สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 52 นัดพบ
ตอนที่ 52 นัดพบ
ซินโย่วอ่านคำให้การ คนสารภาพก็คือสารถีของเฉียวรั่วจู๋
“ก็หมายความว่า สารถีแอบสารภาพ ตระกูลเฉียวยังไม่มีคนรู้?”
เฮ่อชิงเซียวยิ้มกล่าวว่า “เขาน่าจะไม่โง่พอจะเดินไปสารภาพด้วยตนเองกระมัง”
“ข้าทราบแล้ว ขอบคุณใต้เท้าเฮ่อเจ้าค่ะ”
“คุณหนูโค่วไม่ต้องเกรงใจ” เฮ่อชิงเซียวชะงักไปครู่หนึ่ง ริมฝีปากเผยรอยยิ้มจริงใจขึ้นมาหลายส่วน “หวังว่ากิจการร้านหนังสือของคุณหนูโค่วจะยิ่งเจริญรุ่งเรือง”
ซินโย่วยิ้ม “จะไม่ทำให้ใต้เท้าเฮ่อผิดหวังเจ้าค่ะ”
อาจเพราะสีหน้ามั่นใจของสาวน้อย เฮ่อชิงเซียวถึงกับเหม่อจ้องมองอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะตั้งสติเก็บสีหน้าสงบนิ่งออกจากร้านหนังสือไป
“เสี่ยวเหลียน คุณหนูเฉียวเป็นคนอย่างไร”
“คุณหนูเฉียวหรือเจ้าคะ ปากหวานช่างเจรจา และก็ร่าเริง” เสี่ยวเหลียนเอ่ยถึงเฉียวรั่วจู๋ สีหน้าก็ฉายแววโมโห “คิดไม่ถึงว่านางถึงกับเป็นคนเช่นนี้ เป็นหลานสาวเฉียวไท่ไทจริงๆ!”
“ร้านหนังสือเปิดต่อไปไม่ได้ มีประโยชน์อันใดต่อนาง”
เสี่ยวเหลียนครุ่นคิด เข้าใจเฉียวรั่วจู๋ต่างจากซินโย่วสิ้นเชิง คาดเดาว่า “บ่าวว่า นางเห็นคุณหนูซื้อร้านหนังสือที่อยู่ใกล้สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน คิดว่าท่านจะอาศัยระยะทางใกล้ไขว่คว้าจันทรามาครองได้ก่อน จะได้ใกล้ชิดกับคุณชายใหญ่เจ้าค่ะ”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” ซินโย่วเข้าใจกระจ่าง
เสี่ยวเหลียนกะพริบตา “คุณหนู เหตุใดใต้เท้าเฮ่อจึงช่วยเหลือท่าน”
ซินโย่วตั้งใจคิดแล้วก็เอ่ยว่า “อาจเพราะอยากจะมีสถานที่อ่านหนังสือต่อไปกระมัง”
เสี่ยวเหลียน “…” เห็นชัดว่าคิดสนทนากับคุณหนู แต่เหตุผลที่คุณหนูกล่าวมาก็ช่างสมเหตุสมผลยิ่ง!
“ไปช่วยข้านัดพบคุณหนูเฉียวที่ร้านน้ำชาละแวกร้านหนังสือหน่อย”
“คุณหนูต้องการพบนาง?” เสี่ยวเหลียนตกใจ
ซินโย่วลูบแขนเสื้อ ในแขนเสื้อมีคำให้การที่เฮ่อชิงเซียวให้นางไว้ “มีบางคนลงมือพลาดรู้จักถอย แต่มีบางคนลงมือพลาดจะยิ่งคิดป้องกันทำให้เรื่องราวยุ่งยากโดยไม่จำเป็น ไปคุยให้กระจ่างดีกว่า ช่วยข้านัดพบคุณหนูเฉียวก็แล้วกัน”
เสี่ยวเหลียนรับคำสั่งออกไป
เฉียวรั่วจู๋ได้รับเทียบเชิญจากสาวใช้ก็รู้สึกประหลาดใจ
โค่วชิงชิงถึงกับนัดพบนางที่ร้านน้ำชา
เมื่อก่อนนางเคยไปพักที่จวนรองเจ้ากรมบ้างเป็นบางครั้ง แม้เคยได้พูดคุยกับโค่วชิงชิง แต่ก็มิได้สนทนาคุยเล่นกัน ยามนี้โค่วชิงชิงนัดพบนางด้วยเหตุใดกัน
