สุดยอดชาวประมง - บทที่ 337 สระน้ำอมฤต
บทที่ 337 สระน้ำอมฤต
บทที่ 337 สระน้ำอมฤต
เนื่องจากพวกเขารู้ว่าฉู่เหินฝึกวรยุทธได้ยังไม่ทันจะถึงครึ่งปีด้วยซ้ำ ในระยะเวลาสั้น ๆ นี้คนธรรมดาคนหนึ่งก็สามารถทะลวงถึงขั้นผู้พิชิตดาราได้แล้ว ความเร็วในฝึกตนแบบนี้มันน่าเหลือเชื่อเกินไป
อีกทั้งจากที่พวกเขาสังเกตมาก็พบว่าฉู่เหินมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับผู้แข็งแกร่งแห่งทะเลโบ๋ไห่คนนั้น (บรรพบุรุษเงือก) ผู้แข็งแกร่งคนนั้นอาจจะช่วยสนับสนุนฉู่เหินก็ได้แต่ถึงเป็นอย่างงั้น การที่ฝึกตนได้รวดเร็วขนาดนี้ถือว่าฉู่เหินเป็นอัจฉริยะที่ท้าทายกฎเกณฑ์สวรรค์จริง ๆ
หยูเหวินเชิงเฟิงหัวหน้าแห่ง นิกายกิเลนนั่งรออยู่ในตำหนักใหญ่นานแล้ว หลังจากเห็นกลุ่มคนเขาก็เดินออกจากตำหนักใหญ่ไปต้อนรับด้วยตัวเอง การต้อนรับที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ไม่ค่อยเกิดขึ้นนัก นอกเสียจากจะมี นิกายอื่นที่แข็งแกร่งใกล้เคียงกันมาเยือน ไม่เช่นนั้นก็จะไม่มีการต้อนรับแบบนี้แน่
แต่ที่เขาออกมาต้อนรับฉู่เหินเช่นนี้เพราะว่าฉู่เหินต้องตกอยู่ในอันตรายเพื่อช่วยศิษย์ในนิกายของเขา จึงถือได้ว่านิกายกิเลนติดหนี้ฉู่เหินอย่างใหญ่หลวง ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้มีหรือที่เขาจะออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง
เขาตรวจสอบอาการบาดเจ็บของฉู่เหินด้วยตัวเองสักพัก หยูเหวินเชิงเฟิงก็ขมวดคิ้วเขาพบว่าฉู่เหินได้รับบาดเจ็บสาหัสหนักมาก หากอยากรักษาเขาให้หายขาดในทันที คงจะต้องส่งฉู่เหินไปยังหุบเขาบรรพบุรุษกิเลนเท่านั้น
ที่หุบเขาบรรพบุรุษกิเลนมีสระน้ำอมฤตอันแสนวิเศษ ทว่าการจะเข้าไปในนั้นจะต้องเป็นคนของนิกายกิเลนเท่านั้น คนนอกเข้าไม่ได้ นี้เป็นกฎขั้นพื้นฐานที่แม้แต่ประมุขก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกฎได้ การรักษาฉู่เหินนั้นนอกจากสระอมฤตแล้วก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว
เทียบกับอาการบาดเจ็บของโม่เจียวแล้วยังไม่สาหัสเท่าไร อาศัยเพียงยาไม่กี่ตัวบวกกับเลือดกิเลนของพวกเขา ครึ่งเดือนเด็กสาวก็ฟื้นแล้วแถมอาจทำให้เธอก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นได้เลย
“มีเรื่องหนึ่งที่ฉันไม่รู้ว่าควรบอกหรือไม่” หลังคิด ๆ ดูแล้วหยูเหวินเชิงเฟิง ก็ถามออกไป
“ท่านอาวุโสมีเรื่องอะไรก็บอกมาเถอะขอรับ” โป๋อีกู่ก้าวออกมาข้างหน้า
หยูเหวินเชิงเฟิงพร้อมกับคาราวะ นัยน์ตาแสดงความเลื่อมใสเพราะโป๋อีกู่สัมผัสได้ว่าประมุขคนนี้มีวรยุทธ์แข็งแกร่งกว่าสี่ราชากิเลนซะอีก อาจจะแข็งแกร่งชนิดคนละขั้นกันเลยก็ได้
“หลานชายฉู่เหินคนนี้ได้บาดเจ็บสาหัสมากเกินไป หากต้องการฟื้นฟูอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้วละก็ ต้องส่งไปแช่ในสระน้ำอมฤตที่หุบเขาบรรพบุรุษกิเลนเท่านั้น แต่ที่นี่มีกฎอยู่ว่าถ้าไม่ใช่ศิษย์นิกายกิเลนแล้วละก็จะไม่อนุญาตให้เข้าไป ดังนั้นฉันจึงอยากจะถามว่าหลายชายฉู่เหินคนนี้มีนิกายมีสำนักอยู่แล้วหรือไม่”
