สุดยอดชาวประมง - บทที่ 202 พี่ชาย
บทที่ 202 พี่ชาย
บทที่ 202 พี่ชาย
ฉู่เหินไม่อยากทำลายความทรงจำของหุ่นเชิด เพราะตั้งแต่ถูกขัดเกลามันก็ช่วยเขามานับครั้งไม่ถ้วน ถ้าเกิดต้องลบความทรงจำของอีกฝ่ายทิ้งไปละก็มันเป็นอะไรที่โหดร้ายเกินไป
นอกจากการลบความทรงจำของอีกฝ่ายแล้วก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งคือ การสร้างเมล็ดวิญญาณด้วยวิญญาณของตัวเองและผสานมันเข้ากับวิญญาณของหุ่นเชิดหรือก็คือการแบ่งวิญญาณออกมา ด้วยวิธีนี้หุ่นจะไม่ทรยศอย่างแน่นอนเพราะจะมีจิตอีกส่วนคอยควบคุม
ทั้ง 2 วิธีนี้ทำได้ง่ายมาก ในตอนที่ฉู่เหินเลือกที่จะสร้างฉู่เฟิง เขาเลือกนำวิญญาณที่แตกสลายกลับมารวมกันใหม่ ด้วยวิธีนี้ความคิดของหุ่นเชิดจึงเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งสิ่งนี้จะไม่มีผลต่อการเติบโตของหุ่นเชิดในอนาคต!
เนื่องจากวัตถุดิบระดับห้าได้ถูกใส่เข้าไปแล้ว บางส่วนก็อยู่ในรูปของอาวุธวิเศษและบางชิ้นเป็นวัสดุชิ้นเดี่ยวๆ ฉู่เฟิงดูดซับมันเข้าไปทำให้ร่างของหุ่นเชิดนั้นเปลี่ยนแปลงไปด้วย
สิ่งที่เด่นที่สุดคือผิวสีทองแดงนั้นกลายเป็นสีเงินขาว ฉู่เหินรู้ว่าถ้ามันเปลี่ยนเป็นสีเงินขาวทั้งตัวมันจะกลายเป็นศพระดับเงิน ทำให้จิตใจเปิดกว้างและมีความคิดเป็นอิสระ ขณะที่สามารถปลุกความทรงจำในชีวิตก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้อีกด้วย
แต่ถึงจะใส่วัตถุดิบระดับห้าลงไปจนทั้งร่างเปลี่ยนเป็นสีเงิน แต่การที่จะทะลวงผ่านจากระดับทองแดงเข้าสู่ระดับเงินนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย!
ด้วยการขัดเกลาอย่างต่อเนื่อง จิตวิญญาณของฉู่เฟิงก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นมา แต่ฉู่เฟิงก็ดูแปลกๆ การตื่นขึ้นของเขานั้นไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่ดูเหมือนเด็กทารกที่ถูกเร่งการเติบโต ครั้งนี้ความทรงจำชาติก่อนหน้านี้ของฉู่เฟิงได้หลั่งไหลเข้ามาราวกับน้ำหลาก
ด้วยการเติบโตอย่างต่อเนื่องของภูมิปัญญาทางจิตวิญญาณที่ได้มาจากฉู่เหิน จิตวิญญาณของฉู่เฟิงก็เป็นเหมือนแผ่นกระดาษเปล่า นอกจากจะมีความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวกับฉู่เหินแล้วส่วนที่เหลือก็ว่างเปล่าอย่างสมบูรณ์ และทักษะยุทธ์ก็ไม่มี!
