สุดยอดชาวประมง - บทที่ 321 ปกป้องและทำลาย
บทที่ 321 ปกป้องและทำลาย
บทที่ 321 ปกป้องและทำลาย
หลังจากมีอาหารเพียงพอแล้ว ฉู่เหินกับคนอื่น ๆ ก็ไม่กล้าทำอะไรมากนัก พวกเขาซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบ ๆ ตอนนี้ความหวังเดียวของพวกเขาคือรอให้ผู้อาวุโสของนิกายกิเลนส่งคนมาที่นี่เพราะขาดการติดต่อนานเกินไป หากเป็นแบบนั้นพวกเขาก็อาจจะรอด
โดยปกติพวกผู้อาวุโสจะมาที่นิกายทุกครึ่งเดือน ซึ่งมันก็อีก 1-2 วันนี้เอง! เพราะงานที่พวกเขาได้รับมอบหมายจากนิกายทำให้ได้รับสมบัติมากมาย หากขาดการติดต่อนานกว่า 10 วันคนที่นิกายสาขาหลักก็จะรู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
นี่เป็นเพียงความเชื่อมั่นและความคาดหวังในใจเท่านั้น ส่วนฉู่เหินเขาไม่เคยคิดว่าจะให้ใครมาช่วยชีวิตตัวเอง ล้อเล่นหรือไง? เขาฝึกฝนมาอย่างดี แถมถ้าพวกผู้อาวุโสนั้นมาจะมาตายซะเปล่า ๆ อีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป
ฉู่เหินรู้ว่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดของทางเขาคือโป๋อีกู่ แม้แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วโป๋อีกู่แข็งแกร่งขนาดไหน ไม่ใช่ว่าเขาไม่สนใจพวกของตัวเอง แต่เขาไม่รู้จริง ๆ แต่เขารู้ว่าโป๋อีกู่แข็งแกร่งมากและฉู่เหินก็จะไว้ใจเขา ถ้ารู้เยอะ มันอาจทำให้เขาหย่อนยานในการฝึกฝน เพราะมีลูกน้องที่เก่งเกินไป นั้นคือเหตุผลที่เขาไม่อยากถามอะไรโป๋อีกู่ แม้โป๋อีกู่อยากจะบอก ฉู่เหินก็ห้ามเอาไว้
หลังจากบอกความคิดนี้กับโป๋อีกู่ โป๋อีกู่เองก็พยักหน้าเห็นด้วย ถ้าอยากที่จะแข็งแกร่งจริง ๆ อย่าเอาแต่พึ่งพาคนรอบข้างมากเกินไป ต้องมีไหวพริบและระวังอันตรายตลอดเวลา แบบนี้จะสามารถก้าวหน้าและแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว!
แต่สิ่งที่ฉู่เหินไม่รู้ในตอนนี้ก็คือ โป๋อีกู่กำลังนั่งอยู่บนเรือและมุ่งหน้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว แต่เพราะทั้งสองอยู่ไกลเกินไปยิ่งเดินทางด้วยเรือยิ่งต้องใช้เวลาในการเดินทาง น่าจะอีกเป็นหลายวันกว่าพวกโป๋อีกู่จะมาถึง
5 วันต่อมาผู้คนที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ดินก็ได้แต่ฝึกฝนวิชาของตัวเอง พวกเขาไม่กล้ากินอาหารมากเกินไป พวกเขาจะกินก็ต่อเมื่อร่างกายต้องการเท่านั้น
มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นด้านนอกในเวลานี้ นิกายทั้งสามหลังจากที่รออยู่ 2-3 วัน พวกเขาก็พบว่าคนพวกนี้ไม่คิดที่จะกลับออกมา แต่ถ้าคนพวกนี้ไม่ถูกสังหารพวกเขาตายแต่ หลายคนสิ้นคิดฝ่าเข้าไปในค่ายกล
ผลที่ตามมาคือพวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตไป 20 กว่าคน ถ้าไม่ใช่เพราะผู้นำของทั้งสามกลุ่มออกมาปกป้องคนของพวกเขาอย่างรวดเร็ว และให้ทุกคนถอยกำลังออกมา พวกเขาคงตายกันหมด
กลุ่มคนที่ซ่อนตัวอยู่ที่เชิงเขาสังเกตการณ์อย่างลับ ๆ พวกเขาก่นด่าสาปแช่งนิกายทั้งสามนี้ในใจ คนกลุ่มใหญ่เช่นนี้จัดการกับคนแค่ไม่กี่สิบไม่ได้ แทนที่พวกเขาจะจับอีกฝ่ายได้กลับกลายเป็นว่าต้องมาบาดเจ็บล้มตายซะเอง! ทำให้คนที่กำลังสังเกตจากข้างนอกรู้สึกเจ็บปวดสุด ๆ! หลายต่อหลายครั้งที่พวกเขาเกือบจะออกไปทุบคนที่อยู่ตรงหน้า
ตอนนี้พวกเขาเองก็อดทดรอไม่ไหวแล้ว ตอนแรกก็ไม่เป็นไรแต่นานวันเข้ามันจะไปดึงดูดความสนใจของนิกายอื่น ๆ ในเกาะซาถัว เหตุการณ์นี้มันเริ่มเกินการควบคุมพวกเขาเกรงว่ามันจะล้มเหลว
เมื่อนึกถึงตอนที่ผู้แข็งแกร่งของนิกายต่าง ๆ โกรธ พวกเขาก็อยากจะเข้าไปแล้วบอกกับพวกสามกลุ่มนั่นให้ไสหัวไปซะ พวกเขาจะได้เข้าไปดูค่ายกลใกล้ ๆ ว่าจะทำลายมันยังไงดี แต่มีบางคนก็รู้ว่ายังทำไม่ได้
แต่แล้วหลังจากรออีก 1 วันพวกคนที่เชิงเขาก็ไม่สามารถรอได้อีกต่อไป เพราะผ่านไป 6 วันแล้วที่คนอื่นบนเกาะซาถัวไม่เห็นผู้คนจากนิกายทั้ง 4 เลยหลายฝ่ายเริ่มสงสัย
แต่กลุ่มคนที่ซุ่มอยู่ที่เชิงเขาก็ไม่กล้าลงมือ หากกล้าลงมือจริง ๆ พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่น่ากลัวกว่าความตาย!
ด้วยความสิ้นหวัง หลายคนมองหน้ากันและตัดสินใจ มีคนหนึ่งรออยู่ที่เชิงเขาและอีกหลายคนรีบขึ้นไปบนยอดเขา พวกเขาจะฆ่าพวกนิกายทั้งสามนี้ ก่อนหลังจากจัดการนิกายทั้งสามไปแล้วพวกเขาก็จะทำลายค่ายกลนั่นต่อ แบบนี้ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาแน่!
ณ จุดนี้ห่างออกไปหลายพันไมล์ ที่นี่คือเกาะขนาดใหญ่! พื้นที่ของเกาะทั้งหมดไม่เล็กไปกว่าเกาะซาถัวไม่สิมันใหญ่กว่าด้วยซ้ำ แต่เกาะแห่งนี้เป็นเกาะที่มีนิกายเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นและนั่นคือนิกายกิเลน!
