สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 6 พี่ชายลูกพี่ลูกน้อง
ตอนที่ 6 พี่ชายลูกพี่ลูกน้อง
เสี่ยวเหลียนไม่ได้โง่ เพียงแต่ตอนติดตามคุณหนูตนเข้าเมืองหลวงมาอายุน้อยเกินไป บางเรื่องไม่มีคนชี้แนะก็ไม่ทันคิด แต่พอตอนนี้ซินโย่วเอ่ยเช่นนี้ ก็ราวกับแทงทะลุกระดาษปิดหน้าประตูขาด ทำให้นางได้มองเห็นโฉมหน้าหนึ่งที่ไม่น่ามองของจวนรองเจ้ากรมที่แลดูดำรงอยู่กันอย่างอบอุ่นและสามัคคี
ยามนี้สีหน้านางพลันซีดขาว สายตาส่องประกายน่ากลัว เพราะไฟโทสะทอประกายขึ้น เอ่ยว่า “ท่านจะบอกว่า สมบัติเหล่านั้น…สมบัติเหล่านั้น…”
“ความจริงเป็นอย่างไรก็ยังไม่อาจสรุปได้ เพียงแต่ตอนนี้เราแน่ใจได้ว่ามีคนวางแผนทำร้ายคุณหนูโค่ว ข้าจึงได้คาดเดาไปในทางที่เลวร้ายที่สุดเท่านั้น”
“ต้องมุ่งหมายต่อทรัพย์สมบัติคุณหนูเป็นแน่!” เสี่ยวเหลียนขอบตาแดงก่ำ อารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมา “คุณหนูเข้าเมืองหลวงมาสามปี ไม่เคยย่างกรายออกนอกประตู หนึ่งปีมานี้ หลังไว้ทุกข์นายท่านกับนายหญิงครบปี จึงได้ออกจากบ้างสองสามครั้ง ปกติอยู่ในจวนก็ไม่พูดมากอันใด ไม่หาเรื่องใส่ตัว มีเหตุขัดแย้งกับคุณหนูรองแค่สองครั้ง…”
“มีเหตุขัดแย้งกับคุณหนูรอง?” ซินโย่วเลิกคิ้วมองเสี่ยวเหลียน
ก่อนหน้านี้ตอนเสี่ยวเหลียนเอ่ยถึงคุณหนูรองไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้
เสี่ยวเหลียนเผยสีหน้าเก้กังอยู่บ้าง น้ำเสียงแผ่วลงไปเล็กน้อย “ก็ไม่นับว่าขัดแย้งอันใด คุณหนูรองหาเรื่องคุณหนู แต่คุณหนูไม่ได้ตอบโต้กลับ”
“เล่ามาให้ละเอียด”
“หน้าหนาวปีที่แล้ว คุณหนูทำแถบผ้ารัดศีรษะให้กับนายหญิงผู้เฒ่าเส้นหนึ่ง นายหญิงผู้เฒ่าดีใจมาก บอกว่าจะให้คุณหนูเป็นหลานสะใภ้ใหญ่ จะได้กระชับสัมพันธ์เครือญาติให้ยิ่งแน่นแฟ้น คุณหนูรองมาได้ยินคำพูดนี้เข้า ก็มาต่อว่าคุณหนูต่อหน้า บอกว่าอย่าได้หวังในสิ่งที่ไม่ควรหวัง บ่าวไม่ได้เอ่ยกับท่าน ก็เพราะรู้สึกว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงคุณชายใหญ่ ดูไม่ค่อยดีนัก…”
เสี่ยวเหลียนคิดถึงเรื่องคุณหนูถูกคุณหนูรองเอาเรื่องจนคืนนั้นซบหมอนร่ำไห้ ก็อดน้ำตาร่วงไม่ได้
ซินโย่วรอให้เสี่ยวเหลียนสงบลงแล้ว ก็ถามถึงแม่นมของโค่วชิงชิง “โรงบ้านที่ฟางหมัวมัวไปอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลกระมัง”
