สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 422 ไขความสงสัย
ตอนที่ 422 ไขความสงสัย
……….
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มาหยุดยืนตรงหน้าโค่วเทียนหมิง ประเมินมองฝ่ายตรงข้ามอย่างละเอียด เหตุใดจึงนึกเชื่อมโยงไปกับคนในภาพจำไม่ได้
ความจริงโค่วเทียนหมิงในฐานะขุนนาง ในความทรงจำของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เดิมก็เลือนรางมาก ข่าวการตายของโค่วเทียนหมิงผ่านไปเจ็ดแปดปีแล้ว ก่อนหน้านี้ การพบกันของฮ่องเต้กับขุนนางก็ไม่มากนัก
“เรียกตัวรองเจ้ากรมต้วนเหวินซง”
แน่นอนฮ่องเต้ซิงหยวนตี้จะไม่ฟังเพียงคำพูดของเสนาบดีกรมพิธีการว่าคนตรงหน้าคือโค่วเทียนหมิงก็จะเชื่อ
ไม่นานรองเจ้ากรมต้วนก็มาถึง
ความวุ่นวายทั้งวันนี้ บรรดาขุนนางและชนชั้นสูงต่างรู้ รองเจ้ากรมต้วนย่อมรู้เช่นกัน ด้วยสถานะเขาเดิมก็ไม่มีคุณสมบัติมายืนอยู่ที่นี่ในตอนนี้
รองเจ้ากรมต้วนครุ่นคิดมาตลอดทาง เหตุการณ์ใหญ่สั่นสะเทือนฟ้าดินเช่นนี้ เหตุใดเรียกตัวรองเจ้ากรมราชยานหลวงเล็กๆ เช่นเขามาเข้าเฝ้าในวัง พอมาถึงได้เห็นแววตาสับสนของบรรดาขุนนางบุ๋นบู๊มองจ้องมา ก็เริ่มขาสั่น
เกิดอันใดขึ้น คนก่อกบฏมีญาติของเขาหรือ
ไม่น่านะ ตระกูลเขาไม่ใช่ตระกูลใหญ่อันใด เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาสามัญ อาศัยที่เขาสอบเคอจวี่ได้เป็นขุนนางจึงได้มาตั้งรกรากในเมืองหลวง
“กระหม่อมต้วนเหวินซงรองเจ้ากรมพระราชยานหลวงถวายบังคมฝ่าบาท” รองเจ้ากรมต้วนมองไปยังคนบนบัลลังก์แล้วก็ลงคุกเข่าทันที
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รับสั่งให้เขาลุกขึ้น ชี้ไปทางโค่วเทียนหมิง “รองเจ้ากรมต้วน เจ้ารู้จักคนผู้นี้หรือไม่”
รองเจ้ากรมต้วนมองตามสายพระเนตรฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไป ก็เบิกตากว้างอย่างตกใจ “ฝ่าบาท…”
พอหลุดปากออกไปก็ตั้งสติได้ว่าไม่ถูกต้อง รีบหันกลับมามองคนบัลลังก์มังกรทันที
ฝ่าบาท!
แล้วอีกคนหนึ่ง… เขาหันขวับกลับไป ก็เห็นคนผู้นั้นถูกมัดไว้ อดขยี้ตาอีกทีไม่ได้
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรด้วยสีพระพักตร์เคร่งขรึม มองรองเจ้ากรมต้วนดังกลองป๋องแป๋งหันไปหันมาแล้วก็ขมับปูดโปนกระตุกขึ้นมาทันที
ยี่สิบปีมานี้ บรรดาขุนนางจ้องมองเขาไม่เคยนานเหมือนวันนี้ ทนพอแล้วจริงๆ!
