สุดยอดชาวประมง - บทที่ 307 โลภ
บทที่ 307 โลภ
บทที่ 307 โลภ
ฉู่เหินกลอกตาครุ่นคิดก่อนจะหยิบลูกปัดน้ำออกมาและปล่อยให้ลูกปัดน้ำเปล่งแสงใส่ในน้ำใหม่เอี่ยม และยื่นมือไปในแม่น้ำอีกครั้ง จากนั้นริมฝีปากของฉู่เหินก็ยิ้มออกมา เพราะในที่สุดเขาก็หาวิธีที่จะออกไปจากที่นี่แล้ว
…
ในสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ชายร่างสูงใหญ่ที่กินดื่มสานสัมพันธ์อันดีกันอยู่ตรงนั้น ท่าทางของพวกเขาแต่ละคนเหมาะสมกับคำว่าวีรชนมาก แต่ใครจะรู้ว่าวีรชนร่างสูงใหญ่เหล่านี้ก็คือพวกโจรสลัดที่คนอื่นได้ยินต่างก็กลัวจนตัวสั่นพวกนั้น
“พี่ใหญ่ ที่พวกเราเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้เพื่ออะไรกัน สิ่งของทั้งหมดในมหาสมุทรที่พวกเราขโมยมามันไร้ประโยชน์ทั้งนั้นเลย ของพวกนั้นเอาไปฝึกพลังยุทธไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วจะมีไว้ทำอะไรกันน่ะพี่” ชายร่างใหญ่คนหนึ่งถามคำถามเช่นนี้กับพี่ใหญ่
“ที่จริงมันก็มีเหตุผลที่พวกเราทำแบบนี้ หนึ่งก็เพื่อคืนสินน้ำใจ ในปีนั้นบิดาของคนผู้นั้นติดหนี้น้ำใจไว้อยู่ ที่ทำเรื่องเหล่านี้ก็เพื่อคืนความรู้สึกส่วนนี้คืนไป และสองก็เพื่อตามหาของวิเศษ พวกนายลองคิดดูสิว่าคนธรรมดาแบบนั้นจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ยังไงในเวลาไม่กี่เดือน ดังนั้นฉันจึงสงสัยว่าจะมีสมบัติอยู่กับตัวฉู่เหินอย่างแน่นอน”
จุดประสงค์ของคนกลุ่มนี้ก็เหมือนกับที่บรรพบุรุษนางเงือกบอกมา เหตุผลที่พวกเขาก่ออาชญากรรมบนมหาสมุทรซ้ำ ๆ ก็เพื่อตกเหยือ แต่สิ่งที่บรรพบุรุษนางเงือกนึกไม่ถึงก็คือ ปลาที่พวกเขาต้องการจะตกก็คือฉู่เหิน!
ครั้งนี้ชายผู้เป็นพี่ใหญ่รู้ว่าฉู่เหินและผู้อาวุโสจางมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน หากกลุ่มมังกรไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ผู้อาวุโสจางจะต้องขอความช่วยเหลือจากฉู่เหินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อถึงตอนนั้นก็แค่รอให้ฉู่เหินลงมาที่มหาสมุทร ความเป็นความตายของฉู่เหินก็จะเป็นของพวกเขาทันที
แน่นอนพวกเขารู้ว่าการจะจัดการผู้ชายที่ชื่อฉู่เหินนั้นเป็นเรื่องยากมาก อาศัยพลังของพวกเขาอาจจัดการฉู่เหินไม่ได้ แต่มันก็ไม่ได้สำคัญอะไร เพราะพวกเขายังมีแผนอีกหนึ่งอย่าง เมื่อ 2 วันก่อนพวกเขาได้รับการข่าวมาว่า ฉู่เหินตอบตกลงผู้อาวุโสจางและออกทะเลมาแล้ว ได้ยินมาว่าคนที่พามาด้วยก็มียอดฝีมือไม่น้อยเลย!
