สุดยอดชาวประมง - บทที่ 222 ต้องสู้เท่านั้น
บทที่ 222 ต้องสู้เท่านั้น
บทที่ 222 ต้องสู้เท่านั้น
“ไม่เลว คิดไม่ถึงว่าแม้แต่โบตั๋นกับชายตาเดียวก็ถูกเก็บไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้นแกก็ไม่อาจหลบหนีไปได้หรอก วันนี้ปีหน้าจะเป็นวันตายของแก!”
หลังจากฉู่เหินที่เพิ่งจัดการชายตาเดียวได้ คำพูดนี้ก็ดังก้องออกมาจากความว่างเปล่า เมื่อฉู่เหินได้ยินเขาก็ถอนหายใจอย่างเอือมระอา “เฮ้อ พวกแกนี่นะไม่รู้จักจบจักสิ้น ออกมาพร้อมๆ กันก็จบแล้ว ฉันจะได้ไม่ต้องยุ่งยากจัดการทีละคน”
“ก็ไม่รู้สินะ ฉันว่าคำพูดของแกมันอวดดีไปหน่อย กับคนที่แม้แต่ขั้นเต๋าก็ยังไม่ถึงอย่างแก กล้าใช้คำพูดแบบนั้นกับฉัน คงคิดว่าตัวเองไร้เทียมทานมากสินะ?” สิ้นเสียงนั้นก็มีคน 3 คนกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ คนหนึ่งเป็นชายชราอายุ 50-60 ปี กับสาววัยแรกรุ่นขนาบข้างละหนึ่งคน
ทั้งสามไม่ได้มีพาหนะที่เป็นสัตว์แต่นั่งอยู่บนพรมผืนหนึ่งแทน เมื่อมองดูฉู่เหินก็รู้ว่ามันคือพรมวิเศษของแดนตะวันตก เมื่อเห็นพรมวิเศษผืนนั้นสายตาเขาก็สว่างวาบอยากจะแย่งของวิเศษนั้นไว้ครอบครอง
แม้ว่าร่มนภานั้นจะเป็นของชั้นยอดแต่เวลาจะใช้มันก็ต้องถือเอาไว้ทำให้การต่อสู้ในอากาศไม่สะดวกอย่างมาก แต่ฉู่เหินก็รู้ว่าความคิดของเขานั้นไร้เดียงสานิดหน่อย เพราะชายชราที่อยู่ข้างหน้าเขาเป็นยอดฝีมือระดับปรมาจารย์อย่างแน่นอน ซึ่งเขาดูแข็งแกร่งกว่าปรมาจารย์ที่เคยเจอในตระกูลแวมไพร์ซะอีก
ถ้าตอนนี้ฉู่เหินยืนอยู่บนพื้นเขาจะไม่กลัวอีกฝ่ายเลย แต่ว่าตอนนี้เขาลอยอยู่บนอากาศนี้สิมันทำให้เขารู้สึกใจเสาะนิดหน่อย หลังจากนั้นฉู่เหินก็รีบกระตุ้นให้ร่มนภาร่อนลงไปที่พื้นดิน ตราบใดที่เขาสามารถลงมายืนได้ แม้อีกฝ่ายจะเป็นครึ่งก้าวสู่ขั้นผู้พิชิตดาราเขาก็มั่นใจว่าสู้ไหว
“อ่า แกนี่มันรนหาที่ตายแท้ๆ!” สิ้นเสียงนั้น เขาก็เห็นชายชราค่อยโบกมือ ฉู่เหินปล่อยพลังออกมาครอบคลุมตัวเองทั้งสี่ทิศในอากาศอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากฉู่เหินแอบใช้จิตวิญญาณตรวจสอบพื้นที่รอบๆ นี้แล้วก็พบว่า รอบตัวเขาถูกล้อมไปด้วยคนจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่คนธรรมดา! แต่หลังจากฉู่เหินสังเกตอย่างละเอียดแล้วก็พบว่านัยน์ตาของแต่ละคนกลับไร้อารมณ์ ซึ่งมันคล้ายกับหุ่นเชิด!