คงมิใช่เห็นว่านางไม่อาจออกเรือนกับพี่ใหญ่ได้แล้ว จึงได้ตั้งใจมาเยาะเย้ยนางกระมัง
เฉียวรั่วจู๋ไม่ได้คิดว่าจะมีคนล่วงรู้เรื่องที่บงการหลี่ลี่วางเพลิง ในความคิดนางแม้หลี่ลี่ถูกจับ ให้การอย่างไรก็สืบสาวมาไม่ถึงสาวใช้ที่แต่งกายเป็นชายกระมัง
“คุณหนู บ่าวว่าคุณหนูโค่วไม่ได้มาดี ท่านอย่าไปสนใจดีกว่าเจ้าค่ะ”
“ไม่ ข้าอยากดูว่านางคิดทำอันใด”
แม้ว่าเรื่องซินโย่วเปิดร้านหนังสือทำให้คนไม่น้อยรู้สึกว่าคุณหนูนอกจวนรองเจ้ากรมผู้นี้ไม่ดำรงตนอยู่ในกรอบธรรมเนียมนัก แต่ในความคิดของเฉียวรั่วจู๋ อีกฝ่ายยังคงเป็นหญิงสาวขี้กลัวไร้สง่าราศีในแบบคุณหนูตระกูลใหญ่คนเดิม
โค่วชิงชิงที่เป็นเช่นนี้ ทำให้ในใจนางก็รู้สึกเหนือกว่า
ยามทั้งสองคนพบหน้ากันก็ใกล้พลบค่ำแล้ว
กลิ่นน้ำชาหอมกรุ่น ห้องรับรองเงียบสงบ เฉียวรั่วจู๋มองประเมินซินโย่ว เอ่ยขึ้นก่อนว่า “ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าคุณหนูโค่วสูญเสียความทรงจำ คิดไปเยี่ยมมาตลอด ไม่คาดว่าต่อมาก็เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ความทรงจำคุณหนูโค่วฟื้นคืนแล้วหรือ จึงได้นึกถึงข้าได้”
ซินโย่วถือจอกน้ำชาเอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ความทรงจำเกี่ยวกับคุณหนูเฉียวยังไม่ฟื้นคืนมา”
“คุณหนูโค่ว วันนี้นัดพบข้าด้วยเรื่องอันใด” เฉียวรั่วจู๋เอ่ยขึ้นอย่างไม่เกรงใจ
ตระกูลต้วนและตระกูลเฉียวกลายเป็นเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องรักษาท่าทีดังพี่น้องอีก
ซินโย่วหลุบตาลงจิบน้ำชาไปคำหนึ่ง ถามขึ้นอย่างไม่รีบร้อนว่า “หลายวันก่อน ร้านหนังสือข้ามีช่างพิมพ์คนหนึ่งชื่อหลี่ลี่ลงมือวางเพลิงเพราะเลอะเลือนไปชั่วขณะ จึงได้ถูกจับส่งทางการ คุณหนูเฉียวได้ยินมาบ้างหรือไม่”
ม่านตาเฉียวรั่วจู๋หดเกร็ง ร่างกายพลันแข็งทื่อ เอ่ยว่า “ข้าก็ไม่ได้เหมือนคุณหนูโค่วออกมาเปิดร้านหนังสือ วันทั้งวันอยู่แต่ในจวน ไหนเลยจะได้ยินเรื่องเหล่านี้ได้”
“วันทั้งวันอยู่แต่ในจวน?” ซินโย่ววางมือบนโต๊ะพลางเคาะเบาๆ สองทีด้วยท่าทีไม่สนใจสักเท่าไร “แต่มีคนเห็นคุณหนูเฉียวมักปรากฏตัวแถวร้านหนังสือข้า”
เฉียวรั่วจู๋ผุดลุกขึ้นยืนทันที “เจ้าฟังผู้ใดพูดมา”
ซินโย่วยิ้มบางไม่ตอบอันใด
เฉียวรั่วจู๋กลับลงนั่งดังเดิม โน้มตัวมาทางด้านหน้าเล็กน้อยพลางจ้องมองซินโย่วเขม็ง “วันนี้เจ้านัดข้ามา แท้จริงต้องการอันใด”
“ข้าอยากเตือนคุณหนูเฉียวสักคำ”
“เตือนอันใด”
“ถือโอกาสที่ยังไม่ได้ก้าวไปถึงขั้นเฉียวไท่ไทจนไม่อาจย้อนกลับ คุณหนูเฉียววางมือเถอะ”
เฉียวรั่วจู๋สีหน้าแปรเปลี่ยน “เจ้ากำลังเอ่ยอันใด ข้าฟังไม่เข้าใจ!”
