สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 432 ไม่ปล่อย
ตอนที่ 432 ไม่ปล่อย
……….
“ใต้เท้าเฮ่อ” เพราะดื่มสุราไปไม่น้อย ทำให้แววตาซินโย่วร้อนแรงเปล่งประกายพลังชีวิต
นางยื่นมือขึ้นยกจอกสุรามองไปยังชายที่ใกล้กับนาง “ตั้งแต่รู้จักใต้เท้าเฮ่อ นำความยุ่งยากมาให้ท่านไม่น้อย”
ไม่ว่าตอนเป็น ‘คุณหนูโค่ว’ หรือตอนเป็นซินโย่ว
เฮ่อชิงเซียวยกจอกสุราขึ้นกระทบจอกในมือนางเบาๆ “เรื่องเหล่านั้นไม่ยุ่งยาก”
เพราะเขาละโมบอยากครอบครองน้ำตาลหวานล้ำเอง
พอถึงเวลากลับ ทุกคนต่างเดินไปก่อนอย่างรู้กัน ทิ้งให้เฮ่อชิงเซียวอยู่ด้านหลัง
“ไม่ได้ครึกครื้นเช่นนี้นานแล้ว” ค่ำคืนหนาวเย็น ซินโย่วเอ่ยปากพูดก็มีควันขาวลอยออกมา
เฮ่อชิงเซียวนิ่งมองนาง แววตาแอบซ่อนความละโมบในรัก
เขาคิดว่าอาโย่วคงจะไปจากเมืองหลวงแล้ว แต่ทว่าเขาถามไม่ออก
ในสายพระเนตรฮ่องเต้ เขาก็คือเชือกผูกมัดอาโย่วเอาไว้ ถึงกับเห็นชอบให้เขาและนางได้อยู่ร่วมกัน ก็เพื่อให้อาโย่วยินยอมละทิ้งอิสรภาพด้วยความเต็มใจ
แต่ทว่าเขาเข้าใจอาโย่ว เขาถามไปก็รังแต่จะทำให้อาโย่วลังเลปวดร้าวมากขึ้น แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนผลลัพธ์สุดท้ายได้
เขาไม่อยากให้อาโย่วอยู่ต่อเพื่อเขา
ซินโย่วตัดสินใจจากไปจริง โดยเฉพาะยามได้เห็นการตายของซิ่วอ๋องด้วยตาตนเองก็ไม่คิดหวั่นไหวอีก
นางรู้ว่าเขาคาดเดาได้แล้ว
นางครุ่นคิดไปมาหลายรอบ ความเป็นไปได้ที่โบยบินหนีไปด้วยกันนั้นอาจจะยากอยู่สักหน่อย หากไม่ทันระวังอาจทำให้เขาต้องเอาชีวิตไปทิ้ง
นางแบกรับผลลัพธ์เช่นนี้ไม่ไหว แต่ทว่านางยังอยากพยายามอีกสักครั้ง
นางหยุดหันกลับไป ยื่นมือไปโอบกอดชายข้างกาย “เฮ่อชิงเซียว ข้าดื่มสุราไปมาก ไม่ไปส่งเจ้าแล้ว”
ทุกครั้งที่ใกล้ชิดกันเช่นนี้ เขามักจะพยายามระงับใจตนเอง แต่ครั้งนี้เขากลับไม่ลังเลที่จะโอบกอดนางเอาไว้ คล้ายว่าต้องการจะรัดนางเข้าไปในกายตน
“อืม ไม่ต้องไปส่ง”
หลังโอบกอดกันชั่วครู่หนึ่ง เฮ่อชิงเซียวก็เดินจากไปท่ามกลางค่ำคืนเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง
ผ่านไปสองสามวัน ซินโย่วเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ซิงหยวนตี้
เพราะปีใหม่ทำให้ในวังตกแต่งงดงามอลังการ ไม่ได้มีเงาดำมืดจากการตายของซิ่วอ๋องแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พระพักตร์เคร่งเครียด “อาโย่ว มีเรื่องอันใดหรือ”
ซินโย่วควักของสิ่งหนึ่งออกจากแขนเสื้อ สองมือประคองขึ้นทูลเกล้าฯ
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรของในมือนางกระจ่างก็สีพระพักตร์แปรเปลี่ยน
นั่นก็คือคทาหรูอี้ที่เขาพระราชทานให้นาง
สาวน้อยน้ำเสียงกระจ่างใส เอ่ยทีละคำชัดเจน “ฝ่าบาท วันนั้นทรงพระราชทานสิ่งนี้ให้หม่อมฉัน และรับปากว่าจะรับคำขอของหม่อมฉันหนึ่งข้อ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้คาดเดาได้แล้วว่าคืออันใด ขมวดพระขนงเล็กน้อย “เจ้าว่ามา”
“ขบวนที่จะออกเดินทางไปดินแดนโพ้นทะเล เดือนสามฤดูใบไม้ผลิก็จะออกเดินทางแล้ว หม่อมฉันขอตามไปด้วย”
“อาโย่ว เจ้ายังอยากเดินทางออกทะเล?”
“เพคะ”
“ดินแดนโพ้นทะเลมีอันใดดี อุดมกว่าต้าซย่าหรือว่าสบายกว่าต้าซย่า?”
“หม่อมฉันเพียงแต่นึกอยากเห็นประเพณีและผู้คนที่ไม่เคยพบเห็น อยากไปดูสักหน่อยเพคะ”
แต่สิ่งที่นางดึงดันแท้จริงมิใช่การออกทะเล หากเป็นอิสรภาพ
ตั้งแต่นางริเริ่มผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ ก็ไม่ใช่องค์หญิงธรรมดาอีกแล้ว หากอยู่เมืองหลวงต่อ ยามไม่มีอำนาจสูงสุดปกป้อง ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ หลายปีจากนั้นจะเป็นอย่างไร
“อาโย่ว คำขอนี้เราไม่อาจรับปากเจ้าได้ เจ้าเป็นบุตรสาวเรา เราต้องการให้เจ้าอยู่ข้างกาย อยู่อย่างสุขสงบ”
เขาไม่วางใจความปลอดภัยของอาโย่วและไม่มีทางปล่อยอาโย่วไป
น้ำตาลทรายแดงทำเป็นน้ำตาลทรายขาวราวกับแตะก้อนหินเป็นทองคำ แนวคิดการเมืองการปกครองที่เป็นประโยชน์ต่อแผ่นดินและราษฎร ความเข้าใจในของล้ำค่าจากดินแดนโพ้นทะเล…
อาโย่วได้รับการอบรมจากซินซิน ในห้วงความคิดไม่รู้ว่ามีของล้ำค่าอยู่มากมายเพียงใด นางเองก็เป็นสิ่งล้ำค่า จะปล่อยออกไปได้อย่างไร
“หากฝ่าบาทเป็นกังวลความปลอดภัยของหม่อมฉัน ฉางเล่อโหวฝีมือล้ำเลิศ และยังภักดีต่อหม่อมฉันด้วยใจ คุ้มกันหม่อมฉันไปได้เพคะ” ซินโย่วมาถึงยามนี้ก็รู้แล้วว่าไม่มีปาฏิหาริย์ แต่ก็อดเอ่ยออกไปไม่ได้
เพื่อโอกาสริบหรี่ที่นางจะได้อยู่ร่วมกับชายในดวงใจ
แต่คนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์กลับตอบว่า “แรงกำลังคนคนหนึ่งอย่างไรก็มีจำกัด เรื่องราวเหนือความคาดหมายมากมายที่ไม่อาจป้องกันได้ อาโย่ว อยู่ข้างกายเรา อยู่เป็นเพื่อนเราเถอะ เราแก่มากแล้ว”
ในใจซินโย่วผิดหวังมาก ถามน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เช่นนั้นฝ่าบาทต้องการให้หม่อมฉันอยู่ข้างกายพระองค์ด้วยสถานะใดเพคะ”
สองพ่อลูกสบตากัน
เงียบงันไปเป็นนานก่อนฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตอบน้ำเสียงอ่อนโยน “เราเคยบอกไว้แล้วว่าราชทินนามองค์หญิงซย่ากั๋วจะเก็บไว้ให้เจ้าตลอดไป ”
องค์หญิงซย่ากั๋ว…ซินโย่วแอบท่องคำนี้ในใจ รู้สึกเพียงแค่ช่างน่าขัน
ในสายตาผู้คนทั่วไปที่กล่าวกันว่าลำเอียงโปรดปรานนาง แต่ตำแหน่งฮ่องเต้เก็บไว้ให้เด็กน้อย ช่างแบ่งสันได้เหมาะสมจริง
ความรักลำเอียงราคาถูกเช่นนี้
แต่ทว่านางไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกทางสีหน้า เพียงแค่เม้มปากอย่างผิดหวัง “หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ”
“รอให้ถึงเดือนสอง เราจะพระราชทานสมรสให้เจ้ากับฉางเล่อโหว”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ซินโย่วเพิ่งกลับถึงจวนตระกูลซิน ในวังก็มีของพระราชทานล้ำค่ามากมายตามมาทันที กองเต็มไปหมด
เสี่ยวเหลียนไม่อยู่ข้างกาย เรื่องตรวจนับของก็ตกเป็นหน้าที่ของเจี้ยงซวง
“คุณหนู ฝ่าบาทดีต่อคุณหนูจริง” จัดการของแต่ละชิ้นที่คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจเห็นได้ทั้งชีวิต เจี้ยงซวงยากจะไม่อุทานชื่นชม