เมื่อได้ยินหยูเหวินเชิงเฟิงบอกดังนั้น โป๋อีกู่ก็ขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด เขาจำได้ว่าฉู่เหินไม่เคยบอกว่าตัวเองอยู่นิกายหรือสำนักไหนมาก่อน ดูเหมือนว่าฉู่เหินจะไม่มีนิกายหรือสำนัก สังกัดอยู่ทว่าเขาก็ไม่สามารถยืนยันได้ ทำได้เพียงส่งสายตาไปยังเสี่ยวชิง หวังให้เธอเป็นคนตอบคำถามนั่น
“ท่านประมุขนิกายโปรดวางใจ พี่ฉู่ ไม่มีนิกายสังกัดอยู่หรอกค่ะ เขาฝึกฝนวรยุทธ์ด้วยตัวเอง บางครั้งก็ออกทะเลหาปลาเท่านั้น ถ้าหากท่านยังไม่วางใจ ฉันยืนยันเข้านิกายกิเลนแทนพี่ฉู่ให้เองก็ได้!” เสี่ยวชิงเป็นผู้หญิงที่ฉลาดและสุขุม เธอรู้ทันทีว่าคำถามของหยูเหวินเชิงเฟิงนั้นต้องการอะไร
“เธอบอกว่าหลานชายฉู่เหินคนนี้ไม่มีนิกายงั้นเหรอ!” พอหยูเหวินเชิงเฟิงได้ยินที่เสี่ยวชิงพูด บอกตามตรงว่าเขาตกใจมาก การที่พวกเขานิกายกิเลนได้พบอัจฉริยะอย่างฉู่เหินเข้าแบบนี้เกรงว่าจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดในรอบ 100 ปี
“แต่มีคนบอกฉันว่า ความสัมพันธ์ระหว่างฉู่เหินกับผู้แข็งแกร่งแห่งทะเลโบ๋ไห่นั่นแน่นแฟ้นยิ่ง ฉู่เหินไม่ใช่ลูกศิษย์ของคน ๆ นั้นงั้นเหรอ”
เสี่ยวชิงได้ยินก็เงียบไปชั่วอึดใจก่อนตอบกลับออกมา “ผู้อาวุโสท่านนั้นฉันมีโอกาสได้พบอยู่ครั้งหนึ่ง เธอเรียกพี่ฉู่เหินว่าหลานชาย ไม่ใช่ลูกศิษย์อย่างแน่นอน อีกทั้งพี่ฉู่เหินฝึกฝนวรยุทธ์อย่างเปิดเผยแถมยังเอาไปสอนคนอื่นอีกด้วย”
“แค่มีคนอยากเรียนหากว่าคน ๆ นั้นเป็นคนดีมีคุณธรรม พี่ฉู่เหินก็ไม่ลังเลที่จะสอนวรยุทธ์ให้เลยแม้แต่น้อย! ในพวกของเรามีไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่ได้เรียนวรยุทธ์จากพี่ฉู่เหิน”
ผู้คนในนิกายกิเลนเมื่อได้ยินดังนั้นก็แอบตกใจไปตาม ๆ กัน ต้องเข้าใจว่าในโลกแห่งนี้วรยุทธ์ส่วนตัวเป็นความลับไม่สอนคนอื่นกันง่าย ๆ แต่ฉู่เหินบ้าไปแล้วเขาฝึกฝนวรยุทธ์สำเร็จแล้วยังไม่ห่วงแหนไปสอนคนภายนอกอีกสามารถบอกได้เลยว่าคน ๆ นี้นั้นใจกว้างดุจมหาสมุทรจริง ๆ
แน่นอนว่าที่สำคัญคือเขาไม่มีนิกายสังกัดอยู่อย่างแน่นอน ถ้าหากว่ามีอาจารย์สอน อาจารย์คงฆ่าเขาไปเพราะไปสอนวิชาคนอื่นตามอำเภอใจเมื่อพวกเขารู้ว่าฉู่เหินไม่มีนิกายสังกัดอยู่ พวกเขาก็ดีอกดีใจกันมาก
เพราะฉู่เหินไม่มีนิกายอยู่ก็สามารถร่วมเข้านิกายกิเลนได้และยังสามารถเข้าไปใช้สระน้ำอมฤตได้อีกด้วย
สระน้ำอมฤตนี้นอกจากจะเป็นสถานที่ฝึกตนอันล้ำค่า ยังเป็นต้นกำเนิดแห่งพลังอีกด้วย แค่ฝึกที่นี่ 1 ปีก็เท่ากับฝึกภายนอกถึง 10 ปี! อีกทั้งถ้าเข้าใจถึงแก่นแท้ได้อย่างลึกซึ้ง พลังวิญญาณก็จะแข็งแกร่งมากขึ้นอีกด้วย
เรื่องพลังวิญญาณแข็งแรงหรืออ่อนแอ นิกายอื่น ๆ นั้นไม่ค่อยใส่ใจมากนัก ทว่า นิกายกิเลน ไม่ใช่แบบนั้น มีเคล็ดวิชามากมายในนิกายกิเลนที่ต้องใช้พลังวิญญาณถึงจะสำเร็จวิชา วิญญาณในร่างกายของคนเรียกว่าวิญญาณ ส่วนที่เอาออกมาใช้ก็จะเรียกว่าแก่นวิญญาณ
ถ้าพูดถึงความแข็งแก่รงของแก่นวิญญาณแล้ว น่ากลัวในขั้นพลังเดียวกันคงไม่มีใครเทียบได้กับฉู่เหินอีกแล้ว ดังนั้นการเดินทางไปยังสระอมฤตในครั้งนี้ สำหรับฉู่เหินถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่!