“รองเจ้ากรมต้วน”
ได้ยินพระสุรเสียงฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตวาดเรียก รองเจ้ากรมต้วนก็สงบสติลง “พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ามองดูให้ดี คนผู้นี้คือน้องเขยของเจ้า โค่วเทียนหมิง ใช่หรือไม่”
“เป็นไปไม่ได้ น้องเขยกระหม่อมจากโลกนี้ไปนานแล้ว…” รองเจ้ากรมต้วนพลันตั้งสติได้ว่ามิใช่เรื่องล้อเล่น จ้องมองโค่วเทียนหมิงทีหนึ่ง
มองอีกทีหนึ่ง
เขาก้าวเข้าไปใกล้คนที่ถูกมัดไว้ ประเมินมองจากบนลงล่างชั่วเวลาดื่มชาแก้วหนึ่ง พลันสว่างวาบขึ้นมาทันที ยื่นมือไปบังปากและจมูกอีกฝ่ายไว้
มองเพียงแค่คิ้วและตา จากนั้นรองเจ้ากรมต้วนก็ตกใจมาก “เจ้าคือผิงซีจริงหรือ”
ผิงซีก็คือชื่อเรียกกันในครอบครัวของโค่วเทียนหมิง
โค่วเทียนหมิงถูกจับกุมตัวแล้วก็มีท่าทางเงียบกริบไม่พูดไม่จาดังคนไร้ลมหายใจ ยามนี้มองรองเจ้ากรมต้วน ในที่สุดแววตาก็แปรเปลี่ยน “พี่ต้วน”
รองเจ้ากรมต้วนตกใจผงะถอยหลังหลายก้าว จนชนกับเสนาบดีกรมคลัง
เสนาบดีกรมคลังยกมือดุนหลังเขาไว้ “เจ้าระงับสติไว้ก่อน”
รองเจ้ากรมต้วนหยุด ก่อนจะกุมหัวใจ สีหน้าแทบไม่อยากเชื่อ “น้องเขย เจ้าไม่ใช่ว่า…”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เรียกตัวรองเจ้ากรมต้วนมามิใช่มาให้เขามารำลึกความหลัง ถามน้ำเสียงนิ่งเรียบ “แน่ใจได้แล้วใช่ไหม”
รองเจ้ากรมต้วนรีบคุกเข่า “ทูลฝ่าบาท คนผู้นี้ก็คือโค่วเทียนหมิง น้องเขยของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าไม่เคยคิดว่าเขาหน้าตาเหมือนกับเรา?”
รองเจ้ากรมต้วนรีบส่ายหน้า “แต่ไรมากระหม่อมไม่กล้าคิดเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ขมวดคิ้ว “ตอนนี้เราไม่อยากฟังเรื่องเหลวไหลพวกนี้”
รองเจ้ากรมต้วนชะงัก ก่อนทูลตอบตามตรง “กระหม่อมหมกมุ่นร่ำเรียนแต่ตำรามาตลอด ตอนน้องสาวแต่งงาน กระหม่อมกำลังดูงานอยู่ในหกกรม ไม่ได้กลับบ้านเกิด…ตระกูลโค่วกับตระกูลกระหม่อมมิได้อยู่ในเมืองเดียวกัน ต่อมาพวกกระหม่อมย้ายมาเมืองหลวง จนกระทั่งน้องเขยสอบติดเป็นขุนนาง จึงได้มาเมืองหลวง โอกาสได้พบกันมากขึ้น ตอนนั้นน้องเขยไว้เครา กระหม่อมแทบไม่เคยได้มีโอกาสได้มองหน้าระยะใกล้ จึงไม่คิดโยงไปถึง…”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรโค่วเทียนหมิงอีกครั้ง “โค่วเทียนหมิง เจ้าเองก็เป็นขุนนางกินเบี้ยหวัด แต่กลับร่วมมือกระทำชั่วกับคนที่ทำร้ายเจ้า เพื่อมาเป็นหุ่นเชิดหรือ”
โค่วเทียนหมิงเผชิญกับคำถามของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ แววตาก็แน่วแน่หันไปมองคนผู้หนึ่ง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรตามไป ก็พบว่าโค่วเทียนหมิงจ้องมองซินโย่ว
ความแค้นในแววตาเขาทำให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่เข้าพระทัย “โค่วเทียนหมิง เราถามเจ้าไม่ตอบ แต่กลับมองไปทางซินโย่วทำไมกัน”
“ข้าต้องการแก้แค้นให้ชิงชิง…” โค่วเทียนหมิงพึมพำ
เขาพูดเบามาก ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ฟังไม่ชัด “อะไรนะ”
“ข้าต้องการแก้แค้นให้ชิงชิง! นางต้องการแทนที่สถานะชิงชิงจึงได้สังหารชิงชิง!” โค่วเทียนหมิงจ้องมองซินโย่วไม่วางตา แววตาแทบอยากจะเขมือบให้ตาย
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรแววตาโค่วเทียนหมิงเปลี่ยนไป “โค่วเทียนหมิง คำพูดนี้ผู้ใดกล่าวกับเจ้า”
เขาถามเช่นนี้ ความจริงทุกคนล้วนคิดได้ นอกจากคนที่กักขังโค่วเทียนหมิง ยังจะมีผู้ใดอีก
เสนาบดีกรมคลังส่ายหน้า ถอนหายใจ “โค่วเทียนหมิง เจ้าเลอะเลือนแล้ว คนพวกนั้นวางแผนว่าเจ้าตกน้ำและกักขังเจ้าไว้ เจ้าถึงกับเชื่อคำพูดพวกเขาหรือ”
โค่วเทียนหมิงจ้องมองเสนาบดีกรมคลังอย่างตกใจ
เสนาบดีกรมคลังถอนหายใจอีกครั้ง “บุตรสาวท่านตกหน้าผาตายตอนออกไปท่องเที่ยวบนเขา ไม่ว่าอุบัติเหตุหรืออันใด ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับคุณหนูซิน ไม่เชื่อถามรองเจ้ากรมต้วน”
โค่วเทียนหมิงมองไปทางรองเจ้ากรมต้วน
รองเจ้ากรมต้วนรู้สึกกินปูนร้อนท้อง แววตาวูบไหว “เสนาบดีอวี๋กล่าวได้ถูกต้อง ตอนนั้นชิงชิงตกหน้าผา พวกเราออกค้นหา เหวินซงไปพบคุณหนูซินรักษาตัวอยู่ที่หมู่บ้านกลางเขาแห่งหนึ่ง จึงได้คิดว่านางเป็นชิงชิงและพากลับบ้าน…ก็มิอาจโทษเหวินซง เจ้าดูคุณหนูซินเหมือนกับชิงชิงเพียงใด!”
