สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 429 คับแค้นใจ
ตอนที่ 429 คับแค้นใจ
……….
แต่เล็กจนโต ซินโย่ว ‘เคยเห็น’ ภาพที่น่าตกใจมามากมาย ดังนั้นจึงเพียงแค่นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะกลับคืนสู่ปกติ
นางเพียงแต่กำมือไม่รู้ตัว ภาพยังคงส่งผลต่อนาง
“อาโย่วจะเข้าวังหรือ”
“เพคะ”
ซิ่วอ๋องยิ้มเล็กน้อย “พอดีข้าก็จะเข้าวังไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ พวกเราไปด้วยกันเถอะ”
ซินโย่วนิ่งจ้องมองซิ่วอ๋องทีหนึ่ง เอ่ยน้ำเสียงไม่แสดงพิรุธ “หม่อมฉันเข้าวังมีธุระทูลรายงานฝ่าบาท ไม่สะดวกให้คนนอกฟังด้วย หากซิ่วอ๋องไม่มีธุระเร่งด่วน วันหน้าค่อยเข้าวังได้หรือไม่”
ภาพให้ข้อมูลน้อยมาก แต่ทว่าหากเปลี่ยนเวลาเข้าวัง บางเรื่องก็อาจไม่เกิดขึ้นใช่หรือไม่
“ข้าเองก็มีธุระกราบทูลเสด็จพ่อ หากอาโย่วไม่สะดวกให้มีคนนอกร่วมฟัง เช่นนั้นก็ให้ข้าทูลก่อนดีหรือไม่”
ซินโย่วมองออกว่าซิ่วอ๋องคล้ายกับหารือกับนาง แต่ท่าทีกลับยืนยันหนักแน่น
ก็คงกล่อมไม่ได้แล้ว
เดินเข้าไปในวังกำแพงแดงชาดกระเบื้องหลังคาสีทอง ภาพตรงหน้ายังคงเป็นยอดไม้มีหิมะบางเบา แสงตะวันสาดส่องสะท้อนนัยน์ตา
“อาโย่ว เจ้าหนาวไหม” ซิ่วอ๋องพลันเอ่ยปาก
ซินโย่วหันหน้ามามองซิ่วอ๋อง สีหน้าเขาซีดขาวอยู่บ้าง ดูแล้วมีความอ่อนโยนน้อยลง มีความกดดดันอัดแน่นในใจอยู่มาก
“ไม่หนาวเพคะ เมื่อครู่ข้าเล่นลื่นน้ำแข็งมา”
“เล่นลื่นน้ำแข็งสนุกไหม”
“สนุกมากเพคะ” ซินโย่วยกชายกระโปรง บนกระโปรงมีคราบเปื้อนตอนเล่นติดอยู่ “ไว้ซิ่วอ๋องลองดูไหมเพคะ”
ซิ่วอ๋องนิ่งอึ้งไปทันที คล้ายไม่คิดว่าซินโย่วจะเสนอเช่นนี้ เขาเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกระตุกมุมปากแย้มยก “รอไว้มีโอกาสก็จะลอง”
ซินโย่วหัวเราะไม่เอ่ยอันใดอีก เดินต่อไปอย่างไม่รีบร้อน
นางไม่เคยมองทะลุความคิดซิ่วอ๋อง ย่อมมองไม่ออกว่าเขารับฟังหรือไม่
หวังว่าเขาจะรับฟัง
ระยะทางสั้นๆ ก็จบลง
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ”
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ให้ทั้งสองลุกขึ้น “เหตุใดพวกเจ้ามาด้วยกันได้”
ซิ่วอ๋องมองซินโย่วทีหนึ่ง ทูลว่า “พบอาโย่วระหว่างทางจึงได้มาด้วยกันพ่ะย่ะค่ะ”
“มีเรื่องอันใด” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสถามพลางมองไปที่ซินโย่ว
“หม่อมฉันรออีกสักครู่ค่อยกราบทูลรายงานเพคะ เชิญซิ่วอ๋องกราบทูลก่อน ต้องให้หม่อมฉันหลบไปก่อนหรือไม่”
ซิ่วอ๋องหลุดออกมาว่า “ไม่ต้อง”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้จึงได้หันไปทอดพระเนตรซิ่วอ๋อง “ว่ามาได้”
“กระหม่อมอยากทูลถามเสด็จพ่อ…”
“ถามอันใด?”
“ถามเสด็จพ่อ…”
ซินโย่วสีหน้าชะงักงัน แผ่นหลังตรงหัวใจนางมีของมีคมจ่ออยู่ แขนหนึ่งถูกแรงมือบีบรัดไว้
ขันทีที่เห็นภาพนี้พากันตกใจตะโกนเสียงดังขึ้น “อารักขาฝ่าบาท! รีบอารักขาฝ่าบาท!”
