่งอยู่ที่พื้น
กางเกงนางกำนัลผู้นั้นถูกพับขึ้น เผยให้เห็นท่อนขาขาวเนียน ที่น่องมีคราบโลหิตกระจายเป็นทางยาว
นางกำนัลเห็นพวกหลี่เหวยเข้ามาก็รีบบิดท่อนขาด้วยสีหน้าแดงก่ำ
หลี่เหวยมองนางกำนัลอย่างละเอียดก่อนหันหลังออกไป
“เมื่อครู่ข้าอยากขึ้นไปมองบนยอดเขา นางกำนัลของข้าพลันได้ยินเสียงร้องตะโกนจากที่ไกลออกไป จึงตกใจเหยียบพลาดจนบาดเจ็บ กำลังจัดการบาดแผลง่ายๆ อยู่ ไม่คาดว่าหลี่กงกงจะนำคนมา”
หลี่เหวยระงับความผิดหวัง กระตุกมุมปากเอ่ยว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นองค์หญิงก็รีบพานางกำนัลกลับไปเถอะ ด้านนอกกำลังวุ่นวายกันอยู่”
“ขอบคุณหลี่กงกงที่เตือน”
พอเห็นหลี่เหวยนำกลุ่มขันทีไปแล้ว องค์หญิงเสวียนก็ล้มพิงกำแพงภูเขาหิน มือที่กำแน่นก็คลายออก สั่งการเสียงดังว่า “พวกเจ้าสองคนไปประคองจุ้ยเอ๋อร์ออกมา”
“เพคะ”
ไม่นานนางกำนัลที่ได้รับบาดเจ็บก็ถูกประคองออกมา นางกำนัลร่างสูงผู้หนึ่งเป็นคนแบก อีกสองคนประคองซ้ายขวา เดินไปยังตำหนักบรรทม
องค์หญิงเสวียนเดินอยู่ด้านหน้าสุด ระหว่างทางยังได้พบกับหลี่เหวยอีกครั้ง
“หลี่กงกงหาพบไหม”
“ยังไม่พบ ก็ไม่รู้ว่าไปหลบที่ใด นางกำนัลขององค์หญิงดูแล้วบาดเจ็บหนักไม่น้อย” หลี่เหวยกล่าวเช่นนี้ แต่สายตากลับกวาดมองไปยังใบหน้านางกำนัลที่ได้รับบาดเจ็บ เพื่อให้แน่ใจว่ามิใช่ถูกสลับตัวมา
องค์หญิงเสวียนหลุบตาลงเล็กน้อย เอ่ยน้ำเสียงเบาหวิวว่า “เสียมารยาทต่อหลี่กงกงแล้ว หญิงสาวย่อมอ่อนแอสักหน่อย ไม่อาจทนเจ็บได้”
“องค์หญิงช่างเห็นใจบ่าวรับใช้ ไม่รบกวนองค์หญิงแล้ว” หลี่เหวยจึงได้นำคนจากไปจริงๆ
องค์หญิงเสวียนกลับถึงตำหนักฟางหนิงกงอย่างไม่รีบไม่ร้อน เข้าไปในตำหนักข้างแล้วก็เข่าอ่อนล้มลงบนเก้าอี้นอน
นางกำนัลที่ถูกนางกำนัลสองคนประคองก็ถูกวางลง ในที่สุดนางกำนัลที่แบกคนมาก็ลุกขึ้นยืนตรง
นางกำนัลที่ไม่ได้ตามองค์หญิงเสวียนออกไปเห็นใบหน้านางกระจ่างก็มีสีหน้าตกใจ
ผู้ที่แต่งกายแบบนางกำนัลก็คือซินโย่ว!
“หวนเอ๋อร์ นำชุดนางกำนัลไปในถ้ำใต้เขาพาหลิงเอ๋อร์กลับมา”
ตอนนั้นนางกำนัลที่ไปกับองค์หญิงเสวียน มีหลิงเอ๋อร์ที่รูปร่างใกล้เคียงกับซินโย่วที่สุด หลี่เหวยนำคนไปแล้ว องค์หญิงเสวียนที่สั่งให้หลิงเอ๋อร์กับนางกำนัลอีกคนเข้าไปในถ้ำประคองนางกำนัลที่ได้รับบาดเจ็บออกมา
ยามนั้นซินโย่วซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ก็เข้าไป เวลาเพียงสั้นๆ ก็เปลี่ยนชุดของหลิงเอ๋อร์และเปลี่ยนทรงผม แบกนางกำนัลที่ได้รับบาดเจ็บออกมา ส่วนหลิงเอ๋อร์ก็ให้รออยู่ในถ้ำ
แผนการสลับตัวนี้เรียกได้ว่าใจกล้ามาก และเสี่ยงภัยอย่างมาก แต่กลับเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในสถานการณ์นี้
องค์หญิงเสวียนรู้สึกกลัวกับเรื่องที่เพิ่งผ่านไป ไม่อาจระงับอาการสั่นเทาของตนเองได้ กำชับนางกำนัล น้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “พวกเจ้าจะต้องเก็บปากให้ดี ทันทีที่แพร่ออกไป พวกเราทั้งหมดก็จะไม่รอด!”
ใบหน้านางกำนัลซีดขาวรีบรับคำ “เพคะ”
นางกำนัลคนหนึ่งถามขึ้น “องค์หญิง จะต้องไปทูลพระสนมไหมเพคะ”
“ยังไม่ต้อง!” องค์หญิงเสวียนสงบจิตใจลงแล้วก็กัดริมฝีปากแน่น “รอให้หวนเอ๋อร์กับหลิงเอ๋อร์กลับมากันก่อนค่อยว่ากัน ตอนนี้ยังไม่ต้องไปทูลพระสนม”
หากถูกพบเข้า ก็จะเป็นการตัดสินใจกระทำของนางเพียงผู้เดียว อย่างน้อยก็มิทำให้เสด็จแม่เดือดร้อนพลอยต้องโทษไปด้วย
พอคิดเช่นนี้ น้ำตาก็ไหลร่วงออกมาอย่างไม่อาจระงับ
องค์หญิงเสวียนพยายามกลั้นน้ำตา หันมองไปทางซินโย่ว