สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 428 อย่าได้ไม่เบิกบานใจ
ตอนที่ 428 อย่าได้ไม่เบิกบานใจ
……….
ซิ่วอ๋องห่างจากองค์ชายสามแปดปี คล้ายว่าไม่เคยอยู่ร่วมกัน แต่ไรมาภาพในความทรงจำของเขาก็คือน้องชายคนนี้เป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น
ตอนนี้น้องสามยังคงมีใบหน้าไร้เดียงสาแบบเด็กน้อย แต่เขาเป็นองค์ชายที่มีสถานะบุตรชายภรรยาเอกแล้ว เป็นการดำรงอยู่ที่ไม่อาจมองข้ามอีกต่อไป
ซิ่วอ๋องนึกถึงองค์ชายรอง เฉินอี้ แปลว่า สว่างไสวโชติช่วง เปล่งประกายรัศมี
น้องสามเฉินอิ้ว อิ้วแปลว่า ปกป้องคุ้มครอง ภัยน้อยทุกข์น้อย ได้รับการปกป้องจากสวรรค์
มีเพียงเขาชื่อว่า ‘ผิง’ ที่แปลว่าธรรมดาสามัญ
เขารู้นานแล้ว มิใช่รอถึงถวายคำนับฮองเฮาใหม่ในวันนี้จึงได้รู้
ฮองเฮาโจวยามนี้สังเกตสีหน้าซิ่วอ๋องอย่างไม่เป็นที่สังเกต แม้เขาให้ความสนใจบุตรชายนาง แต่สีหน้านับว่านิ่งสงบ ก็แย้มริมฝีปากเล็กน้อย
พระสนมวังหลังให้กำเนิดองค์ชาย หากกล่าวว่าไม่สนใจดำรงตำแหน่งฮองเฮา ไม่สนใจบุตรชายเป็นรัชทายาท เห็นชัดว่าหลอกลวง แต่ทว่านางไม่อยากลงมือเด็ดขาดจนเกินไปนัก ขอเพียงซิ่วอ๋องดำรงตำแหน่งอ๋องของเขาไปอย่างสงบเสงี่ยม วันหน้าเกียรติยศศักดิ์ศรีที่ควรได้รับก็จะไม่ขาดตก
กล่าวตามจริง เพราะฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มีท่าทีเย็นชาต่อบรรดาพระสนมวังหลัง ทุกคนจึงไม่ได้มีโอกาสแย่งชิงความโปรดปราน ก่อให้เกิดข้อดีที่พระสนมแต่ละพระองค์มิต้องต่อสู้กันจนถึงขึ้นเป็นตาย แต่กลับยังฝึกฝนจนจิตใจแข็งแกร่ง
หลังการอวยพรจบลง ขุนนางพิธีนำพวกซิ่วอ๋องออกไป องค์ชายสามหันกลับไปมองฮองเฮาโจว
ฮองเฮาโจวพยักพระพักตร์ให้บุตรชาย แสดงสีหน้าบอกให้เขาดำรงกิริยา
องค์ชายสามรีบหันกลับก่อนจากไปตามธรรมเนียม
จากนั้นสองสามวันก็จะมีพิธีการอีกครั้ง จากนี้ไปตำแหน่งฮองเฮาที่ว่างเว้นมาเกือบยี่สิบปี ในที่สุดวังหลังก็มีเจ้านายใหม่แล้ว
จากนั้นฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็มิได้ตรัสเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทอีก แต่หันไปยุ่งกับพิธีเซ่นสรวงในเทศกาลตงจื้อที่มีเพียงปีละครั้งต่อ
พิธีเซ่นสรวงในเทศกาลตงจื้อเป็นพิธีการที่สำคัญมากแห่งปี และยังต้องเริ่มจัดเตรียมพิธีการล่วงหน้า ก่อนวันพิธีเซ่นสรวงหนึ่งวัน ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ต้องออกไปจากวังหลวง ไปพำนักตำหนักไจกง
พิธีเซ่นสรวงในเทศกาลตงจื้อวันนั้น ยามอิ๋นหนึ่งเค่อ[1] ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็จะสวมฉลองพระองค์พระราชพิธี ไปยังแท่นบวงสรวง
พอยุ่งวุ่นวายกันเช่นนี้พักหนึ่ง ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ผอมลงไปหลายชั่ง จัดการราชกิจต่ออีกเล็กน้อยก็ถึงปลายปีแล้ว
ไทเฮาเห็นว่างานเลี้ยงคืนวันส่งท้ายปีในวังจะมาถึงอีกแล้วก็รับสั่งให้คนไปทูลเชิญฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เสด็จยังตำหนักฉือหนิงกง
“เสด็จแม่ต้องการพบข้าหรือ มีเรื่องอันใด”
“อีกไม่นานก็เป็นงานเลี้ยงคืนวันส่งท้ายปีแล้ว” ไทเฮาเหลือบสายตาขึ้นมอง “ข้าอยากถามว่า ปีนี้เด็กนั่นจะไม่มาอีกหรือ”
บางทีในวังเกิดเรื่องวันนั้นทำให้ตกใจ หลายวันนี้ไทเฮารู้สึกเบื่อ แม้แต่พิธีแต่งตั้งฮองเฮาก็มิใคร่ใส่พระทัยสักเท่าไร
