สุดยอดชาวประมง - บทที่ 266 เตรียมตัวสำหรับของล้ำค่าโบราณ
บทที่ 266 เตรียมตัวสำหรับของล้ำค่าโบราณ
บทที่ 266 เตรียมตัวสำหรับของล้ำค่าโบราณ
ฉู่เหินปล่อยพี่น้องทั้งสองออกมานั้นก็คือ พี่เสือ กับพี่แรดเขาเดียว ในเวลาเดียวกันก็หยิบเปลือกหอยสองใบขึ้นมาและโยนมันเข้าไปในสวนเพื่อให้กลายเป็นถ้ำที่อยู่ของพวกเขา
เปลือกหอยที่เขาถืออยู่ในมือมีขนาดใหญ่หลายสิบเมตรทั้งสองต้องอยู่ด้วยแต่ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร
ต่อมาฉู่เหินหยิบปะการังพิเศษออกมาและวางมันแทนที่หินประดับเดิมทั้งหมด แถมโยนลงไปในบ่อปลาด้วยเพื่อให้มันอาศัยอยู่ในน้ำด้วยดอกไม้และต้นไม้พิเศษทั้งหลาย
ทุกคนนั่งด้วยกันเพื่อร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำแห่งการรวมญาติที่แท้จริง จากนั้นทุกคนก็ปล่อยให้ฉู่เหินได้ไปพักผ่อน หลังจากที่เขาไมได้พักมานานเกือบเดือนแล้ว
แต่ฉู่เหินกลับไม่ได้ไปพักผ่อน เขาเรียกซวี่เหลียนออกมาคุย
“อาเหลียง ฉันว่าจะเปิดตู้สมบัติน่ะ แต่นายก็รู้ว่าฉันไม่ใช่นักธุรกิจ ดังนั้นก็เลยเก็บความคิดนี้เอาไว้ก่อนและเพราะไม่มีใครที่จะทำงานนี้ฉันได้ ตอนนี้ฉันอยากจะขอความคิดเห็นของนาย ฉันไม่รู้นะว่านายอยากจะลงทุนลงแรงไปกับงานโบราณ ๆ แบบนี้ไหม?” หลังจากฉู่เหินเรียกเขาออกมา ทั้งสองก็นั่งพูดคุยกันอย่างจริงใจ
“ธุรกิจโบราณที่ไม่ได้เปิดมานานสามปี ถ้าคนที่ไม่รู้จักเรื่องวัตถุโบราณเข้ามาในตลาดแล้วไม่พบของเจ๋ง ๆ ล่ะก็มันก็ทำเงินให้พวกเราไม่ได้หรอกนะ” ซวี่เหลียงตอบด้วยความกังวลใจ
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ฉู่เหินก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เขาวางสิ่งของชิ้นหนึ่งลงตรงหน้าอีกฝ่าย งาช้างชิ้นหนึ่งถูดงัดออกมา หลังจากที่เขายิงแมมมอธยักษ์ตายไปมันก็เหลืองาข้างเดียวไว้ให้กับเขาแบบนี้
ทันทีที่งาช้างยาว 45 เมตรถูกนำออกมาซวี่เหลียงก็ตกใจ เมื่อเขาเห็นงาช้างขนาดใหญ่แล้วก็คิดคำนวณในใจ หากมีการประมูลเจ้านี่มันจะต้องขายได้ในราคาที่สูงมากอย่างแน่นอน ซวี่เหลียงที่ไม่เคยมีความมั่นใจในเรื่องการขายของเก่าตอนนี้เริ่มมีความมั่นใจขึ้นมาทันที
“อาเหิน เจ้างาช้างนี่อาจเป็นสมบัติของร้านค้าในเมืองได้เลย ขอแค่มีเพียงเจ้านี่อยู่ในร้านอย่างเดียวพวกเราก็จะสามารถเปิดร้านขายของเก่าได้อย่างง่ายดายเลย” ซวี่เหลียงพูดออกมาอย่างมั่นใจ หลังจากพูดแบบนี้ซวี่เหลียงก็จินตนาการว่าเขากำลังเป็นนายหน้าแห่งการประมูลของเก่าที่เก่งที่สุด
“อาเหลียง แค่งาช้างนี้อันเดียวก็เปิดร้านขายของโบราณได้แล้วนายล้อฉันเล่นรึไง ดูของทั้งหมดนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” ฉู่เหินยิ้มและเริ่มนำสิ่งของเหล่านั้นออกมา
ไม่ต้องพูดถึงสมบัติที่แท้จริงอย่างอื่นเลย แม้แต่กุ้งที่ซูเหลียงกินเข้าไป
ซวี่เหลียงยังรู้สึกตกใจไม่น้อย จนตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจและมองฉู่เหินด้วยความเคารพสุดๆ เขายังมองไปยังชิ้นอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชิ้นส่วนกระเบื้องเคลือบที่ชายหนุ่มนำมันออกมา แม้ว่าซวี่เหลียงจะไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับเจ้านี่แต่เขาก็มั่นใจเลยว่านี่จะต้องเป็นสมบัติของประเทศแน่นอน
ทันทีหลังจากที่ซวี่เหลียงนับของทุกอย่างที่ฉู่เหินนำออกมาทั้งหมด และสิ่งเหล่านี้สามารถใช้เป็นสินค้าโบราณได้ทั้งหมด แต่ผลที่ตามมาซวี่เหลียงกลับรู้สึกกังวลใจ ถ้าหากเขาใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อเปิดตลาดขายของโบราณนั้นเป็นวิธีที่ง่ายดายก็จริง แต่กุญแจสำคัญของมันก็คือการที่ต้องไปให้ถึงจุดสูงสุดของเส้นทางนี้ต่างหาก
หากเป็นเช่นนั้นแล้วถ้าเกิดว่าขายของพวกนี้หมดแล้วจะไม่เป็นการเปิดจุดอ่อนตัวเองงั้นเหรอ? ฉู่เหินเองก็ดูเหมือนว่าจะล่วงรู้ความคิดของอีกฝ่าย จากนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“อาเหลียง ดูของนี่อีกครั้งสิ มันคือกระดูกของสัตว์ประหลาด ถ้าเกิดว่านำมันไปขัดให้มันกลายเป็นเครื่องประดับ รับรองได้เลยว่าจะต้องมีคนซื้อเอาไปใช้เพื่อรักษาสุขภาพหรือไม่ก็เอาไปใช้ในการป้องกันภูติผีแน่ๆ”
ได้ยินแบบนั้นซวี่เหลียงก็ครุ่นคิดก่อนที่จะพูด “กระดูกนี่มันอ่อนปวกเปียกมากเลยนะ และมันไม่ง่ายเลยนะที่จะเอามันไปทำเครื่องประดับ”
“อาเหลียง มีใบเลื่อยไร้ฟันอยู่ที่ด้านล่าง นายลองเอามันไปตัวดูก่อนแล้วนายจะเข้าใจเอง” ฉู่เหินรู้ว่ามันไร้ค่าและให้คนอื่นลองใช้ดูแล้วจะเข้าใจ
แม้ว่าซวี่เหลียงจะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับคำพูดของฉู่เหิน แต่เขาก็หยิบกระดูกขึ้นมาแล้วเดินลงไปชั้นล่าง หลังจากพบเลื่อยไร้ฟันแล้วเขาก็ตัดกระดูกนั่นซะ ผลที่ได้ก็คือในอีกสิบนาทีต่อมาใบเลื่อยทั้งหมดตกลงไปที่พื้นแต่กระดูกก็ไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย
ในตอนนี้ซวี่เหลียงก็ตระหนักว่ากระดูกในมือของเขาอาจไม่ใช่ของธรรมดา หลังจากคิดเรื่องนี้แล้วเขาก็รีบเอากระดูกนี้แล้ววิ่งไปหาพ่อเพื่อศึกษาร่วมกันกับเขาหลังจากพักฟื้นมานานกว่า 1 เดือนพลังจิตของพ่อของซวี่เหลียงก็กลับมาเป็นปกติแล้ว
เมื่อซวี่หงหยิงได้ฟังคำพูดของซูเหลียงเขาก็มีดวงตาที่เปล่งประกายเช่นกัน หากทุกอย่างเป็นเหมือนซวี่เหลียงพูดจริง ๆ แล้วล่ะก็ ถ้างั้นฉันก็กลัวว่าเรื่องนี้มันจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ มันมีผลประโยชน์อันมหาศาลรออยู่
หลังจากวิ่งลงบันไดเพื่อไปทดสอบเป็นการส่วนตัวแล้วเมื่อเขากลับมา
ซวี่หงหยิงก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ตอนแรกเขาแค่มาอยู่ที่นี่เพื่อสนับสนุนลูกชาย แต่ตอนนี้โอกาสอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว เขาไม่ปล่อยมันไปแน่ๆ
จากความสัมพันธ์ระหว่างซวี่เหลียงกับฉู่เหิน ถ้าเขาช่วยฉู่เหินทำสิ่งนี้ได้ บางทีตระกูลซวี่อาจจะมีวันได้เฉิดฉายอีกครั้งในอนาคตได้แน่ๆ
หลังจากนั้นซวี่เหลียงก็ขอตัวซักครู่เพื่อไปหาฉู่เหินและบอกว่าสิ่งนี้จะต้องสำเร็จแน่ๆ แต่มันต้องใช้เวลานานหน่อย จากนั้นชายหนุ่มก็เอากระดูกออกมามอบให้กับซวี่เหลียงเพิ่ม เขายังบอกอีกด้วยว่าให้เอามันไปขายพร้อมกับปลาถ้าเกิดว่าเงินไม่พอใช้ ตอนนี้ปลาเกล็ดขาวก็เริ่มกลายเป็น
กองหนุนหลักของฉู่เหิน ถ้าไม่มีพวกมันชายหนุ่มก็คงไม่มีธุรกิจใหญ่โตแบบนี้หรอก
ท้ายที่สุดฉู่เหินก็วางแผนต่าง ๆ กับซวี่เหลียงจนเสร็จจากนั้นเขาก็เอนตัวลงนอน แต่ก่อนที่เขาจะทันได้นอนก็มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นมาอีกแล้ว
ตงโกวจีหยางได้ทำการวิจัยข้าวสำเร็จ ในตอนแรกฉู่เหินกำลังจะกลับมาทำงานวิจัยของตัวเองอีกครั้งหลังจากได้รับข้าวตัวใหม่เมื่อครั้งล่าสุด
แต่เวลาดันไม่เป็นใจให้กับเขาเลย ตอนนี้หลังจากทำการวิจัยเพื่อเพาะปลูกข้าววิญญาณชนิดนี้ ผลที่ได้ก็คือสามารถปลูกมันได้ในปริมาณที่มากขึ้นแล้ว
ไข่นกกระทาขนาดเท่ากำปั้นเองก็ได้รับการปรับปรุงไปมากเหมือนกัน ในตอนนี้มันถูกยอมรับโดยผู้คนมากมาย แม้ว่าผลประโยชน์ของมันจะลดลงไปบ้างแต่ถ้าเกิดว่าได้กินมันเรื่อย ๆ เป็นเวลานาน ๆ แล้วล่ะก็ผลของมันก็ยังคงเหมือนเดิม
ถ้าข้าวพลังจิตนี้ออกมามันจะต้องเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ดีที่สุดแน่นอน คนมักพูดว่าการกินนั้นดีต่อสุขภาพ มันจะมีอะไรที่ดีไปกว่าการกินข้าวเพื่อสุขภาพอีกล่ะ?