เหนือห้องโถงของนิกายกิเลน ชายวัยกลางคนในวัย 50 กำลังนั่งตัวตรง มีผู้คนหลายสิบคนในแต่ละด้านของเขา! เมื่อมองดูขั้นพลังของคนเหล่านี้ก็น่าทึ่งมาก แม้แต่ขั้นราชันดาราที่ซุ่มโจมตีบนเกาะซาถัวยังด้อยกว่าเมื่อเทียบกับพวกเขา
“ทุกคน ฉันคิดว่าพวกนายน่าจะรู้แล้วทางเราขาดการติดต่อจากนิกายสาขาเกาะซาถัวมา 5-6 วันแล้วไม่ใช่แค่ไม่มีคนเข้าส่งของ ไม่มีแม้แต่ข่าวคราวเลย ฉันสงสัยว่าอาจมีบางอย่างเกิดขึ้น ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสทั้งหลายยินดีที่จะไปที่นั่นหรือไม่!” คนที่พูดก็คือประมุขของนิกายกิเลน หยูเหวินเชิงเฟิง
“ท่านประมุข ลูกศิษย์ที่อยู่บนเกาะนั้น ประพฤติตัวดีมากพวกเขาจะส่งข้อความมาถึงฉันทุก ๆ 3 วันเพื่อรายงานความสงบสุขทุกอย่าง แต่ตอนนี้มันก็ล่วงเลยมากว่า 6-7 วันแล้วโดยที่ไม่มีข่าวใด ๆ เลย! แต่ก่อนหน้านี้มีคนส่งข่าวมาบอกว่าพวกเขาเจอสมบัติล้ำค่า และตอนที่พวกเขาได้รับสมบัติมาก็ถูกพบโดยนิกายอื่นเข้า บางทีพวกเขาอาจจะถูกโจมตีก็ได้!”
“ในตอนแรกฉันไม่ได้สนใจมันนัก แต่ตอนนี้ฉันเริ่มคิดแล้วว่ามันเป็นเพราะว่าสมบัตินั้น! แต่สมบัตินั้นล้ำค่าพอที่จะทำให้ขั้นราชันดาราพวกนั้นลงมือได้เลยงั้นเหรอ…”
หลังจากพูดถึงตรงนี้เขาก็ไม่ได้พูดต่อ แต่ทุกคนที่นี่เป็นคนฉลาด ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจความหมาย หากขั้นราชันดาราพวกนั้นลงมือจริง ๆ พวกที่สาขาคงตายหมดแล้ว!
ถ้าคนที่ลงมือหนีไปซ่อนตัวแล้วจะหามันเจอได้ยังไง? การหาคนไม่กี่คนบนโลกที่กว้างใหญ่นั้นช่างยากเย็นยิ่ง แถมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็พัฒนาขึ้นมาก พวกเขาสามารถทำการดัดแปลงหน้าตาได้อย่างง่ายดายแล้วคนที่ลงมืออาจจะปรากฏตัวต่อหน้าโดยที่ไม่มีใครรู้ตัวเลยว่าอีกฝ่ายเป็นคนร้าย ไม่แน่ว่าคนที่คืออยู่ด้วยกันตลอดเวลาอาจจะเป็นศัตรูก็ได้
มันฟังดูน่ากลัว แต่มันก็เกิดขึ้นได้จริง ๆ แม้พวกเขาแข็งแกร่งแต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไร้เทียมทานจนไปเป็นศัตรูกับใครก็ได้! เรื่องนี้พวกเขาต้องคิดดูให้ดีก่อนลงมือ
หลังจากคิดเกี่ยวเรื่องนี้ พวกเขาก็ยืนขึ้นคารวะ หยูเหวินเชิงเฟิง เพื่อแสดงว่าพวกเขาเต็มใจที่จะไป ไม่ว่าจะอีกฝ่ายจะเป็นใครแต่ถ้ามันกล้ากระตุกหนวดเสือ นิกายกิเลนก็จะเข้าต่อสู้อย่างไม่เกรงกลัว แม้อีกฝ่ายจะเป็น 4 ทรราช 5 เกาะ หรือต่อให้เป็นบุตรแห่งสวรรค์ก็ตาม นิกายกิเลนก็ไม่กลัว!
ในฐานะลูกผู้ชายอกสามศอก หยูเหวินเชิงเฟิง ไม่ลังเลที่จะส่งผู้อาวุโสออกไป คนที่เขาส่งไปคือ จือซิน เธอเป็นผู้หญิงวัย 40 ปี และเพิ่งเข้าสู่ขั้นจักรพรรดิดาราระดับต้นได้ ในสายตาของหยูเหวินเชิงเฟิง เขาอยากส่งจือซินไปยังเกาะซาถัวเพื่อดูก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้น