ฉู่เหินอดระแวดระวังไม่ได้ เพราะเขายืนยันแล้วว่าคนเหล่านี้ทั้งหมดคือหุ่นเชิดจริงๆ แค่ว่าระดับไม่ได้สูงมากนัก ปล่อยให้สู้ซอมบี้ตัวหนึ่งก็ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่คนที่มีความสามารถจริงๆ เห็นจะเป็นคนที่ควบคุมหุ่นพวกนี้ เพราะอีกฝ่ายใส่พลังดวงดาวเข้าไปในร่างหุ่นเชิดไม่น้อยเลย
ด้วยเหตุนี้หุ่นเชิดเหล่านี้จึงดูแข็งแกร่งมาก อีกทั้งพลังโจมตีก็แข็งแกร่งด้วยเช่นกัน ทว่าในด้านการป้องกันช่างต่ำเตี้ยเกินคาด กระทั่งสามารถเรียกพวกนี้ว่าแจกันได้อย่างเต็มปากเลยละ เพราะพวกนี้อย่างไรก็คือกระเบื้องเคลือบ แค่ฟาดครั้งเดียวก็แตกแล้ว
แม้ว่าด้านการป้องกันจะห่วยแตกมาก แต่พลังการโจมตีกลับรุนแรงเทียบเท่าขั้นเต๋าเลยทีเดียว แต่ละตัวเทียบได้กับผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งได้เลย ถ้าตอนโดนโจมตีพร้อมกันสิบกว่าตัวละก็ น่ากลัวว่าแม้แต่ครึ่งก้าวสู่ขั้นผู้พิชิตดาราก็ยังลำบาก
การรับมือพวกมันนั้นไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งที่ยากคือจำนวนที่มากกว่า สมมติว่าถ้าใช้ธนูในการยิงพวกมันทีละตัว ลูกธนูคงจะหมดก่อนที่จะจัดการพวกมันได้หมด
ซึ่งฉู่เหินก็เห็นด้วยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็ตัดสินใจเก็บธนู จากนั้นเสื้อคลุมล่องหนก็ปรากฏขึ้น ในชั่วพริบตาฉู่เหินก็อันตรธานหายไปในทันที ชายชราดวงตาเบิกกว้างในทันทีเพราะว่าเขาคลาดกับฝ่ายตรงข้ามเสียแล้ว
หลังสวมเสื้อคลุมล่องหนแล้ว ฉู่เหินก็ถือดาบวงพระจันทร์เอาไว้ในมือ และหลบเข้ามาด้านหลังของหุ่นตัวหนึ่ง แล้วฟันดาบวงพระจันทร์ลงไปอย่างเงียบเชียบ หุ่นเชิดที่ถูกฉู่เหินแทงข้างเอวก็ล้มลงอย่างฉับพลัน ไม่รอนานฉู่เหินก็พุ่งไปยังตำแหน่งอื่นๆ ทันที โดยใช้วิธีเดิมอีกครั้ง จากสองเป็นสาม ไม่นานทั้ง 3 ตัวก็ถูกฆ่าตายด้วยคมดาบของฉู่เหิน
ดวงตาของชายชราเข้มลึกราวก้นบ่อ จากนั้นก็สั่งให้หุ่นทั้งหมดกลับมาหาเขา เขาเชื่อว่าด้วยการป้องกันของตัวเอง อีกฝ่ายไม่กล้าเหิมเกริมเข้ามาแน่ เพราะเขาจะเป็นคนฆ่ามันซะก่อน!
เพิ่งฆ่าหุ่นเชิดได้ 3 ตัว ก็สั่งให้พวกมันถอยเสียแล้ว ฉู่เหินอดไม่ได้ที่จะขยับมุมปากเยาะเย้ย นี้คือสิ่งที่เขากำลังรออยู่ นั้นคือรอให้พวกมันรวมตัวกันแล้วระเบิดพวกมันในคราวเดียวด้วยลูกศรดอกเดียว!
ขณะที่ฉู่เหินกำลังเตรียมการ เขาก็ต้องตกใจกับเสียงร้องที่ดังก้องฟ้า
หลังจากนั้นก็ปรากฏเงา 3-4 ร่าง เขาพบว่าคนเหล่านี้แข็งแกร่งพอๆ กับชายชราไม่มีผิด!
