สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 48 ขอเงิน
ตอนที่ 48 ขอเงิน
พอต้วนอวิ๋นหลางเข้ามา ซินโย่วก็มองไปที่ประตูตามสัญชาตญาณ
ต้วนอวิ๋นหลางความรู้สึกไวมาก “พี่ใหญ่บอกว่าจะทบทวนตำราอีกสักครู่ พวกเราไม่ต้องไปสนใจเขา กลับกันก่อน”
“เจ้าค่ะ”
เห็นซินโย่วตอบตกลง ต้วนอวิ๋นหลางก็คลายกังวล ระหว่างทางกลับก็ทอดถอนใจเอ่ยว่า “น้องชิง ข้าได้ยินมาว่าหลายวันก่อนถึงกับมีคนวางเพลิง เปิดร้านหนังสือยากเพียงนี้เชียวหรือ!”
ซินโย่วเลิกม่านหน้าต่างขึ้น ยิ้มเอ่ยกับหนุ่มน้อยที่ขี่ม้าอยู่ข้างๆ “เรียนหนังสือก็ยากมากนะ”
ต้วนอวิ๋นหลางได้ยินเช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วทันที คิดถึงการสอบประจำเดือนที่กำลังจะมาถึงก็ถอนหายใจ
“คุณชายรองกับคุณหนูนอกกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” พอเสียงรายงานดัง ทั้งสองคนก็เดินเข้ามาในเรือนหรูอี้ถังแล้ว
นายหญิงผู้เฒ่าเห็นหลานสาวกับหลานชายกลับมาด้วยกัน สีหน้าก็ยิ้มแย้ม คำพูดที่คิดไว้ว่าจะพูดเดิมนั้นก็เก็บไว้ก่อน
“ชิงชิง มานั่งข้างยาย”
ซินโย่วอมยิ้มเดินไปนั่งลงข้างนายหญิงผู้เฒ่า มองไม่ออกว่าหลายวันก่อนสองยายหลานมีเรื่องกันมาก่อน
“อยู่ข้างนอกคนเดียวกินอยู่ชินแล้วหรือยัง”
“ทำให้ท่านยายเป็นห่วงแล้ว ทุกอย่างดีมากเจ้าค่ะ”
ถามไถ่กันไปมาเสร็จ ซินโย่วก็ไปคำนับนายหญิงบ้านสองจูซื่อ ก่อนจะกลับเรือนหว่านฉิง
เรือนหว่านฉิงเงียบสงัด เห็นอยู่ว่าจากไปเพียงไม่นาน แต่กลับรู้สึกได้ถึงความเงียบเหงาเช่นนี้ได้
ความรู้สึกนี้ถูกเสียงตะโกนเรียกของเสี่ยวเหลียนขัดขึ้น “คุณหนูกลับมาแล้ว”
หวางมามากับหลี่หมัวมัวสองบ่าวรีบก้าวออกมา คำนับซินโย่วพร้อมกัน “คุณหนู”
เสี่ยวเหลียนงุนงง “หานเสวี่ยล่ะ”
หวางมามาตอบด้วยท่าทีระมัดระวัง “สองวันก่อนหานเสวี่ยถูกส่งไปเรือนนายหญิงผู้เฒ่า”
“โอ๊ะ โชคดีแล้ว เข้าตานายหญิงผู้เฒ่า”
ได้ยินน้ำเสียงเสียดสีของเสี่ยวเหลียน หวางมามาก็ไม่เอ่ยอันใด
“ได้ยินว่ามารดานางไปขอร้องพ่อบ้านหยางที่ดูแลเรื่องโยกย้าย” ครั้งนี้คนที่เอ่ยคือหลี่หมัวมัว
ซินโย่วอดมองหลี่หมัวมัวไม่ได้ นางยังจำภาพมือที่บีบลำคอเสี่ยวเหลียนคู่นั้นได้ หลี่หมัวมัวผู้นี้ก็คือคนของเฉียวซื่อ พอเฉียวซื่อถูกเขียนหนังสือหย่า อิทธิพลเฉียวซื่อในจวนรองเจ้ากรมก็หมดสิ้น หลี่หมัวมัวที่ถูกทิ้งไว้ที่เรือนหว่านฉิงก็ยิ่งเป็นการดำรงอยู่ที่ไม่สะดุดตาผู้ใด
หลี่หมัวมัวตอบเช่นนี้ ทำให้ซินโย่วรู้สึกว่าน่าสนใจ เดิมคนที่คิดทำร้ายเสี่ยวเหลียน กลับส่งสัญญาณมาอยู่ฝ่ายนาง การเลือกของคนเราเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ
เสี่ยวเหลียนได้ยินก็เบ้ปาก “มีความสามารถแท้…”