“ไม่ไกล นั่งรถม้าก็แค่ราวหนึ่งชั่วยาม”
“เช่นนั้นก็รอให้ฟางหมัวมัวมาก่อนก็แล้วกัน” ซินโย่วชี้ไปที่กล่องไม้ บอกให้เสี่ยวเหลียนนำไปเก็บ
ผู้ที่มาอยู่ในจวนรองเจ้ากรมพร้อมกับโค่วชิงชิงก็มีเพียงเสี่ยวเหลียนกับฟางหมัวมัวสองคน ฟางหมัวมัวน่าจะรู้เรื่องที่มารดานางจัดการเรื่องการแต่งงานของบุตรสาว ฟางหมัวมัวอยู่จวนรองเจ้ากรมไม่ถึงหนึ่งปีก็ทำความผิดถูกขับออกไป ตอนนี้ดูท่าแล้วไม่ค่อยชอบมาพากลนัก
เสี่ยวเหลียนมีสีหน้าตกใจ “ฟางหมัวมัวจะมาได้อย่างไร”
“หลังจากฟางหมัวมัวไป คุณหนูโค่วไม่เคยเอ่ยขอให้นางกลับมาหรือ”
แม้แต่เรื่องขัดแย้งระหว่างต้วนอวิ๋นหวากับโค่วชิงชิงก็เล่าแล้ว เสี่ยวเหลียนก็รู้สึกว่าไม่มีอันใดต้องปิดบังซินโย่วอีก “ไม่เคย คุณหนูเป็นคนรักหน้าตา รู้สึกว่าฟางหมัวมัวทำให้นางเสียหน้า แม้เห็นอยู่ว่าคิดถึงฟางหมัวมัวมาก แต่ทว่าแต่ไรมาไม่เคยเอ่ยถึงว่าต้องการให้ฟางหมัวมัวกลับมา”
ซินโย่วยิ้มกล่าวว่า “ข้าหน้าหนา ข้าต้องการให้ฟางหมัวมัวกลับมาก็แล้วกัน”
ได้ยินซินโย่วเน้นย้ำเช่นนี้ เสี่ยวเหลียนก็อดปิดปากตนเองไม่ได้
“เป็นอันใดไปหรือ”
“ท่านไม่เพียงแต่ชิมออกว่ายามีปัญหา แสร้งทำป่วยก็เป็น ท่านมีความสามารถมากจริงๆ” น้ำเสียงเสี่ยวเหลียนตระหนกตกใจอย่างมาก
ซินโย่ว “…” คำชมเหล่านี้ไม่เอ่ยดีกว่าไหม
หลังเที่ยงเมื่อพักผ่อนเสร็จ พอซินโย่วตื่นมาก็มองไปนอกหน้าต่าง ดูใบกล้วยเขียวสดเพราะฝนชะล้างฆ่าเวลา สาวใช้หานเสวี่ยก็มารายงานว่ามีคุณชายสองท่านมา
จวนรองเจ้ากรมมีคุณชายสองท่าน คุณชายใหญ่ต้วนอวิ๋นเฉิน เป็นบุตรชายของรองเจ้ากรมกับเฉียวซื่อ คุณชายรองต้วนอวิ๋นหลางเป็นบุตรชายของต้วนเหวินไป่กับจูซื่อ ทั้งสองคนเรียนหนังสืออยู่ที่สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน[1] มาเยี่ยมยามนี้ได้น่าจะขออนุญาตลามาเป็นการเฉพาะ
ต้วนอวิ๋นเฉิน…ซินโย่วเอ่ยชื่อนี้ขึ้นมาในใจ
คนที่ทำให้ต้วนอวิ๋นหวาพูดจาว่าร้ายคุณหนูโค่ว ควรพบหน้ากันให้เร็วหน่อยจริงๆ
หานเสวี่ยเปิดม่านประตูออก เด็กผู้ชายสองคนเดินเข้ามา ไม่สิ คนที่เดินนำหน้ามาน่าจะบอกได้ว่าเป็นชายหนุ่ม
“น้องชิง น้องดีขึ้นแล้วหรือยัง” คุณชายรองต้วนอวิ๋นหลางปีนี้อายุสิบหก มากกว่าโค่วชิงชิงไม่มากนัก รีบก้าวมาข้างเตียงกางขานั่งสง่างาม สองตากระจ่างใสประเมินมองซินโย่ว