โค่วเทียนหมิงอึ้งไปนาน ก่อนจะเอ่ยย้ำคำเดิมไปมา “พวกเขาไม่ได้บอกเช่นนี้ๆ…”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มองดูโค่วเทียนหมิงหัวใจแตกสลายด้วยสีพระพักตร์ไร้ความรู้สึก ไม่ได้รู้สึกเห็นใจแม้สักนิด
“โค่วเทียนหมิง เจ้ารู้ว่าเราหน้าตาเหมือนเจ้ามานานแล้วกระมัง” รอโค่วเทียนหมิงค่อยสงบลงแล้ว ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ตรัสถามขึ้น
โค่วเทียนหมิงค่อยๆ เงยหน้าสบตากับฮ่องเต้ซิงหยวนตี้
การมองสบกันตรงๆ เช่นนี้ สำหรับฮ่องเต้ซิงหยวนตี้แล้วเรียกได้ว่าน้อยครั้งมาก และเป็นการล่วงเกิน แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจ แต่รู้สึกอยากรู้มากกว่า
บรรยากาศในตำหนักตึงเครียดขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ในที่สุดโค่วเทียนหมิงก็เอ่ยว่า “ตอน…ปีนั้นกระหม่อมยังสอบไม่ได้ตำแหน่ง ตอนออกไปข้างนอกได้พบกับฝ่าบาท”
“พบกับเรา?” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตะลึงไปทันที
โค่วเทียนหมิงย้อนกลับไปยังวันวาน “ตอนนั้นฝ่าบาทประทับรถพระที่นั่ง คล้ายกำลังตามหาคน กระหม่อมตกใจที่พบว่าหน้าตาเหมือนกับฝ่าบาท ได้ยินองครักษ์ตะโกนเรียก ‘ฝ่าบาท’ กลับถึงบ้านก็ตกใจจนล้มป่วย…”
ไม่ว่าคนสติสัมปชัญญะปกติดีคนใดก็ตาม พบว่าตนเองหน้าตาเหมือนโอรสสวรรค์ ก็ย่อมไม่ดีใจเป็นแน่
“จากนั้น กระหม่อมก็ตั้งใจไว้เครา กินให้เต็มที่ ตากแดดให้ดำ…”
ในต้าซย่า ผู้ชายอายุสามสิบก่อร่างสร้างตัว ก็จะเริ่มไว้หนวดเครา หลักๆ ก็จะไว้เหนือริมฝีปากและใต้คาง ยังตัดเล็มให้สวยงาม มิใช่เคราสองข้างแก้มรุงรัง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้ยินคำอธิบายของโค่วเทียนหมิง สีพระพักตร์ก็แปรเปลี่ยน
ไม่ต้องถามแล้ว เขารู้แล้วว่าโค่วเทียนหมิงพบเขาในปีใด
ปีนั้นซินซินหนีออกจากวังไป เขาทำใจยอมรับไม่ได้ นำทหารออกติดตามค้นหาด้วยตนเอง เพียงแต่น่าเสียดายสุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวกลับมา พบกันอีกครั้งก็ห่างกันด้วยโลงกั้น จากกันตลอดกาล
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้อารมณ์พลันตกต่ำลง มีราชโองให้สอบสวนพวกเสนาบดีกรมพิธีการให้ละเอียด ที่ควรจำคุกก็จำคุก ที่ควรกลับบ้านก็กลับบ้าน
ยามนี้ดึกมากแล้ว
“ฉางเล่อโหว ไปส่งอาโย่วแทนเราหน่อย”