เมื่อเป็นแบบนี้การจะลงมือแบบซึ่งหน้าเกรงว่าจะไม่ไหวแน่ ๆ แต่เมื่อฉู่เหินพายอดฝีมือออกมาด้วย งั้นก็หมายความว่าบ้านของฉู่เหินตอนนี้ไร้การป้องกัน ดังนั้นหลังจากเมื่อ 2 วันก่อนเขาที่ได้ยินข่าวเรื่องนี้ เขาก็แพร่กระจายข่าวลับไปให้พรรคพวกทุกคน พวกเขาคิดว่าขอเพียงตัวเองเอาคนในบ้านฉู่เหินมาไว้ในกำมือได้ก็พอ แต่เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็สามารถให้ฉู่เหินทำตามคำสั่งได้อย่างว่าง่าย
ชายฉกรรจ์ 30 คนถูกพี่ใหญ่ส่งออกไป ซึ่งทั้งหมดก็ล้วนแต่เป็นขั้นเต๋าระดับสูง อีกทั้งคนในกลุ่ม 2 คนยังเป็นยอดฝีมือของระดับครึ่งก้าวสู่ผู้พิชิตดารา ด้วยความแข็งแกร่งที่น่ากลัวเช่นนี้ เขาคิดว่าสำหรับคนที่ไม่เคยฝึกวรยุทธเลยเหล่านั้น คงจับตัวมาได้ไม่ยาก
ยอดฝีมือทั้งสองคนนึงชื่อว่าเกาเทียน อีกคนชื่อว่าฟ่านตี๋ เมื่อทั้งสองเข้ามาใกล้ท่าเรือของหมู่บ้านชาวประมงไหก่าง แล้วตรวจสอบหาฉู่เหินทั้งบนทั้งล่าง พวกเขารู้ว่าใกล้ ๆ หมู่บ้านชาวประมงของฉู่เหินมีโรงงานใหญ่หลายแห่ง ธุรกิจเหล่านี้ทั้งหมดก็คือครอบครัวของฉู่เหิน
บ่อเลี้ยงปลายังไม่ต้องพูดถึง เพราะที่นั้นมีการป้องกันที่แน่นหนาและขึ้นตรงกับรัฐบาล พวกเขาไม่อยากที่จะเป็นศัตรูกับประเทศของตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงตัดบ่อปลาทิ้งไป นอกจากบ่อปลาแล้วยังมีโรงงานอาหารแล้วก็ร้านขายของโบราณ คนดูแลก็คือเพื่อนของฉู่เหิน 2 คน ในสายตาพวกเขาเพื่อน 2 คนนี้ไม่ได้ที่ฉู่เหินจะใส่ใจขนาดนั้น
ในเมื่อจะจับตัวประกันก็ต้องจับคนที่มีความสำคัญหน่อย ดังนั้นพวกเขาจึงตัด 2 คนนี้ทิ้งซะ ถ้าตัด 2 คนนี้ไปก็จะเหลืออีก 3 คนคือโรงกลั่นไวน์ โรงงานเสื้อผ้า และบ้านของฉู่เหิน
ตอนนี้โรงงานเสื้อผ้าและโรงกลั่นไวน์ดำเนินการโดยผู้หญิงคนหนึ่งชื่อซ่างกวนเสี่ยวฟู๋ จากที่พวกเขารู้มาซ่างกวนเสี่ยวฟู๋คือหนึ่งในผู้หญิงของฉู่เหิน ตามที่ได้ยินมาตอนเช้าซ่างกวนเสี่ยวฟู๋จะมาที่โรงงานเสื้อผ้า ตอนบ่ายก็จะไปที่โรงกลั่นไวน์
ที่ซ่างกวนเสี่ยวฟู๋ต้องทำโรงกลั่นไวน์ด้วยก็แค่อยากทำรอเสี่ยวชิงกลับมาทำโรงกลั่นไวน์ไม่ได้เปลื้องแรงมาก แน่นอนว่าประโยคนี้ก็ฟังดูแปลก ๆ ที่เธออยากจะทำดีกับเสี่ยวชิงก็เพราะถ้าเสี่ยวชิงไม่โอเค ฉู่เหินก็ไม่มีทางให้พวกเธออยู่ด้วยอย่างแน่นอน เธอเลยต้องเอาใจเมียหลวงก่อนนั้นเอง
เหล่าโจรคิดว่าที่การคุมกันอ่อนแอที่สุดก็คือที่โรงกลั่นไวน์ ที่นี่เป็นโรงงานโดด ๆ ไม่น่าจะมีคนให้ความสำคัญเท่าไหร่ ดังนั้นเกาเทียนกับฟ่านตี๋จึงปรึกษากันว่าจะให้ยอดฝีมือขั้นเต๋า 10 คนไปจับซ่างกวนเสี่ยวฟู๋ที่โรงกลั่นไวน์ให้ได้ก่อนจากนั้นค่อยว่ากันอีกที
สำหรับพวกเขานั้นพวกเขาจะไปที่บ้าน เพราะที่นั้นคือรังของฉู่เหินไม่แน่ว่าอาจจะมียอดฝีมือหลบซ่อนอยู่ก็ได้ แต่พวกเขาเชื่อว่ายอดฝีมือที่ซ่อนตัวอยู่เหล่านั้น อย่างไรก็ไม่ใช่คู่มือของตัวเองหรอก
ท้องฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนสีอย่างช้า ๆ อีกไม่นานก็จะค่ำแล้ว เกาเทียนและฟ่านตี๋ส่งสัญญาณทางสายตาแล้วโบกมือให้เหล่าพี่น้อง 10 กว่าคนแยกไปสองทางอย่างรวดเร็ว