ไม่นานองครักษ์ก็กรูกันเข้ามาทางประตู ยกคมดาบเล็งไปที่ซิ่วอ๋อง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้สีพระพักตร์แปรเปลี่ยนทันที “เฉินผิง เจ้าทำอันใด”
ซิ่วอ๋องกระชากซินโย่วทีหนึ่ง ยามนี้น้ำเสียงกลับนิ่งสงบอย่างมาก “คำพูดเมื่อครู่ กระหม่อมยังพูดไม่จบ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เสด็จลงจากบันไดมาสองขั้น “เจ้าพูดๆ เจ้าอย่าได้วู่วาม
“เสด็จพ่อทรงกลับไปประทับที่เดิม กระหม่อมรู้ว่าเสด็จพ่อเก่งกาจสามารถ เกรงว่าจะพลั้งมือไม่ตั้งใจ”
“ได้ ได้ ได้” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พระเนตรจ้องมองซิ่วอ๋อง ค่อยๆ ถอยกลับไปนั่ง “เจ้าอยากพูดอันใด”
“กระหม่อมอยากถามเสด็จพ่อ ในพระทัยเสด็จพ่อ เคยเห็นกระหม่อมเป็นบุตรชายหรือไม่”
“แน่นอน” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ระงับพระสุรเสียง เกรงว่าจะกระตุ้นให้ซิ่วอ๋องขาดสติ “เดิมเจ้าก็เป็นบุตรชายของเรา แม้เราพ่อลูกไม่นับว่ามีวาสนาใกล้ชิดกัน เจ้าเป็นบุตรชายคนโตของเรา เรื่องนี้ไม่มีวันแปรเปลี่ยน ผิงเอ๋อร์ เจ้าปล่อยอาโย่วก่อน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง…”
“เกี่ยวข้องกับนางอย่างแน่นอน!” ซิ่วอ๋องขึ้นเสียงตัดบทฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ คล้ายว่าถูกคำว่า ‘อาโย่ว’กระตุกอารมณ์ “หากไม่ใช่เพราะมารดาซินโย่ว เสด็จพ่อจะไม่สนใจไยดีกระหม่อมที่เป็นบุตรชายคนโตหรือ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรมองดูซิ่วอ๋องเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกหน้าไม่คุ้นชิน “เจ้าคับแค้นใจเรามาตลอด?”
“เหตุใดกระหม่อมจะไม่คับแค้น กระหม่อมก็มีเลือดมีเนื้อ เจ็บเป็น โกรธเป็น เพราะฮองเฮาซินพบการมีอยู่ของกระหม่อม จึงได้ไปจากวังหลวง จากนั้นในสายตาพระองค์ กระหม่อมหม่อมก็มิใช่บุตรชายของเสด็จพ่ออีก เป็นดังตะปูตำตา หนามแทงเนื้อ แทบไม่อยากให้กระหม่อมเกิดมา!”
“มิใช่เช่นนั้น” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มองมือที่กุมมีดสั้นของซิ่วอ๋อง พยายามอธิบาย “จะอย่างไรในกายเจ้าก็มีโลหิตของเราไหลเวียน เราจะไม่อยากให้เจ้าเกิดมาได้อย่างไร…”
ซิ่วอ๋องแค่นเยาะ “เสด็จพ่อไม่จำเป็นต้องเสียแรงอธิบาย มาถึงยามนี้แล้ว คนที่ท่านห่วงใยยังคงเป็นอาโย่ว นางจะบาดเจ็บหรือไม่ ส่วนกระหม่อม เกรงว่าในสายตาท่านก็คือคนที่ตายไปแล้วคนหนึ่ง…”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้คว้าพนักเท้าแขนไว้แน่น “เราผิดเอง ไม่ควรนำเรื่องผู้ใหญ่ไปลงที่เจ้า”
ซิ่วอ๋องได้ยินก็หัวเราะเบาๆ “คำพูดนี้หากพูดตอนกระหม่อมยังเป็นเด็กอยู่ในช่วงเวลาเหล่านั้นจะดีสักเพียงใดกัน”
“ตอนนี้เจ้าได้ยินก็ไม่สาย เจ้าวางมีดสั้นลง เรารับรองว่าจะไม่เอาชีวิตเจ้า”
“พูดไปพูดมา เสด็จพ่อก็กลัวว่ากระหม่อมจะทำร้ายอาโย่ว”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พระสุรเสียงเฝื่อนขม “ผิงเอ๋อร์ เจ้าคับแค้นใจเรา เพราะเราเอาความโกรธไปลงที่เจ้า แล้วเจ้าเล่า เพราะเรา เจ้าเอาความโกรธไปลงที่อาโย่วหรือ แต่ไรมา เจ้าเป็นพี่ชายที่ดีของอาโย่ว นางเป็นน้องสาวของเจ้า!”
