สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 434 ราชันดังไผ่โดดเดี่ยว
ตอนที่ 434 ราชันดังไผ่โดดเดี่ยว
……….
“อาโย่วจะไปจากเมืองหลวง!” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รีบเสด็จออกไป ไม่สนใจตรัสอันใดอีก
องค์หญิงเจาหยางสีหน้าแปรเปลี่ยน
นางไม่แปลกใจที่อาโย่วจะจากไป เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าเสด็จพี่จะจับตานางไว้แน่นหนาเพียงนี้
“เสด็จพี่ ทรงคิดทำอย่างไรต่อเพคะ” องค์หญิงเจาหยางรีบก้าวตามไป
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่หยุดเดิน “ก็ย่อมต้องตามอาโย่วกลับมา”
เส้นทางหลวงจากเมืองหลวงไปทางตะวันตก ซินโย่วปฏิเสธเปลี่ยนม้า แต่ค่อยๆ ขี่ม้ากลับ
ม้าวิ่งมานานเพียงนี้ก็เริ่มอ่อนล้าอย่างมาก ความเร็วระดับดีพอดีให้ค่อยๆ ฟื้นฟูกำลัง
ทหารเหล่านั้นไม่กล้ากดดัน ตามอยู่ด้านหลัง อุดเส้นทางหนีด้านหลังเอาไว้แน่นหนา
สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่กล้ามีเรื่องกับเจ้านายท่านนี้แม้แต่น้อย ส่งมอบคนให้หัวหน้าราบรื่นก็จะได้บำเหน็จรางวัลใหญ่ ขอเพียงองค์หญิงท่านนี้สงบเสงี่ยม อย่าว่าแต่ไม่เปลี่ยนม้า ขี่ม้าพวกเขาก็ยังได้
ด้านหน้ามีกองกำลังทหารม้าเร่งฝีเท้ามาอย่างรวดเร็ว พอเข้ามาใกล้ด้านหน้าก็หยุดลง ผู้ที่นำมาก็คือผู้บัญชาการจ้าวเฟยฝานกองกำลังรักษาเมืองหลวง
“คุณหนูซิน” แน่ใจว่าเป็นซินโย่วถูกต้อง จ้าวเฟยฝานก็ประสานมือคำนับ
ซินโย่วน้ำเสียงนิ่งเรียบ“คาดไม่ถึงว่าผู้บัญชาการจ้าวก็มาด้วย”
จ้าวเฟยฝานได้ยินเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าลุ่มลึก ประสานมือบอกให้ซินโย่วรู้ว่าให้เลิกความคิดหนีไปได้เลย เขาเผยความจริงว่า “ข้าสมควรมาด้วยตนเอง เกรงว่าคุณหนูซินคงไม่ทราบ กองกำลังรักษาเมืองหลวงหนึ่งแสนนาย สองสามเดือนมานี้มีขุนพลนับหมื่นรอรับคำสั่งเรื่องคุณหนูซิน เมื่อครู่ข้าได้รับสัญญาณแจ้ง จะกล้ารอช้าได้อย่างไร”
กองกำลังมากมายเช่นนี้ การจัดการปูพรมเช่นนี้ หากปล่อยให้คุณหนูซินหนีไปได้ เขาก็คงได้แต่หิ้วศีรษะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว
มาถึงยามนี้ ความจริงจ้าวเฟยฝานรู้สึกโล่งอกดังยกหินในใจออก การที่ไม่มีเวลาแน่ชัด แต่ต้องคอยระวังอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้เป็นเรื่องทรมานที่สุด ตอนนี้คุณหนูซินรู้แล้วว่าเส้นทางหลักกับเส้นทางสำคัญรอบเมืองหลวงได้เตรียมการป้องกันแน่นหนาดังกำแพงทองแดง ก็คงไม่คิดหนีแล้วกระมัง
“สองสามเดือนก่อน…” ซินโย่วพึมพำ พลันถามจ้าวเฟยฝาน “ผู้บัญชาการจ้าวได้รับภารกิจมาตอนเดือนสิบแล้ว?”