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เป็นห่วงสุขภาพมารดา มักให้หมอหลวงมาตรวจชีพจร แต่กลับไม่ดีขึ้น ตอนนี้ได้ยินไทเฮาถามถึงซินโย่ว ก็รู้สึกหงุดหงิดพระทัยขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
เสด็จแม่กำลังวังชาฟื้นคืนแล้วหรือ
“ข้าไม่เคยเห็นสาวน้อยคนใดดื้อรั้นเพียงนี้ ฮ่องเต้จะปล่อยให้นางอยู่ในสถานะเช่นนี้ต่อไปหรือ”
“ข้ามีงานยุ่งมาตลอด รอไว้ค่อยคุยกับนางดีๆ”
“อย่าบอกว่ารอไว้ก่อน งานเลี้ยงในครอบครัวคืนวันส่งท้ายปีนี้ให้นางมาร่วมงานในวังให้ได้ ในวังมีฮองเฮาแล้ว หากนางยังไร้ธรรมเนียม วันหน้าจะไม่ดีต่อนาง”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ฟังออกว่า ไทเฮาคิดผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างพวกนาง แต่ไม่ยอมลดศักดิ์ศรี
ปีแรกหันหน้าหนีไป ปีที่สองไม่มา นี่เป็นปีที่สาม ในวังมีฮองเฮาแล้ว จะได้เป็นบันไดให้อาโย่วก้าวลงมาโดยไม่เสียหน้าได้แล้ว
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้คิดแล้วก็รู้สึกว่าปีนี้เป็นโอกาสอันดีจริงๆ คงไม่อาจปล่อยให้อาโย่วไม่มาร่วมงานเลี้ยงคืนวันส่งท้ายปีเช่นนี้ไปตลอด
“ไว้ข้าบอกกับนางเอง”
ไทเฮาจึงได้พอพระทัย “ฮ่องเต้ไปพักผ่อนเถอะ หลายวันนี้เหน็ดเหนื่อยจนผ่ายผอมแล้ว”
“เสด็จแม่เองก็พักผ่อนให้ดี ข้าเห็นเสด็จแม่ระยะนี้ไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่า”
ไทเฮาแววพระเนตรอ่อนแรง แต่กลับไม่ยอมรับ “ที่ไหนกัน ข้ากระปรี้กระเปร่าอยู่”
ตอนฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ออกจากตำหนักฉือหนิงกงก็คิดว่าเสด็จแม่ผิดปกติไปจริงๆ
ควรรู้ว่าปกติเสด็จแม่มีอาการปวดหัวตัวร้อนอันใด ก็แทบจะตีฆ้องป่าวประกาศให้เขารู้
หรือว่ามีความในใจ
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มีความคิดนี้ผุดขึ้นมาก็ชะงักฝีเท้า จากนั้นก็กลับคืนเป็นปกติ กลับตำหนักเฉียนชิงกง
“เรียกตัวฉางเล่อโหวเข้าเฝ้า”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้หลับพระเนตรลงพัก นิ้วมือเคาะเท้าแขนที่ประทับเบาๆ
ไม่ทันรอนานนัก เฮ่อชิงเซียวก็มาถึง
“กระหม่อมเฮ่อชิงเซียวถวายบังคมฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ลืมพระเนตรขึ้นจ้องมองชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้านล่าง ตรัสพระสุรเสียงอ่อนโยนว่า “ลุกขึ้นได้”
เฮ่อชิงเซียวลุกขึ้น
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงคุยสัพเพเหระคก่อนจะเข้าเรื่อง “เหตุที่เกิดในวังวันนั้น ไทเฮาโชคดีได้อาโย่วช่วยไว้ เดิมไทเฮาเข้าพระทัยอาโย่วผิด ผ่านเหตุการณ์นี้ไป ก็มองอาโย่วดีขึ้นแล้ว เราคิดว่างานเลี้ยงคืนวันส่งท้ายปีในวังปีนี้เป็นโอกาสอันเหมาะ ให้พวกนางสองย่าหลานจากนี้ได้อยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว”
เฮ่อชิงเซียวฟังเงียบๆ
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กระแอมไอ “เรารู้ว่าอาโย่วยอมฟังคำพูดชิงเซียว เจ้าช่วยเรากล่อมนางหน่อย”
หลังแต่งตั้งฮองเฮา ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รู้สึกผิดยามอยู่ต่อหน้าซินโย่ว ไม่คิดว่านางจะฟังคำของเขา
แต่มีเฮ่อชิงเซียวอยู่ก็ไม่ต้องกังวลแล้ว
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้คิดเช่นนี้ แต่ก็ทำให้รู้สึกบอกไม่ถูก
นี่ก็คือหญิงโตแล้วเอนเอียงไปภายนอกกระมัง
“ชิงเซียว?”