“นาง? น้องสาวกระหม่อม?” ซิ่วอ๋องมองดูท่าทางฮ่องเต้ร้อนพระทัยก็พลันหัวเราะดังขึ้น
เสียงหัวเราะเย็นเยียบน่าประหลาดทำให้คนรู้สึกหนาวถึงขั้วหัวใจ
“เสด็จพ่อทรงคิดว่ากระหม่อมรู้ว่าอาโย่วเป็นน้องสาวเมื่อใด”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้นิ่งอึ้งไปทันที ก่อนจะตั้งพระสติได้ “ก่อนเราพระราชทานสมรสให้เจ้ากับโค่วชิงชิง?”
ซิ่วอ๋องเผยรอยยิ้มประหลาด “เสด็จพ่อทรงพระปรีชาดังคาด”
พอซินโย่วได้ยินดังนี้ ในที่สุดก็หาสาเหตุที่รู้สึกต่อต้านการแสดงอาการคิดสนิทสนมของซิ่วอ๋องที่ผ่านมาได้ทันที
ทุกครั้งที่ได้สัมผัสใกล้ชิดก็จะรู้สึกสงสัยมาตลอด เพราะสัมผัสที่หกก็คอยเตือนสตินางอยู่ตลอด
“เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“นานแล้ว บังเอิญกระหม่อมได้พบชายหนุ่มผู้หนึ่ง ท้องฟ้ามืดแล้ว รีบเร่งเดินเข้าไปยังเรือนตะวันออกร้านหนังสือชิงซง ต่อมาก็พบว่าชายหนุ่มผู้นั้นก็คือท่านซงหลิง คุณชายซินก็คือท่านซงหลิง และคุณหนูโค่วหน้าตาเหมือนกับเสด็จพ่อเช่นนั้น การคาดเดาว่าคุณหนูโค่วมีความสัมพันธ์ที่ไม่อาจเปิดเผยกับท่านซงหลิง กระหม่อมกลับคิดว่าเป็นไปได้ว่าท่านซงหลิงก็คือคนเดียวกับคุณหนูโค่วมากกว่า…”
“สามปีก่อน ตอน ‘วาดหนัง’ เริ่มวางขายได้ไม่นานใช่หรือไม่” ซินโย่วเอ่ยถามขึ้นหลังจากเงียบมาตลอด
“ดูท่าวันนั้นสำหรับอาโย่วแล้วไม่เหมือนปกติ นั่นเป็นครั้งแรกที่ใช้ภาพลักษณ์ซินมู่แสดงตัวกระมัง ข้าอยากรู้มาตลอดว่าค่ำคืนนั้นเจ้าไปพบเจอเรื่องอันใดมา”
ซินโย่วถูกซิ่วอ๋องดึงไว้ด้านหน้า มองไม่เห็นสีหน้าของเขา แต่กลับจำต้องเลื่อมใสประสาทสัมผัสฉับไวของเขา
วันนั้นสำหรับนางแล้ว แน่นอนว่าไม่เหมือนปกติ คือวันที่นางตั้งใจสังหารเฮ่อชิงเซียว
“ไม่พูดก็ไม่เป็นไร ผู้ใดไม่มีความลับกันบ้าง” ซิ่วอ๋องหัวเราะเบาๆ เป่าลมหายใจรดใบหูซินโย่ว ทำให้นางรู้สึกอึดอัดยิ่งกว่าการใช้อาวุธคมปลาบจี้นางไว้
“แน่นอน ข้าก็เพียงแค่คาดเดา”
“ดังนั้นเจ้าจึงขอแต่งงานกับคุณหนูโค่ว บีบให้อาโย่วยอมรับสถานะ?” ตอนฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสถามเอาเรื่องก็รู้สึกกริ้วจนมือสั่น
คาดเดาได้แล้วว่าอาโย่วก็คือน้องสาวของเขา แต่ถึงกับขอแต่งงาน ช่างเหลวไหลสิ้นดี!
“เสด็จพ่อไยต้องทรงกริ้ว หากไม่มีกระหม่อมทูลขอพระราชทานสมรส ตอนนี้เสด็จพ่อก็ยังคงไม่รู้”
ทนเห็นฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ท่าทีไม่กริ้วหนักไม่ได้ มุมปากซิ่วอ๋องยิ้มแค่นเยาะ “หากอาโย่วตัดใจยอมรับไม่ได้ กระหม่อมก็ไม่ถือสาหากจะมีภรรยาอีกสักคน”