สุดยอดชาวประมง - บทที่ 208 ละเมอหมู่
บทที่ 208 ละเมอหมู่
บทที่ 208 ละเมอหมู่
“สายตามีปัญหารึเปล่าน่ะ มองไม่เห็นรอยเหี่ยวย่นบนหน้าฉันหรือไร นายเคยเห็นวัยรุ่นที่ไหนเป็นแบบนี้บ้าง เฮอะ เจ้าพวกคนนอกอยากพูดอะไรก็พูดไปทั่ว”
พอโดนหญิงคนนั้นต่อว่า ฉู่เหินก็รู้สึกแย่มาก พอพูดความจริงก็โดนเกลียด ตอนนี้พอจะพูดเอาใจก็ยังโดนเขม่นอีก เขาไม่รู้ว่าควรพูดยังไงดีแล้ว
“เฮ้อ พวกคนนอกอย่างพวกนายไม่รู้จักเจรจาเอาซะเลย ช่างเถอะ พี่สาวไม่อยากจะเอาความคนอายุน้อยหรอกนะ มาเดี๋ยวพาไป อาหารกับน้ำใช่ไหม ตอนนี้นายไปขอใครช่วยไม่ได้หรอกแต่ละบ้านร่ำรวยกันหมดแล้วไม่ใส่ใจหาอาหารมื้อหนึ่งให้นายหรอก”
เมื่อมองไปทางคนที่อาสานำทางฉู่เหินก็รู้สึกสับสนนิดหน่อย แต่ก็แพ้เสียงประท้วงจากกระเพาะจนต้องเดินตามไปอย่างช่วยไม่ได้
มื้ออาหารที่ยายจัดให้นั้นอุดมสมบูรณ์ยิ่ง มีกระต่ายป่ากับห่านตุ๋น และยังมีน้ำพริกแกล้มผัก ทันใดนั้นฉู่เหินรู้สึกราวกับว่าได้กลับบ้าน เขากินทุกอย่างในจานจนหมด จนผู้หญิงคนนั้นต้องถอนหายใจออกมา
“ทุกคนบอกว่านอกหมู่บ้านนั้นดูดีกว่านี้ แต่ดูท่าจะไม่เป็นแบบนั้นนะ วัตถุดิบดีๆ พวกนี้น่ะข้างนอกนั่นคงจะหาไม่ได้หรอก”
พอได้ยินฉู่เหินก็รู้สึกหดหู่ ฉู่เหินควักเงินออกมาเกือบๆ 3000 หยวนเพื่อจ่ายค่าอาหารแต่อีกฝ่ายไม่รับ เพราะที่นี่มันเอาไปทำอะไรไม่ได้
หลังรับประทานอาหารฉู่เหินก็ถูกพาไปยังห้องนอนของตัวเองที่ถูกเตรียมไว้ให้ เพราะเขาวิ่งผ่านภูเขามาหลายลูกทำให้เขาหลับไปทันทีที่หัวตกถึงหมอน
เมื่อเขาตื่นขึ้นมาก็เป็นกลางดึกแล้ว เขารู้สึกหิวนิดหน่อยเลยจะไปหาอะไรมากิน แต่เขาก็พบว่าในบ้านที่เขานอนนั้นไม่มีอะไรเลย มีเขาอยู่แค่คนเดียว
ทีแรกฉู่เหินไม่ได้เฉลียวใจอะไรเป็นพิเศษ เขาตรงเข้าไปในครัวหาอะไรใส่ปากพออิ่มแล้วเขาก็ไม่ได้รู้สึกง่วงอีกจึงตัดสินใจออกไปเดินเล่นข้างนอก
แม้ว่าจะมีบ้านอยู่กว่า 200 หลังแต่มันก็อยู่ติดๆ กัน ขณะที่ฉู่เหินเดินอยู่นั้นก็ได้แต่ปล่อยคลื่นพลังจิตออกมา ด้วยวิธีนี้เขาสามารถรับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นภายในระยะ 7-8 เมตร นี้ตอนนี้ร่างกายของเขาบรรลุขั้นเต๋าแล้วสภาพจิตใจก็นับว่าดียิ่ง อีกไม่นานเขาคงบรรลุขั้นเต๋าอย่างสมบูรณ์
ทว่าเมื่อฉู่เหินใช้พลังจิตเขาก็ตกตะลึง เมื่อสัมผัสได้ว่าหลายบ้านมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีคนอยู่เลยสักคนเดียว ไม่ใช่แค่หลังหรือ 2 หลังด้วยแต่เป็นทั้งหมดเลย
เมื่อฉู่เหินก็เกิดอาการขนหัวลุก หรือว่าตัวเองหลงเข้ามาที่หมู่บ้านลับแลอันแปลกประหลาดกัน แม้ในใจของเขาจะหวาดกลัว แต่ความอยากรู้อยากเห็นก็ดันหลังให้เขาเดินไปด้านหน้า เพื่อดูให้เห็นกับตา
เขานั้นเดินต่อไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็พบกับชายชราคนหนึ่ง แต่ชายชราคนนี้หลับตาอยู่ ถึงอย่างนั้นในมือถือชายชรากับถือถังน้ำแล้วเดินไปยังบ่อน้ำอย่างรวดเร็ว
ตอนกลางวันเขาสังเกตว่าในหมู่บ้านนี้มีบ่อน้ำแค่ที่เดียว แต่ที่แปลกก็คือในบ้านน่าจะมีน้ำให้ใช้แล้วทำไมต้องออกมาตักเอาในเวลาแบบนี้ด้วย โดยเฉพาะคนแก่ตรงหน้าหรือว่าเวลาตักน้ำจะไม่ลืมตาตักน้ำ?
