สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 433 วางตาข่ายรอเหยื่อ
ตอนที่ 433 วางตาข่ายรอเหยื่อ
……….
แผนการของซินโย่วก็คือขี่ม้าไปก่อน วิ่งไปได้ไกลเท่าไรก็เท่านั้น ก่อนจะสลัดม้าทิ้งใช้การเดินต่อ ข้ามเขาผ่านป่า อ้อมเมืองต่างๆ รอไปจากเมืองหลวงได้ไกลพอสมควรก็ง่ายแล้ว
อากาศหนาวจัดมาก ลมหนาวบาดผิวหน้าดุจดังคมมีด สุดท้ายก็ค่อยๆ ชาไร้ความรู้สึก ไม่รู้วิ่งมาไกลเพียงใด ซินโย่วกระชากบังเหียนค่อยๆ ผ่อนความเร็วลง
ทางแยกด้านหน้ามีทหารตั้งด่าน
มือเย็นดุจน้ำแข็งของซินโย่วกุมบังเหียนแน่น สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
แม้คนผู้นั้นเคลื่อนไหวเร็วเพียงใด ตอนได้รับข่าวก็ไม่ควรจะตั้งตาข่ายดักรอเร็วถึงเพียงนี้ นอกเสียจากว่า…เขาเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า
เชียนเฟิงกับผิงอันเองก็หยุดด้านหลังซินโย่วนิ่งเงียบไม่เอ่ยอันใด
ในฐานะที่ทั้งสองถูกฝึกให้เป็นองครักษ์พลีชีพ ไม่เหมือนพวกหลิวโจวกับหัวหน้าหกที่พบเจออันตรายก็จะส่งเสียงกล่าวอันใดกับซินโย่ว พวกเขาเพียงแค่รอ ปกป้องนายด้วยชีวิต
“สละม้า เข้าป่า” ตอนซินโย่วเอ่ยคำนี้ออกไปก็พลันเห็นภาพหนึ่งจากใบหน้าของเชียนเฟิงกับผิงอัน
ในภาพนั้น เชียนเฟิงล้มลงสิ้นใจ ผิงอันถูกดาบฟันหลายแห่ง นางจ้องมองภาพเบื้องหน้าอย่างละเอียด เสื้อผ้าของทั้งสองถูกดาบฟันหลายแห่ง เผยให้เห็นร่องรอยบาดแผลทั่วร่างกาย ด้านหลังพวกเขาไม่ไกลนักก็คือภูเขาทั้งผืน
จากการคาดเดานี้ พวกนางอยู่ในป่าเขาหลายวันอย่างไรก็ต้องออกมา นอกผืนป่าก็มีทหารเฝ้าคุมอยู่
ก็แสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยตอนนี้เส้นทางเข้าภูเขา สุดท้ายก็จะล้มเหลว
“เดี๋ยวก่อน” ซินโย่วกัดฟันเปลี่ยนความคิด “พวกเราหันกลับ อ้อมไปทางเหนือ”
พอกล่าวเช่นนี้จบนางก็หลับตาจ้องมองไปยังทั้งสองคน ก็เห็นภาพใหม่ผุดขึ้นมา
ครั้งนี้เชียนเฟิงกับผิงอันยังมีชีวิตอยู่ แต่มีบาดแผลตามร่างกาย กำลังเผชิญหน้ากับกำลังทหารที่ค่อยๆ รุกคืบเข้ามาทีละก้าว
ซินโย่วมองจากภาพก็จำได้ คนหนึ่งในนั้นก็คือรองขุนพลแซ่หลิว ลูกน้องของผู้บัญชาการจ้าวเฟยฝานกองกำลังรักษาเมืองหลวง
อ้อมไปทางเหนือก็ไม่ได้หรือ
หรือว่าเส้นทางลงใต้ที่นางต้องการหนีไปนั้นกลับเป็นเส้นทางปลอดภัย
หากไปทางใต้ล่ะ
พอความคิดนี้ผุดขึ้นมา มองเชียนเฟิงกับผิงอันอีกครั้ง สีหน้าของซินโย่วยิ่งซีดเผือด
ทางใต้ก็ยังคงเป็นทางตัน
มองใบหน้าของคนเดิมหลายครั้ง เห็นภาพต่างๆ แตกต่างกันทำให้ศีรษะนางปวดปลาบ และยากทนรับยิ่งกว่าอาการปวดศีรษะปกติ ไม่ทันได้เคลื่อนไหวก็รู้ผลแล้ว
เชียนเฟิงกับผิงอันยังคงนิ่งรอคำสั่งของซินโย่ว
ซินโย่วตัดสินใจเลือกเดินหน้าต่อไป
