สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 47 ส่งทางการ
ตอนที่ 47 ส่งทางการ
ผู้ดูแลร้านหูตกใจเสร็จก็ลงคุกเข่า “โชคดีที่ท่านเจ้าของร้านมีความสามารถวิเศษเช่นนี้ จึงช่วยชีวิตข้าน้อยไว้ได้!”
ซินโย่วรีบประคองผู้ดูแลร้านหูขึ้นมา “ผู้ดูแลหูอย่าได้ทำเช่นนี้”
ผู้ดูแลร้านหูกลับคล้ายว่าได้รู้จักซินโย่วเป็นครั้งแรก มองนางด้วยแววตาสว่างวาบ “ท่านเจ้าของร้านอายุน้อยๆ แค่นี้ก็เชี่ยวชาญวิชานรลักษณ์ได้เช่นนี้แล้ว นี่คงเป็นพรสวรรค์กระมัง”
ซินโย่วเงียบ ยิ้มเล็กน้อยพยักหน้า “ใช่ พรสวรรค์”
“ข้าน้อยก็ว่าแล้ว…” ผู้ดูแลร้านหูถอนหายใจ
ซินโย่ว “…” เหตุใดเสียงลากยาวจากปากผู้ดูแลร้านหูฟังแล้วเสียดายอยู่ลึกๆ
ผู้ดูแลร้านหูรู้สึกเสียดายจริงๆ
ผู้ใดได้เห็นวิชานรลักษณ์อัศจรรย์เช่นนี้แล้วไม่อยากศึกษา!
พอเสียดายเสร็จ ผู้ดูแลร้านหูก็ยิ่งซาบซึ้งใจ “ท่านเจ้าของร้าน ท่านไม่ควรเสี่ยงเพื่อข้าน้อย เหตุใดไม่ตามผู้คุ้มกันมาขอรับ”
ซินโย่วคาดไว้แล้วว่าผู้ดูแลร้านหูจะถามเช่นนี้ จึงอธิบายต่อว่า “อย่างไรก็เป็นเพียงการคาดเดา ไม่จำเป็นต้องทำให้ทุกคนแตกตื่นตกใจ ท่านประสบเหตุ ข้าเองพอจะช่วยได้ หรือหากไม่ประสบเหตุ ค่ำคืนแสงจันทร์กระจ่างนี้ก็ไม่เลว ออกมาเดินเล่นเสียหน่อย”
“ท่านเจ้าของร้าย อย่างไรก็เสี่ยงเกินไป และท่านก็เป็นสตรี คืนนี้หากคนร้ายเป็นคนมีฝีมือสูงส่ง ใช่ว่าข้าน้อยทำให้ท่านพลอยลำบากไปด้วยหรือ”
แค่คิดตอนหลี่ลี่ยกก้อนหินด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว ผู้ดูแลร้านหูก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
“ผู้ดูแลร้านไม่จำเป็นต้องคิดมาก ในเมื่อข้ากล้ามา ก็ย่อมกล้ารับมือ”
เห็นสีหน้าสงสัยของผู้ดูแลร้านหู ซินโย่วก็ทำสีหน้านิ่งเรียบเอ่ยว่า “ข้าเลยหยิบก้อนอิฐมาด้วย”
ผู้ดูแลร้านหู “…”
“ใช่แล้ว ผู้ดูแลร้าน เหตุใดค่ำคืนดึกดื่นมาโรงพิมพ์” ซินโย่วถามอย่างนึกสงสัย
ผู้ดูแลร้านหูถอนหายใจ “วันนี้ข้าน้อยเห็นว่าหนังสือรวมบทคัดสรรบทกวีนิพนธ์ขายหมดแล้ว จึงสั่งให้ช่างที่โรงพิมพ์พิมพ์เพิ่มพรุ่งนี้เช้า ปรากฏพอเข้านอนเพิ่งนึกได้ว่าแม่พิมพ์รวมบทคัดสรรบทกวีนิพนธ์นี้ยังมีอักษรผิดตัวหนึ่ง แม้ว่าพิมพ์ออกมาจะไม่ได้ส่งผลมากนัก แต่ในเมื่อนึกได้ก็ควรแก้ไขให้ถูกต้อง แต่คิดไม่ออกว่าแม่พิมพ์ไหน พอมีเรื่องในใจก็ทำให้นอนไม่หลับ จึงได้มาตรวจสอบให้แน่ใจสักหน่อย…”
ซินโย่วได้ยินก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี มองไม่ออกว่าผู้ดูแลร้านหูเป็นคนใจร้อนเช่นนี้
“ท่านเจ้าของร้าน พรุ่งนี้จะจับหลี่ลี่ส่งทางการจริงหรือ”
ซินโย่วยิ้มกล่าวว่า “ขังเขาไว้ทั้งคืน พรุ่งนี้เขาน่าจะพูดแล้ว รอให้เขาพูดก่อนค่อยส่งทางการ”