จ้าวเฟยฝานตกใจนิ่งอึ้ง แม้ว่าหลีกเลี่ยงไม่ตอบ แต่สีหน้าแปรเปลี่ยนก็ทำให้ซินโย่วแน่ใจการคาดเดานี้ไม่ผิด
ซินโย่วเม้มปาก รู้สึกเย็นวาบในใจ
เดือนสิบก็คือตอนที่คนผู้นั้นเสนอเรื่องแต่งตั้งฮองเฮา
หลังแต่ตั้งพระสนมกุ้ยเฟยโจวเป็นฮองเฮา บรรดาขุนนางและชนชั้นสูงรู้ชัดเจนแล้วว่าเขาต้องการแต่งตั้งองค์ชายสามเป็นรัชทายาท เขารู้ว่านางจะผิดหวังกับเรื่องนี้จนคิดจากไป เขาเข้าใจทุกอย่าง จึงได้วางตาข่ายดักรอนางด้วยกองกำลังรักษาเมืองหลวงแสนนาย คิดจองจำนางไว้ในกรงนี้ชั่วชีวิต
ซินโย่วไม่เอ่ยอันใดอีก
มาถึงบัดนี้ นางก็ไม่มีอันใดต้องเอ่ยอีก มีเพียงจิตใจที่แหลกสลาย ความแหลกสลายนี้ไม่ใช่เพราะวันหน้าอาจถูกจองจำในเมืองหลวง แต่เป็นความรู้สึกต่อคนผู้นั้น
จากตะวันตกไปตะวันออก ตอนออกนอกเมืองไม่ทันสังเกตทิวทัศน์ระหว่างทาง ยามนี้มองไปสุดสายตา ผืนดินสีน้ำตาลสุดสายตาและต้นไม้แห้งที่ยังไม่แตกยอดอ่อน
สู้แดนใต้ที่ฤดูหนาวยังคงเขียวขจีไม่ได้ เดือนหนึ่งในเมืองหลวงยังคงมีกลิ่นอายของฤดูหนาวไม่จางหาย
ยังไม่ถึงฤดูใบไม้ผลิอบอุ่น บุปผาแย้มบาน
ซินโย่วกุมบังเหียนแน่นจนบาดฝ่ามือ
จ้าวเฟยฝานขี่ม้ามาเทียบข้างซินโย่ว มองไปไกลๆ ก็เห็นม้าขบวนหนึ่งวิ่งมา ก็เผยสีหน้าตกใจก่อนจะรีบลงจากหลังม้าเข้าไปต้อนรับ
ซินโย่วเห็นฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ค่อยๆ เข้ามาใกล้ก็ค่อยๆ หยุดลง
ทหารภายใต้การนำของจ้าวเฟยฝานลงคุกเข่าทั้งแถบ ส่งเสียงถวายบังคมกึกก้อง
ซินโย่วนั่งอยู่บนหลังม้าไม่ขยับ
ไม่เอ่ยถึงองครักษ์เหล่านั้น ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มิได้เสด็จเพียงลำพัง ยังมีองค์หญิงเจาหยางและเฮ่อชิงเซียว
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงอาชาเช่นกัน
ขณะสองพ่อลูกสบตาประสานกัน คนอื่นๆ พากันเงียบกริบ มีเพียงสายลมหนาวที่ล้อมรอบพัดมาจากรอบทิศทาง พัดชายฉลองพระองค์ปักลวดลายมังกรของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้โบกสะบัด และยังพัดชายชุดเสื้อผ้าบุรุษของซินโย่วปลิวสะบัด
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มองใบหน้าที่กลับคืนสู่สภาพดังเดิมแล้ว เห็นบุตรสาวแต่งกายเป็นบุรุษก็รู้สึกอัดแน่นในใจ
“อาโย่ว…” เขาส่งเสียงเรียก ขี่ม้าเข้าไปใกล้ “เหตุใดจะต้องจากไป”
ยามนี้ซินโย่วเองก็คร้านจะดำรงท่าทีอ่อนโยนลวงหลอกพวกนั้นแล้ว ทูลตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “หม่อมฉันอยู่ต่อไป ก็ไม่อาจพระราชทานสิ่งที่หม่อมฉันต้องการได้ ไม่ใช่หรือเพคะ”
“อาโย่ว ชีวิตจริงมิใช่นิยาย เจ้าต้องการสิ่งใดเราเข้าใจ แต่เราให้เจ้าไม่ได้จริงๆ…”
“ดังนั้นหม่อมฉันก็ไม่ฝืนเรียกร้อง มิใช่หรือเพคะ” ซินโย่วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “หม่อมฉันต้องการเพียงแค่จากไปเท่านั้น”
“เรารู้” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เงียบไปครู่หนึ่ง เลือกที่จะเอ่ยชัดเจนไม่อ้อมค้อมอีก “แต่เราไม่อยากให้เจ้าจากไป ตอนมารดาเจ้าจากเราไป เราไม่รู้ว่านึกเสียใจภายหลังกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ความผิดเช่นเดิมเราไม่มีทางผิดซ้ำสอง”
ซินโย่วได้ยินก็กระตุกมุมปากแค่นเยาะ “ฝ่าบาทนึกเสียใจภายหลังที่ปล่อยให้ท่านแม่หนีไปได้สำเร็จ มิใช่ทำให้ท่านแม่เสียใจ ปล่อยให้ท่านแม่ทอดทิ้งฝ่าบาทไป”
ดังนั้นตอนนี้เขาจึงป้องกันแน่นหนา ไม่มีทางปล่อยนางไป
“ที่ฝ่าบาทใส่ใจแท้จริง แต่ไรมาก็มีเพียงตัวฝ่าบาทเอง!” ธรรมเนียมที่ไม่อาจขัดพระบัญชาหรือจำต้องรักษาความเคารพนอบน้อม ยามนี้ไม่มีอีกแล้ว ในที่สุดซินโย่วก็กล่าวออกมาอย่างสะใจได้แล้ว
การที่นางเอ่ยถึงฮองเฮาซินดังเหยียบย่ำจุดเจ็บปวดของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ ทำให้ฮ่องเต้ชิงหยวนตี้โมโหเดือดดาล “ซินโย่ว เจ้าตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องไปให้ได้?”