“ดีขึ้นมากแล้ว พี่ๆ ตอนนี้ควรจะกำลังเรียนหนังสืออยู่กระมัง…”
ต้วนอวิ๋นหลางรีบโบกมือ “น้องชิงเกิดเหตุ พี่กับพี่ใหญ่ไหนเลยจะยังมีกะจิตกะใจเรียนหนังสือได้ พวกท่านพ่อไม่อยากให้พวกเรามาทำให้วุ่นวายเพิ่มขึ้น จึงไม่ยอมให้พวกเราไปตามหา…”
ต้วนอวิ๋นหลางเป็นคนพูดมาก ซินโย่วยิ้มฟัง แววตาเหลือบมองไปทางชายหนุ่มที่ยืนห่างออกไป
ต้วนอวิ๋นเฉินสวมชุดสีคราม สวมหมวกหรูจิน[2] เห็นชัดว่าแต่งกายคล้ายกับต้วนอวิ๋นหลาง แต่กลับมีราศีโดดเด่น แลดูเจ้าสำราญอยู่ไม่น้อย
นี่คือชายหนุ่มที่อาศัยเพียงแค่หน้าตาก็ดึงดูดหญิงสาวได้
ซินโย่วกำลังคิดเช่นนี้ สายตาก็อดไปหยุดที่ใบหน้าต้วนอวิ๋นเฉินนานอยู่สักหน่อยไม่ได้
“น้องชิงไม่เป็นไร พวกเราก็วางใจ เจ้ารักษาสุขภาพให้ดี อีกสองวันข้ากับน้องรองจะมาเยี่ยมเจ้าใหม่”
ต้วนอวิ๋นเฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนคิดจะเดินออกไป เมื่อครู่เสียงฝีเท้าด้านนอกฟังดูเร่งร้อนใจทำให้ซินโย่วรู้สึกได้ว่าเขากลับมาอย่างรีบร้อน
ได้ฟังเสี่ยวเหลียนสาธยายมา คุณหนูโค่วไม่ใช่เด็กสาวที่ทำให้ผู้อื่นรังเกียจ ต้วนอวิ๋นเฉินพยายามหลบเลี่ยงนางเช่นนี้ เกรงว่าเป็นเพราะเรื่องล้อเล่นที่ต้องการกระชับความสัมพันธ์เครือญาติให้ยิ่งแน่นแฟ้นของนายหญิงผู้เฒ่าเป็นแน่
เขาไม่ยินดีหมั้นหมายแต่งงานกับน้องสาวลูกพี่ลูกน้องผู้นี้
การแต่งงานนี้ ต้วนอวิ๋นหวาไม่ยินดี ต้วนอวิ๋นก็เฉินไม่ยินดี นายหญิงใหญ่เฉียวซื่อจะคิดอย่างไร
นึกถึงเสี่ยวเหลียนบอกว่าปกติเฉียวซื่อมีแต่ท่าทีเกรงใจกับโค่วชิงชิง คำตอบนี้ก็เดาไม่ยาก
ซินโย่วเอาแต่จ้องมองต้วนอวิ๋นเฉินนิ่งเงียบ เห็นชัดว่าทำให้เขาเข้าใจผิดเข้าแล้ว ชายหนุ่มท่าทางสุภาพอ่อนโยนคิ้วเข้ม เอ่ยน้ำเสียงเย็นเยียบเล็กน้อย “พี่กับน้องรองยังต้องกลับไปสำนักศึกษาอีก ไม่รบกวนน้องชิงพักผ่อนแล้ว”
เทียบกับต้วนอวิ๋นเฉินที่แทบจะหลบเลี่ยงแล้ว เห็นชัดว่าต้วนอวิ๋นหลางยังอยากอยู่ต่อ พอเดินไปถึงประตูก็วกกลับมา ชี้ไปที่สมองตนเองพลางถามขึ้นอย่างอยากรู้ว่า “น้องชิง เจ้าสูญเสียความทรงจำจริงหรือ”
“อืม”
“ก็ดี…”
“หืม?” ครั้งนี้คนที่ส่งเสียงก็คือเสี่ยวเหลียน สาวใช้ทำแก้มป่องเอ่ยตำหนิ “คุณชายรอง ท่านพูดจาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน หรือคิดว่าคุณหนูจำอันใดไม่ได้แล้ว เงินที่ติดค้างคุณหนูเราก็ไม่ต้องคืนแล้ว?”