“ท่านช่าง…” ผู้ดูแลร้านหูพลันไม่รู้ควรเอ่ยชมอย่างไร
“ดึกมากแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ”
ค่ำคืนผ่านไป ซินโย่วก็ได้พบกับหลี่ลี่ที่สภาพดูไม่ได้ราวกับมะเขือยาวต้องน้ำค้างแข็งจนนุ่มนิ่มปวกเปียก
“อือ อือ อือ …” พอเห็นซินโย่ว หลี่ลี่ก็คล้ายมีแรงขึ้นมา พยายามส่งสายตาเต็มที่
“เสี่ยวเหลียน เอาผ้าอุดปากเขาออก”
เสี่ยวเหลียนรีบดึงผ้าอุดปากหลี่ลี่ออก หลี่ลี่ปากชาไปหมด ครู่หนึ่งจึงได้ลนลานเอ่ยขึ้น “ข้า…พูด…ข้าพูด…”
ซินโย่วส่งสายตาให้เสี่ยวเหลียน เสี่ยวเหลียนเทน้ำชากลั้นใจป้อนให้หลี่ลี่ดื่มสองอึกอย่างรังเกียจ
หลี่ลี่สีหน้าดีขึ้นมาเล็กน้อย พออ้าปากน้ำตาก็ร่วงริน “เพราะผีร้ายบดบังจิตใจข้าน้อย คิดอยากได้เงินทอง มีคนให้เงินข้าน้อยมาสี่ตำลึง ให้ข้าน้อยทำเช่นนี้…”
“คนผู้นั้นคือใคร” ผู้ดูแลร้านหูตวาดถาม
“ไม่รู้…”
“ไม่รู้?” หัวหน้าจ้าวตบโต๊ะ “หลี่ลี่ มาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังปากแข็งอีกหรือ!”
เทียบกับความโกรธของผู้ดูแลร้านหูและหัวหน้าจ้าว ซินโย่วสงบนิ่งกว่า เพียงแค่ส่งเสียงเรียกเสี่ยวเหลียนเบาๆ
“เสี่ยวเหลียน” สองคำนี้กระตุกความหวาดกลัวของหลี่ลี่ที่ถูกผ้าเช็ดโต๊ะอุดปากไว้ทั้งคืนขึ้นมา
“ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ข้าน้อยสาบานได้! เมื่อก่อนก็ไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน…” หลี่ลี่รีบเอ่ย กลัวว่าพูดช้าจะถูกเสี่ยวเหลียนอุดปากอีก
หัวหน้าจ้าวโมโหถีบใส่เขาทีหนึ่ง “ไม่รู้จัก แต่ยังทำเรื่องชั่วช้าผิดต่อฟ้าดินเพื่อเงินสี่ตำลึงได้!”
หลี่ลี่เงียบไม่ส่งเสียง ในใจกลับฮึดฮัดไม่เอ่ยอันใด ไม่ยินยอมสยบ คนไม่รู้จัก แต่เงินจะไม่รู้จักหรือ
ซินโย่วเห็นสีหน้าของหลี่ลี่คล้ายว่ามิได้โกหก จึงบอกกับผู้ดูแลร้านหู “ในเมื่อถามไม่ได้ความ ก็ส่งทางการเถอะ”
หัวหน้าจ้าวเผยสีหน้าตกใจ เขาคิดว่าหลี่ลี่พูดความจริงแล้ว อย่างมากก็ถูกขับออกจากร้าน
ผู้ดูแลร้านหูเตรียมใจไว้นานแล้ว สั่งให้คนงานสองคนจับหลี่ลี่ไปส่งทางการทันที
“ท่านเจ้าของร้านปล่อยข้าไปเถอะๆ…”
ตั้งแต่ห้องโถงไปจนออกนอกร้านหนังสือชิงซง หลี่ลี่ยังคงตะโกนเสียงแหบพร่าตลอดทาง ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อย
“ร้านหนังสือชิงซงเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
“ไม่รู้ ดูเหมือนว่าเป็นช่างพิมพ์ร้านหนังสือชิงซง”
คนงานหลิวโจวถูกคนคนดึงมาถาม จึงตอบไปตรงๆ “เจ้าสุนัขหลี่ลี่ เป็นช่างฝึกหัดร้านหนังสือเรา เมื่อคืนถูกคนบงการให้เผาห้องเก็บแม่พิมพ์ ถูกจับได้ยังคิดฆ่าคนปิดปาก…”
พอทุกคนได้ยินก็พากันด่าทอ
ปกติป้องกันไฟกันแทบแย่ ถึงกับคิดวางเพลิง หากเพลิงลุกขึ้นมาคุมไว้ไม่ได้เผาแถบนี้วอดวายไปหมดจะทำอย่างไร