10 ยอดฝีมือขั้นเต๋ามุ่งไปยังทิศทางหนึ่ง เวลาไม่นานก็มาถึงตีนเขาของภูเขาเทียนหวัง ดวงตามุ่งร้ายมองไปยังด้านหน้าโรงกลั่นไวน์ขนาดใหญ่พร้อมกับแสยะยิ้มอย่างบ้าคลั่ง พวกมันส่งเสียงสั่งการ “บุก” แล้วทั้ง 10 คนก็มุ่งตรงไปยังโรงกลั่นไวน์
ในตอนนี้เองกู้อี้ลี่กำลังปรับเปลี่ยนสูตรไวน์อยู่ เพราะในเมื่อสร้างโรงกลั่นไวน์แล้ว อย่างไรก็ไม่อาจจะมีไวน์แค่ชนิดเดียวได้ พวกเขาก็กำลังเตรียมจะทำให้มีแบบไวน์ชนิดดั้งเดิมและมีชนิดไวน์พิเศษหลากหลายชนิดขึ้นมาตามที่กู้อี้ลี่โม้ไว้ไวน์ทุกชนิดจะมีรสชาติเฉพาะตัวแยกกันอย่างชัดเจน
ก่อนอื่นพวกเขาวิจัยชนิดไวน์ที่มีชื่อว่า หยุนจิว ไวน์หยุนจิวนั้นให้ความรู้สึกที่ไม่มีที่สิ้นสุด จากอดีตจึงถึงปัจจุบัน การวิจัยไวน์ชนิดนี้ถูกให้ฉายาว่าชีวิตคน ไวน์ชนิดนี้เมื่อดื่มลงคอจะมีรสชาติเผ็ดร้อน ให้ความรู้สึกขมคอ แต่ถ้าลองสงบใจพิจารณาดี ๆ ก็จะรับรู้ได้ถึงรสชาติที่หอมหวาน
ไวน์ที่มีรสชาติเยอะแบบนี้ก็เหมือนกับชีวิตของคน เพียงแต่ตอนนี้มีหลายจุดที่ตอนแก้ไข! ที่ซ่างกวนเสี่ยวฟู๋วิ่งวุ่นไปมาหลายวันมานี้ก็เพราะเหตุนี้เอง ซ่างกวนเสี่ยวฟู๋กำลังกลายเป็นปรมาจารย์ไวน์แล้ว หลังจากผ่านการปรับเปลี่ยนหลายต่อหลายครั้ง ตอนนี้สามารถพูดได้ว่าไวน์ชีวิตคนนั้นให้ความรู้สึกแปลกมาก ๆ
วันนี้ซ่างกวนเสี่ยวฟู๋เพิ่งจะดื่มไวน์แก้วนี้ลงไป พร้อมกับหลับตาพริ้มอย่างพอใจ กู้อี้ลี่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หัวเราะเหอะ ๆ มองความเปลี่ยนแปลงของใบหน้าซ่างกวนเสี่ยวฟู๋ เพื่อที่เขาจะสามารถเอามาวิเคราะว่าไวน์ของเขาว่าเป็นยังไงบ้าง ที่ทำให้เขาพอใจก็คือซ่างกวนเสี่ยวฟู๋กำลังมึนเมาและคล้ายจะเป็นการมึนเมาที่เต็มไปด้วยความหลงใหลในรสชาติไวน์
ฉับพลันขณะที่เขากำลังหัวเราะอยู่นั้นก็สัมผัสได้ถึงยอดฝีมือขั้นเต๋ากว่า 10 คนมุ่งตรงมายังโรงกลั่นไวน์นี้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งเขายังสัมผัสได้ถึงจิตสังหารจากคนเหล่านี้อีกด้วย! ดังนั้นไม่จำเป็นต้องถาม คนพวกนี้ต้องเป็นคัตรูอย่างแน่นอน
ก่อนที่เขาจะออกไปก็ได้ส่งข้อความเสียงไปให้คนบ้าน ต้องเข้าใจว่าภรรยาของเขากับพี่สะใภ้ของเขานั้นเป็นผู้พิชิตดาราที่แท้จริง! เขาเลยให้พวกเธอรีบมาปกป้องซ่างกวนเสี่ยวฟู๋
ส่วนเขาก็จะออกมาด้านนอกโรงงาน ซึ่งก็พอดีกับคนนับสิบวิ่งมาถึงหน้าโรงงานกลั่นไวน์จนประจันหน้ากันพอดี แต่ละคนเมื่อมองเห็นคนแคระก็พากันหัวเราะยกใหญ่
เดิมทีพวกเขานึกว่าโรงงานไวน์อาจจะมียอดฝีมือสัก 2-3 คน แต่ไม่คิดว่าจะกลายเป็นคนแคระไปเสียได้ มองรูปร่างของอีกฝ่ายยอดฝีมือ 10 คนก็ไม่มีใครเห็นเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
“เด็กน้อยบ้านนายไม่มีคนตัวโต ๆ แล้วหรือไง ไปตามคนตัวใหญ่ออกมาเร็วเข้า ไม่งั้นบิดาจะบีบสมองของแกให้เละ ถึงตอนนั้นแกก็คงร้องไห้ไม่ได้แล้วนะ ฮ่าฮ่า” คนที่อยู้ด้านหน้าคนนับสิบ ปรายตามองกู้อี้ลี่ก่อนจะยื่นมือออกไปหาเขาพร้อมทั้งหัวเราะออกมา
เผ่าคนแคระกับรูปร่างเล็กเตี้ยเป็นของคู่กัน กู้อี้ลี่เมื่อโกนหนวดเคราออกแล้ว ในสายตาของคนทั่วไปเขาก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กอายุ 11-12 คนหนึ่ง