ตอนนี้ฉู่เหินรู้ตัวแล้วว่ามันเป็นเรื่องที่เขาจะต้องตัดสินใจ หนึ่งคือรอคอยความสำเร็จโดยให้หุ่นเชิดฝึกวิชาซ้ำแล้วซ้ำเล่า สองคือเลียนแบบจากประสบการณ์ด้านวรยุทธของตัวเขาเอง
หลังจากที่เขาเห็นว่าฉู่เฟิงนั้นเพิ่มระดับมาเป็นระดับเงินแล้ว ฉู่เฟิงอาจช่วยเหลือฉู่เหินในตอนที่ฉู่เหินไปลุยเทือกเขาเทียนซานได้ เพราะฉะนั้นตอนนี้ฉู่เหินจะต้องเร่งมือ! ดังนั้นฉู่เหินจึงตัดสินใจคัดลอกสิ่งที่เขารู้ลงไปในร่างของฉู่เฟิง
ในอีกด้านหนึ่ง
หลังจากที่ได้รับข้อความจากฉู่เหิน ตระกูลซ่างกวงและโป๋อีกู่ก็รีบมุ่งหน้ามาทันที ด้วยความช่วยเหลือจากชิงเฟิงทำให้พวกเขาได้ถึงจุดที่ฉู่เหินนัดหมายไว้อย่างรวดเร็ว
กลับมาที่ฉู่เหิน…
หลังจากการดูดซึมวัตถุดิบระดับห้าเป็นที่เรียบร้อย ฉู่เฟิงก็เลื่อนระดับอย่างสมบูรณ์ แต่สิ่งที่ฉู่เฟิงพูดออกมาเป็นคำแรกทำให้ฉู่เหินสับสนมาก
“พี่ชาย ขอบคุณมากที่มอบชีวิตให้ผม!”
นี่เป็นสิ่งแรกที่ฉู่เฟิงพูดออกมา
รูปร่างหน้าตาของฉู่เฟิงนั้นเปลี่ยนไปมาก ใบหน้าที่เกิดจากจิตใต้สำนึกดั้งเดิมของฉู่เฟิงซึ่งตามปกติแล้วไม่ควรที่จะเกิดขึ้นได้ แต่รูปร่างหน้าตากว่า 80% ของอีกฝ่ายในตอนนี้เหมือนกับฉู่เหินเป็นอย่างมาก
อายุภายนอกดูประมาณ 18-19 ปี เมื่อถูกเรียกจากฉู่เฟิงว่าพี่ ฉู่เหินรู้สึกจั๊กจี้พิกลแต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องแบบนี้
“อ่ะฮะ ตอนนี้นายก็หน้าคล้ายๆ ฉันนี่นะ ชื่อก็ฉู่เฟิง งั้นก็ต่อจากนี้ฉันจะทำเหมือนนายเป็นน้องชายก็แล้วกัน!”
การที่ฉู่เหินยืนอยู่ต่อหน้าฉู่เฟิงมันราวกับฉู่เหินกำลังยืนส่องกระจกอยู่ เป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่มาก ถ้าไม่ใช่เพราะการพูดที่แตกต่างกันคงยากที่จะแยกออกว่าใครเป็นใคร
“ฉู่เฟิง ฉันจะเรียกนายว่าเสี่ยวเฟิงนะ ระหว่างนี้ค่อยๆ ศึกษาความทรงจำไปพลางๆ แล้วกัน พอไปเจอถึงเทือกเขาเทียนซานจะได้ไม่สับสน”
หลังจากฉู่เฟิงพยักหน้าก็นั่งลงเพื่อทำตามที่ฝ่ายตรงข้ามบอก ฉู่เฟิงเป็นตุ๊กตาเขาต้องขยับตัวบ่อยๆ ต้องใช้เวลาสักหน่อยกว่าฉู่เฟิงจะเริ่มชิน
และในขณะเดียวกันก็มีเสียงคำรามมาจากพี่เสือด้านนอก ฉู่เหินรู้ทันทีว่าพวกมันกำลังเตือนว่ามีบางอย่างกำลังมาทางนี้ เขารีบออกมาดูในทันทีแต่คนที่มานั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากชิงเฟิงและโป๋อีกู่
ชิงเฟิงนำคนขั้นปราชญ์มามากกว่า 50 คน มีส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังดูอายุน้อย แสดงให้เห็นว่าการเป็นขั้นปราชญ์นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย!