“คนเราก็ต้องก้าวไปข้างหน้า” ซินโย่วเอ่ยเสียงเรียบ ก้าวเข้าไปในห้อง
เสี่ยวเหลียนไม่ได้ตามเข้าไป แต่หยิบกุญแจไปเปิดห้องเก็บสมบัติตรวจนับของสักหน่อย
ของที่ทิ้งไว้ที่นี่มีค่าไม่น้อย วันหน้ากลับมาครั้งหนึ่งก็ต้องตรวจนับครั้งหนึ่ง จะได้ไม่ทำให้คนจับจ้องหมายปอง
ใกล้เที่ยงแล้ว เรือนหรูอี้ถังมาแจ้งว่าอาหารเที่ยงจะจัดที่เรือนหรูอี้ถัง
ซินโย่วเก็บของก่อนออกไป ระหว่างทางได้พบกับคุณหนูสามต้วนอวิ๋นหลิงที่เห็นชัดว่ากำลังรอนางอยู่
“พี่ชิง หลายวันนี้อยู่ร้านหนังสือเป็นอย่างไรบ้าง”
“ประสบปัญหายุ่งยากเล็กน้อย แต่แก้ไขได้แล้ว”
ต้วนอวิ๋นหลิงสีหน้าละอายใจ “เดิมข้าคิดไปหาพี่ชิง แต่ท่านย่าบอกว่าพี่หว่านกับพี่หวาไม่ได้ความแล้ว ให้ข้าอยู่ในกรอบ ออกจากบ้านให้น้อยหน่อย”
เอ่ยถึงต้วนอวิ๋นหวา ต้วนอวิ๋นหลิงก็กะพริบตาปริบๆ เอ่ยน้ำเสียงเบายิ่งว่า “ตั้งแต่พี่หวาถูกลงโทษคุกเข่าในศาลบรรพชน ท่านย่าก็ไม่ให้นางออกจากเรือน วันนี้พี่ชิงน่าจะไม่ได้พบนาง”
ซินโย่วไม่สนใจเรื่องที่จะไม่ได้พบกับต้วนอวิ๋นหวาแม้แต่น้อย น้องหลิงคุยไปเรื่อยๆ จนถึงเรือนหรูอี้ถัง
อาหารเที่ยงจัดที่ห้องโถง นายหญิงผู้เฒ่า รองเจ้ากรมต้วน จูซื่อแม่ลูก ต้วนอวิ๋นเฉินและต้วนอวิ๋นหลางสองพี่น้อง อีกสองคนก็คือซินโย่วกับต้วนอวิ๋นหลิง ล้วนมากันพร้อมหน้า นายท่านรองต้วนเหวินไป่วันนี้ติดธุระไม่อยู่จวน
ตอนกินอาหารกันทุกคนต่างไม่ได้เอ่ยอันใด หลังอาหารจิบน้ำชา นายหญิงผู้เฒ่าก็เริ่มซักถาม
“เฉินเอ๋อร์ หลางเอ๋อร์ หลายวันนี้การเรียนเป็นอย่างไรบ้าง”
ต้วนอวิ๋นเฉินสีหน้าเรียบเฉย “ทำให้ท่านย่าเป็นห่วงแล้ว การเรียนพอใช้ได้ขอรับ”
ต้วนอวิ๋นหลางกลับกินปูนร้อนท้อง ยิ้มเฝื่อนอ้ำอึ้งว่าพอใช้ได้เหมือนกัน
นายหญิงผู้เฒ่าหรี่ตามองเขา “ทุกครั้งล้วนบอกว่าพอใช้ได้เหมือนกับพี่ใหญ่เจ้า แต่ตอนผลการเรียนออกมาทุกครั้งกลับทำเอามองตาค้าง”
ต้วนอวิ๋นหลางรีบซดน้ำชาไม่เอ่ยอันใดอีก
จากความเข้าใจเขาที่มีต่อท่านย่า ยิ่งพูดยิ่งโดนอบรม หุบปากไว้ดีที่สุด
นายหญิงผู้เฒ่าไม่ได้สนใจต้วนอวิ๋นหลางมากนัก ส่งสายตาไปที่ซินโย่ว “ชิงชิง ยายได้ยินมาว่ามีคนวางเพลิงร้านหนังสือหรือ”
ซินโย่ววางจอกชาลง “มีเรื่องเช่นนี้จริงเจ้าค่ะ นำตัวส่งทางการแล้ว แต่ยังหาตัวคนบงการไม่ได้”
“เคยบอกไว้แล้วว่าทำการค้าร้านหนังสือไม่ง่าย งานในงานนอกล้วนต้องทุ่มเทจิตใจอย่างมาก”
ซินโย่วก้มหน้าลงเล็กน้อย แสดงท่าทางเชื่อฟังอยู่มาก “ตอนนี้ชิงชิงทราบแล้วเจ้าค่ะ”
นายหญิงผู้เฒ่ามุมปากยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “การค้าร้านหนังสือเป็นอย่างไรบ้าง”
“เงียบเหงามากเจ้าค่ะ”
“ก็บอกแล้วว่า…”