“เนื่องจากหลานชายฉู่เหินสลบไม่ได้สติอยู่ จึงไม่สามารถเข้านิกายได้ด้วยตัวเอง งั้นภรรยาของฉู่เหิน หลิวเสี่ยวชิงก็เป็นตัวแทนยืนยันว่าสามีจะเข้านิกายกิเลนก็แล้วกัน รอให้ฉู่เหินฟื้นตัวดีแล้วค่อยให้เขาคาราวะเข้านิกายอย่างเป็นทางการอีกที” ประโยคดังกล่าวคล้ายกับสายลมที่พัดพาเรื่องราวเหล่านี้ให้ใกล้ฝั่งมากยิ่งขึ้น ที่จริงแล้วเพราะฉู่เหินได้รับบาดเจ็บ จึงไม่สามารถเป็นคนพายเรือต่อไปได้แล้ว
เสี่ยวชิงเลยเป็นคนคาราวะเข้านิกายแทนฉู่เหินด้วยตัวเอง หยูเหวินเชิงเฟิง เห็นว่าเสี่ยวชิงอายุยังน้อยแต่สามารถฝึกวรยุทธมาได้จนถึงขั้นนี้ ดังนั้นเขาจึงขอให้เธอมาเข้านิกายกิเลนเช่นเดียวกันฉู่เหิน เมื่อเป็นเช่นนี้ฉู่เหินก็กลายเป็นศิษย์แห่งนิกายกิเลนไปโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นหยูเหวินเชิงเฟิงก็พาฉู่หินไปยังสระน้ำอมฤต หากพูดถึงสระน้ำอมฤตมันก็คือบ่อน้ำที่มีความกว้าง 10 เมตร หลังจากวางฉู่เหินลงในสระแล้วบอกให้ชายชราที่ดูแลสระค่อยดูแลฉู่เหินที่นี่ เขาก็เดินจากมามีหลายอย่างในนิกายที่กำลังรอเขาไปจัดการอยู่
หลังร่างของฉู่เหินถูกวางไว้ในสระ พลังดวงดาวมหาศาลที่แฝงอยู่ในสระน้ำอมฤตหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายฉู่เหินโดยไม่จำเป็นต้องโคจรพลังด้วยตัวเองเลยด้วยซ้ำ เพราะร่างกายของเขาโคจรพลังเองโดยอัตโนมัติ ที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่มีพลังดวงดาว ยังเต็มไปด้วยสสารพิเศษหนึ่งชนิด สสารชนิดนี้มีคุณลักษณะเป็นตัวช่วยในร่างกายที่บาดเจ็บได้รับการฟื้นฟู
หลังจากที่เจ้าสสารชนิดนี้เข้ามาในร่างกายของฉู่เหิน พลังกิเลนภายในร่างก็ถูกปลดปล่อยออกมาและโคจรพลังวนเวียนอยู่รอบตัว ในขณะที่กำลังโคจรพลังอยู่นั้นพลังทั่วสระน้ำอมฤตก็เข้าสู่ร่างกายของฉู่เหินอย่างบ้าคลั่ง ใจกลางสระน้ำค่อย ๆ ปรากฏคลื่นน้ำวนที่ยิ่งขยายใหญ่ขึ้นทุกขณะจนสุดท้ายก็ปกคลุมไปทั่วทั้งสระน้ำอมฤต
พลังของสระน้ำอมฤตเข้าสู่ร่างกายของฉู่เหินโดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่วันแต่มีเหล่าลูกศิษย์อัจฉริยะเข้ามาในนี้ และพวกเขาก็พบว่าสระน้ำอมฤตเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ขึ้นตลอดเวลาที่ฉู่เหินสลบไสลอยู่
การเปลี่ยนแปลงของสระน้ำอมฤตอยู่ในสายตาของชายชราทั้งหมด เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะเข้าไปตรวจสอบ แต่พอก้าวเข้าไปไม่ทันไรก็พบว่าในนั้นคล้ายกับมีค่ายกลป้องกันไม่ให้ใครเข้าไปใกล้ทำให้ เขารู้สึกว่ากำลังจะได้เห็นเรื่องราวอันยิ่งใหญ่บ้างอย่างที่คาดไม่ถึง!