“อืม ดีต่อข้ามากจริงๆ เจี้ยงซวง ก่อนปีใหม่ฟางหมัวมัวทำเครื่องประดับชุดใหม่มาให้หลายชุด เจ้าไปเอากล่องทำจากเงินออกมาหน่อย”
ฟางหมัวมัวดูแลร้านเงินใหญ่มากร้านหนึ่ง กล้าส่งของขวัญชิ้นใหญ่มาให้ซินโย่ว
โค่วเทียนหมิงถูกลงโทษ ฟางหมัวมัวหวาดกลัวอยู่สองสามวัน แน่ใจว่าโค่วชิงชิงไม่ได้พลอยมีความผิดไปด้วย ยังได้รับการเคารพในฐานะองค์หญิงจวิ้นจู่ได้ จึงได้วางใจ รู้สึกซาบซึ้งใจต่อซินโย่วยิ่งมากขึ้น
ความซาบซึ้งใจนี้เห็นได้จากของขวัญปีใหม่ ซินโย่วไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจของฟางหมัวมัว
ไม่นานเจี้ยงซวงก็นำกล่องทรงเหลี่ยมกลับมา กล่องมีสองชั้นและหนักมาก ชั้นบนเป็นปิ่นปักผมและกำไลแต่ละแบบ ชั้นล่างเป็นเงินทำเป็นรูปมงคลต่างๆ เช่น ถั่วลิสง ปลาน้อยกับน้ำเต้า
ซินโย่วเองก็มิได้ให้เจี้ยงซวงเลือก แต่เลือกปิ่นปักผมและเครื่องประดับผมคู่หนึ่ง กำไลสองคู่ ยิ้มเอ่ยว่า “ผู้ได้เห็นล้วนมีส่วนแบ่ง แต่ของพระราชทานไม่อาจให้เจ้าได้ ของพวกนี้เจ้าเก็บไว้”
เจี้ยงซวงรีบปฏิเสธ “ไม่ได้เด็ดขาดเจ้าค่ะ คุณหนูเพิ่งมอบเงินปีใหม่ให้มากมาย”
“ให้เจ้า เจ้าก็รับไว้ เครื่องประดับมากมายเช่นนี้วางไว้เฉยๆ ก็น่าเสียดาย ก็ถือเสียว่าเป็นสินออกเรือนของเจ้าที่เตรียมไว้ล่วงหน้าก็แล้วกัน”
เจี้ยงซวงหน้าแดง “คุณหนูพูดอันใดเจ้าคะ บ่าวยังไม่ได้ว่าคนเขาจะ…”
ซินโย่วยิ้มหยอกสาวใช้ท่าทางเขินอาย ในใจเอ่ยขออภัย
นางยุ่งแต่งานภายนอกมาตลอด ไม่มีเวลาจัดการดูแลคนข้างกายให้ดี
แต่เหนือขึ้นไปมีท่านอาองค์หญิงเจาหยาง ด้านล่างลงมามีพวกผู้จัดการร้านหู ชีวิตของพวกเจี้ยงซวงคงไม่เลวร้ายนัก คนผู้นั้นจะอย่างไรก็คงไม่ถึงกับจัดการลงโทษบรรดาบ่าวเช่นเจี้ยงซวงกระมัง เรื่องนี้นางพอเข้าใจอยู่
ตอนเดือนหนึ่ง เพิ่งวันที่แปดก็เริ่มแขวนโคมไฟแล้ว จากนั้นก็เข้าสู่บรรยากาศเทศกาลบัวลอย บรรยากาศเข้มข้นขึ้นทุกวัน จนกระทั่งวันที่สิบเจ็ดเดือนหนึ่งจึงได้เก็บโคมไฟ
วันที่สิบสี่เดือนหนึ่ง ซินโย่วบอกกับพวกเจี้ยงซวงว่าจะออกเดินทางท่องเที่ยว พาเชียนเฟิงกับผิงอันไปจากจวนตระกูลซิน
บนท้องถนนโคมไฟหลากสีสัน การแสดงต่างๆ มากมาย ผู้คนสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ ส่งเสียงทักทายมิตรสหาย ชมการแสดงและเดินเล่น
ภาพตรงหน้าก็คือฝูงชนมืดฟ้ามัวดิน ซินโย่วกลายเป็นหนึ่งในคนตัวเล็กๆ ท่ามกลางคลื่นฝูงชน
เชียนเฟิงกับผิงอันคุ้มกันนางซ้ายขวาตรงไปยังประตูเมือง ยามนี้ประตูเมืองเปิดกว้าง มีคนเข้าออกกันมาก สามคนเดินทางออกจากเมืองอย่างราบรื่น ขี่อาชางามที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ ออกเดินทางไปทางตะวันตก
เป้าหมายของนางก็คือเดินทางออกทะเลก่อน แผ่นดินต้าซย่ากำลังรุ่งเรือง โอรสสวรรค์บารมีน่าเกรงขาม ขุนพลทหารพร้อมสรรพ มีเพียงออกเดินทางไปยังดินแดนโพ้นทะเลจึงจะสลัดหลุดได้ อีกสองสามปี ความคิดค้นหานางของคนผู้นั้นก็จะจางลง ค่อยกลับต้าซย่าก็มีอิสรภาพได้แล้ว
นางรู้จวนตระกูลซินมีสายตามากมายคอยจับจ้องนางไว้ เกรงว่าข่าวการจากไปของนาง ไม่นานก็จะไปถึงหูคนผู้นั้น จำต้องอ้อมไปสักรอบ หวังว่าการหนีนี้จะราบรื่น
……….