เฮ่อชิงเซียวหลุบตาลงประสานมือ “พ่ะย่ะค่ะ”
ออกจากวัง เฮ่อชิงเซียวก็ไปพบซินโย่ว
ทั้งสองค่อยๆ เดินอยู่ริมแม่น้ำนอกสำนักฮั่นหลินย่วน ผืนน้ำเป็นน้ำแข็ง ใสลื่นดังกระจกเงา
“เฮ่อชิงเซียว” เดินไปได้ครู่หนึ่ง ซินโย่วก็หยุด มุมปากแย้มยกเล็กน้อย “เหตุใดเจ้าอยู่ๆ ก็เอาแต่ไม่ยอมพูดจา”
นางมองดูคนข้างกายเคร่งเครียดขึ้นมาก็เริ่มคาดเดาได้ “เกี่ยวข้องกับฝ่าบาท? ฝ่าบาทให้เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องใด”
สายลมหนาวพัดมาเย็นเยียบแทรกลึกถึงกระดูก
“ฝ่าบาททรงอยากให้เจ้าไปร่วมงานเลี้ยงในวัง คืนวันส่งท้ายปี ให้ข้ามากล่อมเจ้า” เฮ่อชิงเซียวเอ่ยปาก เพียงแต่รู้สึกว่าคำพูดที่เอ่ยออกไปเย็นเยียบกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว
เขารู้ว่าต้องมีสักวันเช่นนี้
เขาไม่อาจปกป้องและสนับสนุนนาง แต่กลับกลายเป็นโซ่ตรวนจองจำนาง
ตอนนี้เพียงแค่ไปร่วมงาน วันหน้าจะเป็นอันใดอีก
นี่คือสาเหตุที่ก่อนหน้านี้เขาไม่กล้าเผยความรู้สึกตนเอง แต่เขาดำรงชีวิตอยู่ใต้สายพระเนตร ความจริงใจร้อนแรงในใจอย่างไรก็ไม่อาจปิดบัง
ซินโย่วก้มศีรษะเงียบงันไปครู่หนึ่ง เหลือบตาขึ้นยิ้มกล่าวว่า “ก็แค่งานเลี้ยงในวัง ไปก็ไป เฮ่อชิงเซียว อย่าได้ไม่เบิกบานใจ”
นางหันหน้าไปชี้ยังผืนแม่น้ำ “พวกเราไปเล่นบนน้ำแข็งกัน”
เมืองหลวงฤดูหนาวหนาวเหน็บมาก ผืนแม่น้ำทุกสายกลายเป็นน้ำแข็ง การเล่นลื่นน้ำแข็งกลายเป็นความบันเทิงที่ทุกคนชื่นชอบ
แต่ไรมาเฮ่อชิงเซียวไม่เคยเล่น ก่อนซินโย่วมาเมืองหลวง ส่วนใหญ่ท่องเที่ยวอยู่แต่ทางใต้ ก็มิค่อยได้มีโอกาสเช่นนี้
เริ่มแรกทั้งสองยังคงเงอะงะ แม้เคยฝึกยุทธ์มา แต่ก็เกือบลื่นล้ม
ซินโย่วยื่นสองมือไปกุมมือเฮ่อชิงเซียว ไถลลื่นไปมาบนผืนน้ำแข็งออกไปไกลมาก ระเบิดเสียงหัวเราะผ่อนคลาย
เฮ่อชิงเซียวก็คลายความเคร่งเครียดลงได้ชั่วคราว มองดูสาวน้อยยิ้มแย้มดังบุปผาแรกแย้ม ก็เผยรอยยิ้มบาง
เล่นกันผ่านไปครู่หนึ่ง ซินโย่วก็หยุดลง “ข้าเข้าวังไปกราบทูลก่อน เฮ่อชิงเซียว เจ้าอย่าได้ไม่เบิกบานใจ”
นางพูดแบบเดียวกันซ้ำอีกครั้ง ก็เพื่อพูดให้คนที่นางชอบฟัง และพูดให้ตนเองฟังด้วย
เฮ่อชิงเซียวจูงมือซินโย่ว กลับเข้าริมฝั่งก่อนแยกจากกัน เขายกมือลูบผมซินโย่ว “เวลาที่อยู่ร่วมกับอาโย่วทุกเค่อล้วนเป็นเวลาที่ข้าเบิกบานใจอย่างมาก”
ความเบิกบานใจที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ซินโย่วแย้มยิ้ม จัดผมและเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะเดินไปทางวังหลวง
“อาโย่ว”
บนท้องถนนมีคนส่งเสียงเรียกนาง
ซินโย่วหันกลับไปมองก็เห็นซิ่วอ๋องเดินมาหานาง
“ซิ่วอ๋อง” ซินโย่วย่อกายคำนับ ก่อนมองซิ่วอ๋องด้วยสีหน้าสงสัยเล็กน้อย
[1] ราวตีสี่สิบห้านาที
……….