ต้วนอวิ๋นหลางรีบมองไปที่ประตู ทำท่าปิดปากเสี่ยวเหลียน “เสี่ยวเหลียน ขอร้องล่ะ เบาหน่อยได้หรือไม่ หากให้พี่ใหญ่รู้ว่าข้ามายืมเงินน้องชิงไปซื้อนิยายมาอ่านคงแย่แน่ เจ้าออกไปรอที่ห้องส่วนนอกก่อน ข้ามีเรื่องพูดกับน้องชิง…”
เสี่ยวเหลียนเห็นซินโย่วพยักหน้าเล็กน้อย ปล่อยให้ต้วนอวิ๋นหลางผลักออกไปห้องส่วนนอก
“พี่หลางมีอันใดอยากพูดกับข้าหรือ” เผชิยหน้ากับชายหนุ่มที่วกกลับมานั่งลงบนเก้าอี้กลมใหม่อีกรอบ ซินโย่วก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
คุณชายรองผู้นี้ดูแล้วก็รู้สึกได้ว่านิสัยเหมือนเด็ก ไม่มีทางเกี่ยวข้องกับเหตุที่เกิดกับคุณหนูโค่ว อดทนคุยต่อไปสองสามคำ ไม่แน่อาจถามอะไรออกมาได้บ้าง
“น้องชิงไม่โมโหคำพูดเมื่อครู่ของพี่หรือ” ต้วนอวิ๋นหลางถามอย่างลังเล
ในใจเขากำลังคิด ผู้ใดจะรู้ว่าถึงกับหลุดปากออกไปได้
“พี่อวิ๋นหลางยินดีที่เห็นข้าสูญเสียความทรงจำหรือ” ซินโย่วเลิกคิ้วถามขึ้น “หากพี่อวิ๋นหลางบอกเหตุผลได้ ข้าก็ไม่โมโหแล้ว”
ต้วนอวิ๋นหลางสายตาวาบขึ้น ครู่หนึ่งจึงได้เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้น้องชิงเอาแต่เศร้าหมองด้วยเรื่องของท่านน้าและน้าเขยที่จากไป พี่รู้สึกว่าลืมเรื่องเศร้าเสียใจไปได้ก็ดี”
“เช่นนี้นี่เอง” ซินโย่วยิ้ม
หากไม่ใช่เมื่อครู่เหลือบเห็นท่าทางพยายามหาหนทางของต้วนอวิ๋นหลาง นางอาจจะเชื่อเข้าแล้ว
ต้วนอวิ๋นหลางคิดว่ากลบเกลื่อนผ่านไปได้แล้ว คุยเล่นต่ออีกสองสามคำ ก็แสร้งถามขึ้นเหมือนไม่ตั้งใจ “น้องชิงจำพี่กับพี่ใหญ่ไม่ได้แล้วหรือ”
ซินโย่วหลุบตาลง “จำไม่ได้แล้ว แต่การได้พบกับพี่รองวันนี้ไม่รู้สึกแปลกหน้า แต่กลับรู้สึกห่างเหินกับพี่ใหญ่…”
ต้วนอวิ๋นหลางสีหน้าไม่ผ่อนคลายลง “พี่ใหญ่ดำรงตนเคร่งขรึมจริงจัง น้องชิงรู้สึกเหินห่างก็เป็นเรื่องธรรมดา น้องชิง พี่ขอบอกกับน้องว่า อย่าเห็นว่าพี่ใหญ่ท่าทางอ่อนโยนอบอุ่น ความจริงยังนอนกรน ชอบแคะเท้า สิบกว่าวันไม่อาบน้ำ…”
เสี่ยวเหลียนหูผึ่งฟังอยู่อีกด้านหนึ่งของม่านประตู ตาโตอ้าปากค้าง
[1] สถาบันการศึกษาระดับชาติในสมัยโบราณ
[2] หมวกสี่เหลี่ยมทรงแข็ง ที่เหล่าขุนนางและบัณฑิตสมัยหนึ่งนิยมสวมใส่ พร้อมกับสวมเสื้อย้อมสีคราม