ซินโย่วเห็นสาวน้อยปากแข็งไม่ยอมรับ ในใจก็ทอดถอนใจ น้ำเสียงกลับอ่อนโยนลง “ไม่ว่าคุณหนูเฉียวยอมรับหรือไม่ อย่างไรข้าก็รู้ว่าผู้บงการหลี่ลี่วางเพลิงคือผู้ใด ดีที่วางเพลิงไม่สำเร็จ ไม่ทำให้ข้าเสียหายอันใด ครั้งนี้ข้าเองก็ไม่คิดเอาเรื่องถึงที่สุด แต่หากมีครั้งหน้าอีก ข้าก็จะไม่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นนี้อีก…”
เฉียวรั่วจู๋ได้ยินคำพูดซินโย่วก็มีสีหน้าตกใจ หวาดกลัวและโมโห สุดท้ายถามขึ้นอย่างนึกสงสัย “ในเมื่อเจ้าแน่ใจว่าเป็นข้า เหตุใดยังมาบอกข้าเช่นนี้”
“เพราะข้ารู้สึกว่า ความแค้นนี้ไร้ราคาอย่างยิ่ง เฉียวไท่ไทมีใจคิดฆ่าข้า เพราะเหตุนี้จึงถูกเขียนหนังสือหย่า อย่าว่าแต่ข้าสูญเสียความทรงจำ หากเอ่ยถึงความผูกพันแล้ว พี่ใหญ่สำหรับข้าก็คือคนแปลกหน้า แม้มีใจต่อเขา ข้าก็ไม่ทางคิดร่วมชีวิตกับบุตรชายของผู้ที่คิดเอาชีวิตของข้าอย่างเด็ดขาด”
เอ่ยถึงตรงนี้ ซินโย่วก็จ้องมองเฉียวรั่วจู๋ลุ่มลึก เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ “ก็เหมือนดังที่ท่านอาของคุณหนูเฉียวถูกเขียนหนังสือหย่า ก็เท่ากับเจ้าได้ตัดวาสนาขาดกับพี่ใหญ่แล้ว เจ้าและข้าล้วนไม่อาจข้องเกี่ยวกับ ต้วนอวิ๋นเฉินได้อีก แล้วไยต้องมาแก่งแย่งกัน ทำเรื่องราวฉาวโฉ่เช่นนี้เพื่อชายที่ถูกกำหนดให้เป็นสามีของหญิงอื่นกันเล่า”
เฉียวรั่วจู๋พลันพูดไม่ออก อึ้งจ้องมองสาวน้อยท่าทางสงบนิ่งตรงหน้า
“กล่าวเพียงเท่านี้ คุณหนูเฉียวไตร่ตรองให้ดี” ซินโย่ววางจอกชาลง ลุกขึ้นเดินออกจากห้องรับรอง
สาวใช้ด้านนอกรอนานก็ไม่เห็นคุณหนูตนเองออกมา ได้แต่ผลักประตูเบาๆ เข้าไป เห็นเฉียวรั่วจู๋ยังนั่งอยู่ราวกับไร้จิตวิญญาณ
“คุณหนู…”
เฉียวรั่วจู๋ค่อยๆ มองมา มือเย็นเฉียบคว้าข้อมือสาวใช้ไว้เต็มแรง แต่กลับดังไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
“กลับกันเถอะ”
สาวใช้เห็นเฉียวรั่วจู๋เป็นเช่นนี้ก็ไม่กล้าเอ่ยอันใดมาก ประคองนางออกจากร้านน้ำชาไป
ฟ้ายังคงไม่มืด เมฆบนขอบฟ้ายังคงสีสันงดงามอย่างมาก
เฉียวรั่วจู๋เดินตัวลอยไร้ความรู้สึก ก้าวเดินไปยังรถม้าที่จอดอยู่ริมทาง
“น้องจู๋?” น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นด้านหลัง
เฉียวรั่วจู๋พลันสะดุ้ง จะหันกลับไป แต่คำพูดของซินโย่วเหล่านั้นก็ราวกับก้องอยู่ข้างหู
“…เจ้าและข้าล้วนไม่อาจข้องเกี่ยวกับต้วนอวิ๋นเฉินได้อีก…”
นางปาดน้ำตามุดเข้ารถม้าราวกับวิ่งหนีสุดชีวิต
นี่เป็นครั้งแรกที่ต้วนอวิ๋นเฉินได้พบกับเฉียวรั่วจู่หลังจากเฉียวซื่อถูกเขียนหนังสือหย่า เดิมเขายังลังเลว่าควรเอ่ยอันใด แต่พอเห็นเฉียวรั่วจู๋ไม่เหลียวหลังหันกลับมา รีบขึ้นรถม้าไปทันที ก็อดลืมธรรมเนียมไม่ได้ ไล่ตามไปด้วยสัญชาตญาณ
“น้องจู๋…”
เห็นเฉียวรั่วจู๋ขึ้นรถม้าไปแล้ว ต้วนอวิ๋นเฉินได้แต่ถามสาวใช้ “เหลียนซย่า คุณหนูเจ้าเป็นอันใดไปหรือ”
สาวใช้ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นในห้องรับรอง สีหน้าตกใจและลังเล “คุณหนูโค่วนัดพบคุณหนูเรา ก็ไม่รู้เอ่ยอันใด…”
ในรถมีเสียงเฉียวรั่วจู๋ดังออกมา “ไปได้แล้ว!”
ต้วนอวิ๋นเฉินยังไม่ทันได้สอบถามละเอียด รถม้าก็แล่นออกไปไกลแล้ว