ซินโย่วตอบกลับเย็นเยียบ “หากหม่อมฉันยังขยับตัวได้ หรือฝ่าบาทจะใช้กำลังแสนนาย เฝ้าระวังหม่อมฉันคนเดียวตลอดไป”
“เจ้ากำลังข่มขู่เรา?”
“ไม่ หม่อมฉันเพียงแต่ทูลตอบคำถามเมื่อครู่ของฝ่าบาท”
“เยี่ยมๆ เจ้าอาจไม่สนใจเราผู้เป็นบิดา ไม่สนใจสถานะองค์หญิง แล้วฉางเล่อโหวเล่า” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ชี้ไปที่เฮ่อชิงเซียว
เขาออกจากเมืองหลวงมาด้วยตนเอง ยังสั่งการให้เฮ่อชิงเซียวติดตามมาโดยเฉพาะ
ซินโย่วจึงได้มีความกล้ามองไปทางเฮ่อชิงเซียว
เฮ่อชิงเซียวแต่งกายในชุดแดงเข้มแขนสอบ พกดาบสีนิลยาวในฝักไม้จันทน์นิล ขี่อาชางามสีดำปลอด นิ่งมองนาง
พระดำรัสโหดเหี้ยมของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ดังเข้าโสตประสาทซินโย่ว “อาโย่ว หากเจ้าไม่สนใจชีวิตฉางเล่อโหวก็ไปได้”
ซินโย่วกัดริมฝีปากแน่น “ฝ่าบาทกำลังข่มขู่หม่อมฉัน?”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตอบกลับคำพูดเดียวกัน “ไม่ เราเพียงแต่บอกเจ้า ผลที่จะตามมาหากเจ้าจากไป”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รู้ว่าตรัสไปเช่นนี้ ความสัมพันธ์บิดาบุตรสาวก็จะแหลกสลาย แต่เขาจำต้องกล่าว
ก็เหมือนดังที่อาโย่วกล่าว กองกำลังแสนนายไม่อาจเฝ้าระวังไว้ได้ตลอดไป เขาได้แต่กล่าวเช่นนี้ จึงจะทำให้อาโย่วล้มเลิกความคิดหลบหนีได้หมดสิ้น
เสียงโลหะดังขึ้นเสียงหนึ่ง เป็นเสียงดาบออกจากฝัก
กองกำลังองครักษ์ออกมาคุ้มกันด้านหน้าฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ ผู้ที่ชักดาบออกมากุมไว้ในมือก็คือเฮ่อชิงเซียว
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตกพระทัยนิ่งอึ้ง “เฮ่อชิงเซียว เจ้าคิดสังหารเราหรือ”
ยามนี้เขามิได้หวาดกลัว เพียงแต่ยากจะเข้าใจ
แม้เฮ่อชิงเซียวฝีมือไม่ธรรมดา แต่อาศัยแรงกำลังเดียวก่อการ ก็เท่ากับตั๊กแตนขวางรถ มดตัวน้อยตัวหนึ่งเท่านั้น
“กระหม่อมมิกล้าคิดเช่นนั้นอย่างเด็ดขาด” เฮ่อชิงเซียวสีหน้าสงบนิ่ง “แต่ทว่ากระหม่อมมิยินยอมเป็นหมากให้ฝ่าบาทใช้บีบอาโย่ว”
กล่าวจบ เขาก็มองไปทางซินโย่ว ยกดาบขึ้นท่ามกลางแววตาตกใจสิ้นหวังของนาง ปาดลำคอตนเองทีหนึ่ง
โลหิตสาดกระเซ็น เขาจ้องมองสาวน้อยในดวงใจไม่วางตา ผงะหงายหลังลงจากหลังม้า
……….