ในเมื่อเลือกอย่างไรผลก็ไม่ดีทั้งนั้น เช่นนั้นก็ไม่เปลี่ยนแล้ว พวกนางสามคนปลอมตัวมาแล้ว เอกสารก็มี มิใช่ว่าไม่มีโอกาสผ่านเส้นทางไปได้
เสียงฝีเท้าม้าดังใกล้เข้ามา ทหารที่เฝ้าคุมด่านเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับตะโกนว่า “กองกำลังรักษาเมืองหลวงตรวจค้น กรุณาให้ความร่วมมือ”
ด่านที่ตั้งขึ้นนี้เป็นคนของกองกำลังรักษาเมืองหลวงดังคาด เหมือนกับภาพทางเหนือที่นางได้เห็น
ต้าซย่าตั้งด่านตรวจเส้นทางหลักกับเส้นทางสำคัญ ทหารที่ทำหน้าที่ตรวจผู้คนผ่านทางไปมาควรเป็นสำนักตรวจตรา
การที่กองกำลังรักษาเมืองหลวงเคลื่อนไหวเช่นนี้ ซินโย่วแน่ใจว่าคนผู้นั้นเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว
นางกระโดดลงจากหลังม้า จูงม้าเดินไป
“ไปไหน” คนที่ถามมองประเมินสองสามที มองผ่านเชียนเฟิงกับผิงอันที่แต่งตัวแบบผู้คุ้มกันไปถามซินโย่ว
“ไปเยี่ยมญาติ” ซินโย่วเผยรอยยิ้ม คำพูดฟังแล้วดูตื่นเต้นแต่มีความนอบน้อม
“มีหนังสือนำทางไหม”
ซินโย่วควักออกมาจากอกเสื้อ สองมือประคองส่งให้ “นี่คือหนังสือนำทาง”
คนผู้นั้นรับไปเปิดออกอ่าน ก่อนจะมองซินโย่วอีกครั้ง อายุและหน้าตาเหมือนกับระบุในหนังสือนำทางทุกประการ
แม้หนังสือนำทางพวกนี้มักจะบันทึกรูปร่างหน้าตาเอาไว้ แต่ก็ไม่มีทางละเอียดมากนัก ในสภาวการณ์ทั่วไปก็เพียงแค่ใบหน้าเหลี่ยมหรือรูปแตงเท่านั้น ไม่มีปัญหาอันใด
คนผู้นั้นมองๆ แล้วก็พยักหน้า
ซินโย่วไม่กล้าคลายความระวังตัว เอ่ยน้ำเสียงสุภาพว่า “ขอนายท่านอำนวยความสะดวกด้วย”
คนผู้นั้นส่งหนังสือนำทางคืนให้ซินโย่ว เอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “จับตัวไว้ก่อน!”
ซินโย่วสีหน้าคาดไม่ถึง “นายท่าน นี่ นี่เพราะเหตุใด”
“ขออภัย พวกเราได้รับคำสั่ง สองวันนี้ออกนอกเมือง ไม่ว่าขึ้นเหนือลงใต้ ให้นำตัวไปกองกำลังรักษาเมืองหลวงให้หมด รอตรวจสอบอีกครั้งก่อนเดินทางได้”
“ตรวจ…ตรวจสอบอีกครั้ง?” ซินโย่วแต่งกายเป็นหนุ่มน้อยใบหน้าซีดเผือด ท่าทางเหมือนตกใจมาก
คนผู้นั้นยิ้ม “น้องชาย เจ้าไม่ต้องกลัว หนังสือนำทางพวกเจ้าไม่มีปัญหา รอให้ไปถึงกองกำลังรักษาเมืองหลวง เปลี่ยนเสื้อผ้าออก ตรวจค้นในและนอกให้เรียบร้อยจะไปไหนก็ไป พวกที่ไม่มีหนังสือนำทางก็มิได้โชคดีเช่นนี้แล้ว จะถูกส่งตรงไปจำคุกก่อน จากนั้นจะอย่างไรก็ขึ้นกับโชคชะตาแล้ว”
ขณะกำลังพูดอยู่ก็เห็นรถม้าคันหนึ่งแล่นเข้ามาใกล้
ครั้งนี้เป็นครอบครัวสี่คน เจ้าบ้านชายถูกขวางทางก็เดินเข้ามาส่งหนังสือนำทางให้อย่างนอบน้อม อาจเพราะเห็นพวกซินโย่วสามคนถูกขวางไว้ จึงยัดเศษก้อนเงินใส่มือคนตรวจไปก้อนหนึ่ง
คนผู้นั้นบีบก้อนเงินไปมา แน่นอนว่าย่อมรับไว้ ก่อนโบกมือ “นำตัวไปพร้อมกัน”
เจ้าบ้านชายตกใจสีหน้าซีดเผือด “นายท่าน ครอบครัวข้าน้อยเร่งเดินทาง ขอได้โปรดเมตตาสักนิด!”