เหตุผลที่หลายคนปรากฏตัวในเวลาเดียวกันก็เพราะพวกเขารู้ว่าฉู่เหินต้องมีสมบัติที่สามารถซ่อนร่างของตัวเองได้ ของวิเศษเช่นนี้ใครจะไม่อยากได้กันล่ะ? ดังนั้นพวกเขาจึงปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกันเพื่อจัดการฉู่เหิน
“ออกมาซะดีๆ พวกเราล้อมไว้หมดแล้ว เดิมทีแกก็หนีไม่ได้อยู่แล้ว เชื่อฟังพวกเราดีๆ แล้วเอาของวิเศษล่องหนนั่นออกมาซะ แล้วพวกเราจะไว้ชีวิต” หญิงชราที่สวมชุดจีนโบราณพูด ไม่อาจปิดบังความโลภในดวงตาได้เลย
“เด็กน้อย ฉันรู้ว่าแกมีเวลาไม่มากนักหรอก ในสายตาของพวกเราสามคนแกก็เป็นแค่มดตัวหนึ่ง ถ้าไม่รีบส่งของวิเศษมา ไม่เพียงแต่แก ครอบครัวและเพื่อนๆ ของแกจะไม่มีใครรอดเลยสักคน” ชายอีกคนที่ไม่อายุไม่เยอะนักพูดเสริมเช่นนั้น
ประโยคเหล่านั้นดังกระแทกเข้ากลางใจของฉู่เหินในทันที เขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ช่าง แต่สำหรับฉู่เหินคนรอบตัวนั้นสำคัญที่สุด แล้วคนที่กล้าเข้ามายุ่มย่ามนั้นเขาจะไม่ปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว!
*แตะเกล็ดมังกรมีโทษสมควรตาย!! (กระตุกหนวดเสือ)
“แก่แล้วไม่เจียม อยากตายมากสินะ พวกแกไม่มีสิทธิ์อะไรมาขวางทางฉัน ไม่รู้จักประมาณตน ในเมื่อพวกแกว่าอย่างนี้ก็ย่อมได้ ฉันจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เอง!”
เสียงของฉู่เหินดังขึ้นในความว่างเปล่า ต่อให้หัวเสียแค่ไหนทั้งสามก็ไม่สามารถหาที่อยู่ของเขาได้อย่างชัดเจน ถึงจะอยู่ในครึ่งก้าวสู่ขั้นผู้พิชิตดาราก็ไร้ประโยชน์
“ไสหัวออกมาสิวะ ให้ฉันดูหน้าตาอวดดีของแกหน่อยสิ” คนสุดท้ายในสามคนพูดออกมา
“พวกแกไม่ละอายใจจริงๆ สินะ ไม่ต้องพูดถึงสี่รุมหนึ่งเลย วรยุทธก็สูงกว่าฉันตั้งเยอะ หึ ถ้าพวกแกระดับเดียวกับฉัน รับรองว่าได้ตายเหมือนหมูเหมือนหมาแน่ๆ ถ้าจะให้ฉันออกไป ก็ต้องสู้กันตัวต่อตัวเท่านั้น”
หลังคำพูดนี้ดังออกมา ทั้งสามก็มองว่าฉู่เหินนั้นโง่มากที่ทำแบบนั้น ต่อให้สู้คนเดียวพวกเขาก็ฆ่าฉู่เหินได้สบายๆ ราวกับมดตัวหนึ่งอยู่ดีนั่นแหละ
“งั้นก็ออกมาเลยสิ” พวกครึ่งก้าวสู่ขั้นผู้พิชิตดาราต่างมองหน้ากัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เห็นฉู่เหินอยู่ในสายตาเลย ครึ่งก้าวสู่ขั้นผู้พิชิตดาราอย่างพวกเขาจะมากลัวอะไรกับขั้นปราชญ์ระดับสูง ถ้าพวกเขากลัวฉู่เหินนั่นคงเป็นเรื่องที่น่าขำซะเหลือเกิน
“ฉันไม่มีทางเชื่อคำพูดของพวกแกหรอก ถ้าฉันออกไปพวกแกก็จะเข้ามารุมฉันละสิ คนนอกที่ไม่เกี่ยวออกไปยืนให้ไกลๆ ซะ ยืนคนละทิศเลยยิ่งดี ไม่งั้นฉันจะไม่สู้ด้วยเด็ดขาด” คำขอของฉู่เหินนั้นเริ่มที่จะมากเกินกว่าเหตุแต่พวกเขาก็ทำตามอยู่ดี เพราะพวกเขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงตัวฉู่เหินเลยแม้แต่น้อย!
เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะให้พวกเขาถอย ไม่งั้นข้อตกลงของพวกเขาว่าหลังจากที่ฆ่าฉู่เหินแล้วพวกเขาจะแบ่งสมบัติกันจะทำยังไง? ไม่มีใครเต็มใจถอนตัวจากสถานการณ์นี้ ดังนั้นทุกคนจึงถอยกลับไม่กี่ก้าวและไปยืนบนพรมแสงของชายชราแทน