ผู้คนยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหตามด่าหลี่ลี่ไปถึงที่ทำการทางการ ยังปาผักเน่าใส่เขาไม่น้อย
ในร้านหนังสือชิงซง ซินโย่วเรียกช่างพิมพ์มารวมกัน เอ่ยปลอบใจน้ำเสียงอ่อนโยน “ทุกคนไม่ต้องกลัว วันหน้ามีคนร้ายเช่นนี้อีก ก็จับส่งทางการให้หมด”
ทุกคน “…” ไม่ได้รับการปลอบประโลมใจแต่อย่างใด
รอจนไม่มีคนอยู่แล้ว ผู้ดูแลร้านหูก็เข้าไปคำนับซินโย่ว “ท่านเจ้าของร้านสติปัญญาล้ำเลิศ ทำเช่นนี้ หากมีคนคิดทำชั่วอีกก็ต้องไตร่ตรองให้มากหน่อย”
จงใจวางเพลิงเป็นความผิดหนัก สถานเบาก็โบยจับเข้าคุก สถานหนักก็เนรเทศประหารชีวิต สรุปหลี่ลี่ต้องรับโทษไม่น้อย
“เพียงแต่คนบงการหลี่ลี่ผู้นั้น ทางการอาจไม่ตั้งใจสืบหาตัว” ผู้ดูแลร้านหูกลัวว่าซินโย่วตั้งความหวังไว้มากเกินไปจึงเอ่ยเตือน
อย่าว่าแต่เป็นเพียงแค่ไฟที่ยังไม่ลุก แม้เด็กหายไปหรือคดีฆ่ากันตายพวกนั้นส่วนใหญ่ก็ล้วนปล่อยทิ้งไปอย่างนั้น
“สืบหาตัวได้ก็ดี หากไม่ได้ก็ไม่เป็นไร วันหน้าพวกเราก็ระวังตัวกันให้มากหน่อยก็พอ” ซินโย่วปล่อยวางในเรื่องนี้อย่างมาก
ผู้ดูแลร้านหูพลันหรี่เสียงเบาลง “ท่านเจ้าของร้าน ข้าน้อยมีการคาดเดาหนึ่ง แต่ไร้หลักฐาน…”
“ท่านคิดอันใดก็พูดออกมาได้”
“ข้าน้อยรู้สึกว่าร้านหนังสือตรงข้ามบงการ”
“ร้านหนังสือหย่าซิน?”
ผู้ดูแลร้านหูพยักหน้า “เดิมเจ้าของร้านหนังสือหย่าซินกับท่านผู้เฒ่าร้านหนังสือเราก็มีความแค้นกันมาก่อน ร้านหนังสือหย่าซินก็เป็นร้านที่หลายปีก่อนพวกเขาตั้งใจมาเปิดตรงข้ามร้านเรา น่าเสียดายท่านผู้เฒ่าสุขภาพไม่ดี คุณชายก็ไม่มีใจคิดทำการค้า ไม่นานก็ถูกอีกฝ่ายข่มไว้จนโงศีรษะไม่ขึ้น ตอนนี้ร้านหนังสือเราเปลี่ยนเจ้าของร้านใหม่ ข่าวซื้อนิยายห้าร้อยตำลึงแพร่ไปทั่วเมืองหลวง แม้แต่การค้าก็ยังดีขึ้นมาก เป็นไปได้มากว่าอีกฝ่ายจะคิดตัดไฟแต่ต้นลมร้านหนังสือเราก่อน”
“ข้าทราบแล้ว ก็เหมือนที่ผู้ดูแลร้านว่า ไม่มีหลักฐาน พวกเราไม่อาจทำอันใดได้ ดูแลกิจการร้านหนังสือชิงซงให้ดีจึงจะเป็นโต้ตอบกลับที่ดีที่สุด”
ผู้ดูแลร้านหูเองก็คิดเช่นกัน แต่หลายวันผ่านไป คนที่มาขายนิยายที่ร้านหนังสือก็ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด สาเหตุก็เพราะบัณฑิตผู้นั้นโพนทะนาไปทั่ว
ผู้ดูแลร้านหูถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม รองเจ้ากรมต้วนได้ยินสถานการณ์ร้านหนังสือก็เอ่ยความเห็นว่า “ท่านแม่ ข้าก็บอกแล้วว่าไม่อาจปล่อยชิงชิงให้เหลวไหล”
“พรุ่งนี้เป็นวันหยุดทุกสิบวันที่ชิงชิงจะกลับบ้าน ถึงตอนนั้นข้าจะลองถามนางดู”
พริบตาก็วันที่ยี่สิบเดือนหก ซินโย่วเพิ่งมาด้านหน้าร้านหนังสือ ต้วนอวิ๋นหลางก็เข้ามา
“น้องชิง กลับบ้านกัน”