“ไม่ว่ารีบร้อนด้วยเรื่องใด ก็ต้องไปที่ทำการก่อน ตรวจสอบแล้วก็จะปล่อยพวกเจ้าไป”
“นายท่าน พวกข้าเป็นชาวบ้านซื่อสัตย์สุจริต หนังสือนำทางนี้ก็ได้มาจากเจ้าหน้าที่ทางการ เหตุใดต้องไปที่ทำการอีก”
เจ้าบ้านชายพูดไปก็ควักเงินไป แต่ถูกคนผู้นั้นผลักออก “ไม่ใช่เรื่องเงิน แม้เป็นเชื้อพระวงศ์ผ่านทางมาปล่อยหลุดไปสักคน พวกเราล้วนหัวหลุดจากบ่า”
เจ้าบ้านชายคำนับเอาใจ ถูกทหารถีบใส่ทีหนึ่ง “หากยังก่อเรื่องอีกก็จะส่งไปจำคุก!”
“นาย…” หญิงสาวอุ้มทารกที่กำลังตกใจแผดเสียงร้องไห้ดังลั่น จูงมือเด็กน้อยอีกคนที่กำแขนมารดาแน่น
ซินโย่วเห็นครอบครัวสี่คนนี้แล้วก็พลันเห็นภาพหนึ่งผุดขึ้นมา ที่ทำการกองกำลังรักษาเมืองหลวง ทหารคนหนึ่งลูบคลำมือหญิงสาว เจ้าบ้านชายไม่รู้เอ่ยอันใด ถูกต่อยทีหนึ่งจนฟันหน้าร่วง เลือดไหลไม่หยุด
เด็กน้อยสองคนตกใจร้องไห้จ้า แม้ภาพนี้แต่ไรมาไร้เสียง แต่สำหรับซินโย่วกลับดังอสุนีบาตฟาดจนหูแทบหนวก
มีคนเดินผ่านทางมาอีก เป็นชายชราหาบของเข้าเมืองหลวง
ได้ยินว่าผ่านทางไปไม่ได้ ชายชราก็โผลงคุกเข่า “ยัยเฒ่าที่บ้านกำลังรออยู่ กลับไปสาย นางจะเป็นห่วง…”
ซินโย่วทนฟังต่อไปไม่ไหว ก้าวเข้าไปกล่าวว่า “ข้าก็คือคนที่พวกเจ้าต้องการหาตัว อย่าได้ทำให้คนไม่เกี่ยวข้องลำบากไปด้วย”
หากเข้าไปที่ทำการแล้วก็คงไม่อาจหลบหลีกได้อีก ยอมรับไปเสียตอนนี้ จะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้คนมากนัก
พอเอ่ยเช่นนี้ออกไป ทหารกลุ่มหนึ่งก็รุมล้อมเข้ามาทันที
“เจ้าคือคุณหนูซิน? เหตุใดไม่เหมือน”
ซินโย่วจึงได้ลบแป้งเปลี่ยนสีผิวและการตกแต่งใบหน้าทิ้งต่อหน้าทุกคน กลับคืนสภาพดังเดิม
หัวหน้ายกภาพขึ้นส่องเทียบ ก็อุทานตื่นเต้น “ตรงกัน ส่งข่าว!”
ไม่นานด้านหลังก็มีแสงวาบสายหนึ่งพุ่งขึ้นท้องฟ้า กลายเป็นพลุดอกไม้แดงกลางท้องฟ้า
พลุควันนี้ต่างจากพลุทั่วไป เห็นได้ชัดเจนแม้ในยามกลางวัน
ทิศทางไปเมืองหลวงไม่ไกลนัก คนเห็นพลุสัญญาณกลางท้องฟ้าก็รีบส่งสัญญาณเช่นเดียวกันต่อไป
ส่งสัญญาณต่อกันไปเช่นนี้ ก็ตรงไปยังคนบนกำแพงเมือง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก้าวออกมาด้านนอกอย่างรวดเร็ว ได้พบกับองค์หญิงเจาหยางที่เร่งเข้าวังมาระหว่างทางพอดี
“เสด็จพี่ นอกเมืองเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดจึงมีพลุสัญญาณ”
ครั้งหลังสุดที่ได้เห็นพลุสัญญาณตอนกลางวันจากนอกเมืองส่งต่อกันมาเช่นนี้ก็เป็นตอนปีที่แล้วที่ข่งรุ่ยก่อเรื่อง ดังนั้นองค์หญิงเจาหยางจึงรู้การใช้งานของพลุนี้อย่างดี
……….