หลังจากได้ยินรายงานจากตงโกวจีหยางแล้วฉู่เหินก็เริ่มกำลังเตรียมตัวสำหรับการโปรโมตครั้งใหญ่ ข้าวพลังจิตชนิดนี้โตง่ายตายยากและสามารถเก็บไว้ได้หนึ่งปีทั้ง ๆ ที่อุณหภูมิต่ำเช่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือแต่เขาก็ไม่รู้ราคาที่คุ้มค่าของมันว่าจะขายเท่าไร ดังนั้นหลังจากคิดเรื่องนี้แล้วฉันก็เตรียมที่จะพาข้าวพลังจิตไปหานายฮวงให้เขาช่วยพิจารณาในส่วนนี้
หลังจากที่ข้าวพลังจิตเหล่านี้เข้าสู่ตลาดแล้วพวกมันจะถูกซื้อโดยรัฐบาลแบบตอนปลาเกล็ดขาวแน่ๆ ดังนั้นการที่ตั้งราคามันเอาไว้ก่อนจึงเป็นการที่ดีกว่า
หลังจากบรรจุใส่ถุงเล็ก ๆ เขาก็เรียกนายฮวงและส่งข้าวให้นายฮวงตรวจสอบ พร้อมกับส่งจดหมายที่มีข้อความอธิบายยาวเป็นเมตรไปด้วยนั่นหมายความว่านายฮวงจะต้องตั้งราคามันได้แน่ๆ เพราะเขาบอกทุกอย่างไปหมดแล้วว่ามันดียังไง
ข้าวพลังจิตชนิดนี้มันก็เหมือนกับปลาเกล็ดขาว มันเป็นของที่มาจากต่างโลกและไม่สามารถปลูกได้แน่ๆ การปลูกข้าวพลังจิตต้องใช้ดินจากสวรรค์และไม่มีทางที่จะเจอดินแบบนั้นบนโลกนี้ด้วย ด้วยเหตุนี้ฉู่เหินจึงไม่กลัวที่เมล็ดเหล่านี้จะหลุดออกไปให้คนอื่นได้ปลูกต่อ ถึงแม้ว่าฉู่เหินจะเชื่อว่านายฮวงไม่มีทางขายเขาอยู่แล้วก็ตาม
ฉู่เหินอธิบายตงโกวจีหยางอย่างตั้งใจ จริง ๆ แล้วตอนนี้เจ้าเด็กคนนี้เองก็ไม่หยุดที่จะหลอมยาเลย ทุกๆครั้งที่ทำการหลอมยาก็จะเสียงดังก่อความวุ่นวานไปหมด
ไม่ต้องพูดถึงเสียงก็ยังมีกลิ่นเหม็นที่โชยออกมา ตอนที่เจ้าเด็กนี้หลอมยา อีก ยิ่งไปกว่านั้นฉู่เหินเองก็บอกเขาไปแล้วด้วยว่าถ้าเขาจะฝึกหลอมยาก็ให้เขาไปใช้เกาะกลางทะเลโน่น ฉู่เหินบอกวิธีการเรียกราชาฉลามพิษออกมาให้เขาอีกด้วยจะได้ไม่ไปรบกวนคนอื่น ๆ
เพราะยังไงเสียมหาสมุทรนั้นก็กว้างใหญ่ ต่อให้มีกลิ่นเหม็นแค่ไหนก็ไม่เป็นปัญหาอะไรมากนัก ทว่าฉู่เหินก็ไม่รู้ว่าการกระทำของเขานั้นจะเปลี่ยนแปลงราชาฉลามพิษไปแบบไม่รู้ตัว แต่มันก็ทำให้พวกมันต่อสู้ได้เก่งมากขึ้นในอนาคต