ฉู่เหินพยักหน้าให้กับกลุ่มคนแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แล้วก็นำกลุ่มคนเหล่านั้นไปยังหุบเขาหมอกโดยที่พวกเขาพูดอะไรไม่ออกได้แต่ตามไปเงียบๆ
ฉู่เหินอธิบายสถานที่นี้ทีละอย่างก่อนจะให้พวกเขาเข้าไปด้านใน
ฉู่เหินและคนอื่นๆ ก็เลือกที่จะขุดสร้างถ้ำเป็นห้องๆ หลายแห่งในภูเขา เพื่อปกป้องเหล่าจอมยุทธ์ขั้นปราชญ์ พวกเขาจะได้อยู่ในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหมอกนี้มากกว่า 5 วันได้โดยไม่เกิดอุบัติเหตุใดๆ
อีกด้านหนึ่ง
ตอนนี้บรรดาปรมาจารย์ที่สำรวจสุสานต่างก็โกรธจัด พวกเขาคิดว่าการมาที่นี่น่าจะได้ของดีกลับไปหรือได้สมบัติมากมาย แต่กลับไม่ใช่แบบนั้น! นอกจากจะเสียสมบัติส่วนตัวแล้วยังไม่ได้อะไรเลยด้วย ซึ่งหลังจากออกมาจากค่ายกลดาบนั้นได้ พวกเขาก็เริ่มมองหาฉู่เหินทันที
อย่างไรก็ตามหลังจากการค้นหาอยู่นาน พวกเขาก็ไม่พบร่องรอยใดๆ ของฉู่เหินเลย สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดก็คือถึงแม้พวกเขาจะติดประกาศที่มีใบหน้าของฉู่เหินไว้ทั่วพร้อมรางวัลก็ไร้วี่แววอยู่ดี ซึ่งพวกเขาไม่รู้เลยว่าฉู่เหินที่พวกเขาเห็นนั้นใส่หน้ากากหนังมนุษย์เพื่อปลอมตัวทำให้พวกเขาไม่มีทางหาตัวเจอแน่นอน!
เมื่อไม่มีทางเลือก บางกลุ่มก็ได้แต่ยอมรับว่าไม่มีโชคเอาซะเลย แต่ก็ยังมีกลุ่มที่ไม่ยอมแพ้ หนึ่งในนั้นคือพวกแวมไพร์จากแดนตะวันตก!
หลังจากค้นหาอยู่หลายวันก็ยังคงไม่มีข่าวคราว พวกเขากำลังจะยอมแพ้แล้ว แต่ก็พบร่องรอยการขุดเจาะบางอย่างภายในภูเขาพวกเขาจึงรีบไปตรวจสอบทันที!
ทันทีที่พวกเขาเข้าใกล้ ฉู่เหินก็รู้ตัว
วันนี้เป็นวันที่ 3 ที่พันธมิตรของฉู่เหินมารวมตัวกัน ใครบางคนในนี้อาจจะเป็นไส้ศึกซึ่งเรื่องนี้ต้องมาพูดคุยกันในอนาคต! แต่ฉู่เหินมีแผนสำรองที่เขารู้คนเดียวเตรียมเอาไว้อยู่แล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมีกลุ่มคนมาถึง ฉู่เหินก็ได้แต่ขมวดคิ้ว
“ทุกคนกรุณาออกไปก่อน นายน้อยของฉันกำลังฝึกตนอยู่ โปรดอย่ารบกวน!” ผู้อาวุโสของตระกูลซ่างกวงตะโกนออกมา หลังจากได้รับคำสั่งจากฉู่เหิน
เมื่อได้ยินแบบนั้น พวกแวมไพร์ก็ดูสับสน พวกเขามาตามหาฉู่เหิน แต่เขารู้สึกว่าที่นี่มีความลับบางอย่าง หลังจากที่พวกเขาเห็นปรมาจารย์ขั้นเต๋า พวกเขาก็ส่งสัญญาณถอย ไม่ว่าเมื่อไหร่พวกลูกกระจ๊อกก็เป็นแบบนี้เสมอ ต้องกลับไปเรียกพวกมาก่อนถึงจะลงมือ!