ไม่ทันรอให้นายหญิงผู้เฒ่ากล่อมให้นางยอมกลับจวนรองเจ้ากรมแต่โดยดี ซินโย่วก็พลันขอบตาแดงก่ำเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ชิงชิงคิดง่ายเกินไป คิดว่าร้านหนังสือใหญ่เพียงนี้ อย่างไรก็คงได้เงินค่าขนมบ้าง ไม่คิดว่าถึงกับขาดทุน แค่เพียงไม่กี่วันก็นำเงินที่สะสมมาถมลงไปจนหมด ท่านยายให้เงินข้าอีกหน่อยนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นร้านหนังสือที่เพิ่งรับช่วงต่อมาก็คงต้องปิดร้านเป็นแน่”
รอยยิ้มมุมปากนายหญิงผู้เฒ่าค้างเติ่งทันที
รองเจ้ากรมต้วนวางจอกชาลง ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ชิงชิง ท่านยายเจ้ากล่าวได้ถูกต้อง ทำการค้าร้านหนังสือไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าเป็นแค่คุณหนูรับมือไม่ไหว ก็กลับบ้านมา…”
ซินโย่วเม้มริมฝีปากท่าทางอัดอั้นกล้ำกลืน “ทำการค้าร้านหนังสือไม่ง่ายก็จริง แต่เริ่มแรกชิงชิงก็มิได้มีเงินทำกิจการร้านหนังสือ ท่านยายให้แค่เงินข้ามาซื้อร้านหนังสือเท่านั้น”
ต้วนอวิ๋นหลางตกใจ “น้องชิง เจ้าไม่มีเงินหมุนเวียนทำการค้าหรือ”
รองเจ้ากรมต้วนเดิมถูกคำพูดซินโย่วทำเอาพูดไม่ออก พอได้ยินหลานชายพูดเช่นนี้อีกก็ยิ่งโมโห
เจ้างั่ง!
“ทำแม่พิมพ์ ซื้อนิยาย เงินเดือนช่างพิมพ์ ค่าใช้จ่ายต่างๆ…แต่ละอย่างล้วนต้องใช้เงิน” ซินโย่วคำนวณแล้วก็มองนายหญิงผู้เฒ่าตาปริบๆ “ชิงชิงได้ประสบการณ์แล้ว จึงได้รู้ว่าไม่เพียงแต่ต้องมีเงินซื้อร้าน ทำการค้ายังต้องการเงินลงทุนด้วย”
คนที่นั่งล้อมรอบโต๊ะต่างมองไปทางนายหญิงผู้เฒ่า
ในที่นั้นยังมีรุ่นหลานอยู่หลายคน นายหญิงผู้เฒ่าอย่างไรก็รักหน้าตา แอบสูดลมหายใจเฮือกหนึ่งก่อนเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ต้องการใช้เงินเท่าไร”
“ข้าคิดแล้ว ห้าพันตำลึงก็คงพอเจ้าค่ะ”
นายหญิงผู้เฒ่ามือไม้อ่อน ควบคุมสีหน้าไม่ได้อีกต่อไป “ชิงชิง เจ้าอายุน้อยๆ ไม่เคยนับเงินทอง แต่ก็ควรรู้ว่าห้าพันตำลึงเป็นเงินทองก้อนโตเพียงใดไหม”
“ชิงชิงทราบเจ้าค่ะ แต่ก็จ่ายสองหมื่นตำลึงซื้อร้านหนังสือไปแล้ว หากเพราะไม่มีเงินหมุนเวียน ไม่กี่วันก็ปิดร้าน จะน่าเสียดายเพียงใด คิดแล้วก็ทำใจยอมรับไม่ได้”
ได้ยินว่า ‘ทำใจยอมรับไม่ได้’ ขมับนายหญิงผู้เฒ่าก็เต้นตุบๆ พยายามฝืนความอัดอั้นตันใจ “ให้เจ้าสองพันตำลึง หากทำการค้าต่อไปไม่ไหว ก็ปิดร้านหนังสือกลับบ้านเรา”
ซินโย่วยิ้มเอ่ยว่า “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านยาย”
ระหว่างทางกลับร้านหนังสือ เสี่ยวเหลียนมองซินโย่วด้วยสายตาเลื่อมใสเต็มเปี่ยม “คุณหนู ท่านร้ายกาจมาก กลับไปกินข้าวที่จวนรองเจ้ากรมมื้อหนึ่งก็ยึดกลับคืนมาได้สองพันตำลึง!”