เขามองไปที่ชายชราที่เดินไปยังบ่อน้ำ ฉู่เหินเตรียมตัวเพราะเขาไม่ปล่อยให้ตาลุงคนนี้ตกลงไปในบ่อน้ำโดยไม่เหลียวแลได้
ในที่สุดชายชราก็เดินมาถึงขอบบ่อน้ำ จากนั้นชายชราก็ใช้เชือกผูกกับถังน้ำแล้วโยนมันลงไปในบ่อ พร้อมกับดึงเชือกขึ้นมาด้วยสองมือ
หลังจากที่ได้น้ำมาทั้งหมด 2 ถังเขาก็กลับไปที่บ้านของเขา ซึ่งตลอดเวลานั้นชายชราไม่ได้ลืมตาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้ฉู่เหินนั้นตกใจมากขนาดอีกฝ่ายหลับตาเดินยังดูมั่นคงกว่าฉู่เหินเดินปกติเสียอีก
หลังจากนั้นฉู่เหินก็เดินออกมาบริเวณนอกหมู่บ้านก็พบว่ามีคนยืนอยู่เต็มท้องนาไปหมด หรือว่าที่นี่นั้นเขาทำไร่กันตอนกลางคืน? ที่ทำให้ฉู่เหินประหลาดใจก็คือ เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ก็พบว่าดวงตาของทุกคนปิดสนิทเหมือนชายชราคนก่อนหน้านี้
พวกผู้ใหญ่ต่างทำงานกันอยู่ในนา แม้แต่พวกเด็กๆก็มารอกันอยู่รอบนอก ดวงตาของพวกเขาปิดสนิทแต่ก็ยังสามารถวิ่งเล่นกันได้ เป็นภาพที่ชวนขนลุกเป็นที่สุด “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?”
ฉู่เหินได้แต่มองอยู่อย่างนั้น ทันใดนั้นเขาก็พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ เขาเคยอ่านเจอเรื่องของสารบางอย่างที่ปนเปื้อนในน้ำทำให้ผู้ดื่มมันเข้าไปจะเกิดอาการเดินละเมอ
แต่เขาเห็นน้ำที่ตักขึ้นมาใสมาก ไม่มีทางที่จะมีสิ่งปนเปื้อนอย่างแน่นอนหรือสาเหตุคราวนี้มันจะมาจากที่อื่นๆ
ยิ่งคิดยิ่งเจอทางตัน เขาไม่อยากเอาเรื่องนี้มาคิดมาก แต่ถ้าเกิดว่ามีทางที่จะแก้ไขปัญหาได้จริงๆ เขาก็พร้อมที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เพื่อเป็นการตอบแทนคุณยาย
ฉู่เหินจึงคิดเท่าที่เขาจะคิดออก ไม่นานเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างราวกับคลื่นแม่เหล็กรอบๆ ตัวของชาวบ้าน ฉู่เหินจึงสงสัยหญิงชราที่อ้างว่าตนอายุ 30 เมื่อตอนกลางวัน
ตอนที่เขาสำรวจรอบหมู่บ้านตอนกลางวัน เขาไม่เจอคนหนุ่มสาวคนอื่นๆเลย เป็นไปได้ว่าหมู่บ้านนี้น่าผู้คนน่าจะเจริญเติบโตอย่างผิดปกติ
เขากลับไปพักที่เดิมแล้วใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ต่ออีก 2 วัน คุณยายที่ช่วยเขาตอนนี้ใกล้จะตายแล้ว ดูท่าอายุขัยของคนในหมู่บ้านนี้น่าจะแค่ครึ่งเดียวของโลกภายนอกเท่านั้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้ฉู่เหินก็นึกออกคำตอบเดียวหากพูดถึงความสามารถด้านพลังจิตนั้นก็ต้องเป็นกระต่ายต้องสาปหากบอกว่ามันเป็นที่สอง ก็คงไม่มีใครกล้าบอกว่าตัวเองเป็นที่หนึ่งในด้านนี้อย่างแน่นอน แม้ว่าพลังด้านการโจมตีของมันจะอ่อนแอ แต่ด้านพลังจิตกลับแข็งแกร่งมาก เพื่อทดแทนความสามารถในการต่อสู้ที่น้อยนิดของมัน
หลังกระต่ายต้องสาปสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เจ้าตัวเล็กก็ชี้ไปยังทิศหนึ่ง ฉู่เหินเดินตามไปทันทีแต่…ไม่ใช่ว่า สถานการณ์ในครั้งนี้กับครั้งที่แล้วหรอกนะที่เขาเข้าไปในภูเขาแล้วได้เจอกับอุกกาบาต!!
เมื่อนึกถึงอุกกาบาตนั้นมันก็ทำให้เขารู้สึกแย่ ถ้าไม่มีหม้อทองคำสามขาดูดมันเข้าไปเรื่องราวคงจะเลวร้ายยิ่งกว่านี้
ยิ่งฉู่เหินเดินไปตามทางมากเท่าไร สนามแม่เหล็กก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกก็คือมันไม่ได้รู้สึกเหมือนคลื่นแม่เหล็กในตอนนั้น แต่ยิ่งเขาเข้าใกล้เท่าไรเขาก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงอันตราย ความรู้สึกนี้ทำให้ฉู่เหินขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด