สุดยอดชาวประมง - บทที่ 343 สามเรื่อง
บทที่ 343 สามเรื่อง
บทที่ 343 สามเรื่อง
ขนาดคนที่พลังน้อยที่สุดอย่างตงโกวจีหยาง ยังเลื่อนเป็นขั้นเต๋าระดับสูงพิสูจน์ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีผลทุกคนอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากรู้ว่าฉู่เหินออกจากณานแล้ว คนของนิกายกิเลนก็พากันออกมาต้อนรับ แต่ศิษย์ธรรมดาที่มามีน้อยมาก ส่วนมากจะเป็นเหล่าผู้อาวุโสและเหล่าราชาทั้งหลาย เพราะมีแค่คนระดับสูงเท่านั้นที่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงของนิกายกิเลนในครั้งนี้เกี่ยวเนื่องมาจากฉู่เหิน
คนกลุ่มนี้เลยต้องออกมาทักทายฉู่เหิน หยูเหวินเชิงเฟิงเป็นคนบอกฉู่เหินเรื่องการรับเข้านิกายกิเลนก่อนทันที ทุกคนฟังที่ประมุขนิกายกล่าวด้วยบรรยากาศอันเงียบเชียบ เพราะพวกเขากลัวว่าฉู่เหินจะไม่ตกลง ถ้าเป็นแบบนั้นนิกายกิเลนไม่เพียงต้องเสียอัจฉริยะคนหนึ่งไปอย่างน่าเสียดาย แต่พวกเขายังพลาดโอกาศที่จะกลายเป็นนิกายระดับ 1 อีกด้วย
“แม้ประมุขจะไม่บอก ผมก็อยากจะเข้านิกายกิเลนอยู่แล้ว แต่ผมกังวลว่าอาศัยวรยุทธอันต่ำต้อยของผมจะทำให้ประมุขไม่พอใจ! ในเมื่อประมุขนิกายเป็นคนออกปากเช่นนี้ ทางผมก็ไม่มีอะไรให้ต้องปฏิเสธ” ฉู่เหินพูดอย่างจริงใจ ทำให้ทุกคนยิ้มออกมาได้ในที่สุด
ต่อมาพวกเขา็จัดพิธีรับลูกศิษย์เข้านิกายใหม่อีกครั้ง เพราะครั้งก่อนเป็นเสี่ยวชิงที่ทำพิธีแทนฉู่เหิน จึงไม่ยึดถือเป็นจริงจังเห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ดูเป็นพิธีการกว่ามาก หลังจาก คำนับเหล่าอาจารย์และกล่าวคำปณิธานเข้านิกายเสร็จสิ้น เหล่าผู้อาวุโสและเหล่าราชาทั้งหลายก็สบายใจขึ้นมาก
ตอนนี้ทุกคนก็เป็นเหมือนพี่น้องกันแล้ว การพูดการจาไม่ต้องระมัดระวังขนาดนั้นแล้ว คนที่เข้านิกายกิเลนมีแค่ฉู่เหินกับเสี่ยวชิงสองคน คนอื่น ๆ ในกลุ่มของฉู่เหินไม่ได้เข้านิกาย แต่ทั้งสองมีอิทธิพลแก่พวกเขายิ่ง ดังนั้นคนอื่น ๆ ก็ถือว่าเข้านิกายมาครึ่งตัวแล้ว
แต่ว่าซ่างกวนชิงเฟิงจิตใจร้อนรน ครั้งนี้ลูกสาวของเขาขอความช่วยเหลือให้รีบนำคนเก่ง ๆ ของตระกูลมาช่วย แต่ระหว่างทางเขาก็ได้ยินเรื่องราวมากมายจนฟังไม่ทัน
พวกตระกูลซ่างกวนแม้จะเป็นรู้จักกันในยุทธภพ แต่เมื่อเอามาเทียบกับนิกายกิเลนแล้วช่างห่างใกล้ฝ่ายนั้นทิ้งห่างแบบไม่เห็นฝุ่น! และเขารู้ดีว่านิกายกิเลนเป็นนิกายที่แข็งแกร่งในท้องทะเล
ถ้าเขาให้คนในตระกูลตัวเองเข้านิกายกิเลนได้ ในอนาคตคระกูลของเขาก็จะได้ครอบครองพลังอันไร้ขีดจำกัด อีกทั้งเขากับฉู่เหินก็มีความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างกันอย่างไรก็ไม่อาจละทิ้งไปได้
ระหว่างที่เขารออยู่ที่นิกายกิเลนมาหลายวัน เขาก็เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าขนาดยังไม่ใช่ศิษย์ของนิกายจริง ๆ แม้แต่คนกวาดพื้นวรยุทธก็ไม่น้อย ๆ เลย คนอายุ 30-40 ที่นี่ก็เป็นผู้พิชิตดาราขึ้นไปกันหมด!
ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ มีหรือที่เขาจะรู้สึกใจเต้น ลองคิดดูสิถ้าพวกเขาทั้งตระกูลพลังต่ำที่สุดยังเป็นขั้นผู้พิชิตดารา แบบนั้นจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน
เมื่อครุ่นคิดถึงตรงนี้เสร็จ ซ่างกวนเสี่ยวฟู๋ก็ดอม ๆ มอง ๆ หาฉู่เหินและวางแผนว่าจะคุยกับอีกฝ่ายดูสักหน่อย ฉู่เหินได้ยินแผนการแล้วก็ขมวดคิ้วเรื่องนี้ทำให้เขาค่อนข้างลำบากใจ ที่นี่มีมาตรฐานการรับศิษย์เข้านิกายนิกายกิเลนไม่มีทางรับซ่างกวนเสี่ยวฟู๋และตระกูลซ่างกวนเป็นศิษย์แน่
เพราะอยู่ดี ๆ ถ้าวันหนึ่งมีตระกูลอยากเข้านิกายพวกเขาต้องคิดว่ามีเจตนาบางอย่าง ๆ ซ่อนอยู่แน่ ๆ แล้วหากว่าเข้าช่วยให้ตระกูลใครสักคนเข้านิกายได้แล้วต่อไปเขาก็ต้องช่วยคนที่เหลืออย่างหลีกเลี่ยง
แต่มองกลับกัน หากว่านิกายอยากพัฒนาบุคลากร แค่ที่นี่ไม่พอแน่ ๆ นิกายกิเลนมีสาขาย่อยอยู่เหมือนกับรากที่แตกระแหงของต้นไม้ใหญ่ ถ้าต้องการหล่อเลี้ยงรากต้นไม้ก็ไม่ควรที่จะรวบกันเป็นกระจุกใหญ่จุดเดียว เพราะเหตุนี้ต้นไม้ใหญ่ทุกต้นจึงได้มีรากเล็ก ๆ มากมายกระจายไปทุกสารทิศ
วันนี้เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่ซ่างกวนชิงเฟิงพูดแล้ว เขาก็บอกซ่างกวนชิงเฟิงให้กลับไปรอข่าวคราวเสียก่อน เรื่องนี้เขาจำเป็นต้องคุยกับประมุขนิกายกิเลนอย่างหยูเหวินชิงเฟิงเสียก่อน
……
……
เมื่อตกดึกฉู่เหินจึงไปหาหยูเหวินชิงเฟิงเป็นการส่วนตัว
“อ้าว หลานชายนี่เอง โถ่นึกว่าใคร! มีเรื่องอะไรหรือเปล่า มา ๆ เข้ามานั่งก่อนค่อยว่ากัน!” หยูเหวินชิงเฟิงท่าทางกระตือรือร้นรีบทักทายฉู่เหินให้มานั่งพูดคุยกับตัวเอง มันไม่เหมือนมารยาทแบบปกติ เพราะสถานะของอีกฝ่ายยิ่งใหญ่เป็นถึงประมุขของนิกาย ทำให้ฉู่เหินชะงักไปเลย หรือว่าท่านประมุขมีเรื่องอะไรให้กังวลใจ
“ท่านประมุขไม่ต้องสุภาพหรอกครับ การที่ผมมาดึกดื่นเช่นนี้เพราะว่ามีเรื่องจะมาปรึกษา แต่ท่านประมุขท่าทางเคร่งเครียด ทำให้ผู้น้อยอดสงสัยไม่ได้ว่าประมุขมีเรื่องอะไรให้กังวลใจแบบนี้” ฉู่เหินเอ่ยออกมา
ฉู่เหินหยุดไปครู่หนึ่งและพูดต่อ “หรือว่าเรื่องงานประลองร้อยนิกายที่จะจัดขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้า! ผมสอบถามรายละเอียดต่าง ๆ มาจากศิษย์คนอื่น ๆ แล้ววันนี้ผมเลยมาหาท่านเพื่อขจัดความกังวลให้ครับ!”
หลังจากที่ซ่างกวนชิงเฟิงฝากฝังเรื่องเอาไว้ ฉู่เหินก็กลับไปคิดอย่างละเอียด เขาจำเป็นต้องหาวิธีที่ตระกูลซ่างกวนเข้านิกายกิเลนได้ง่าย ๆ ไม่ทำให้นิกายกิเลนเสียประโยชน์ ไม่เช่นนั้นเขาจะดูเป็นคนที่ชั่วร้ายมากที่บังคับนิกายกิเลนให้รับตระกูลซ่างกวนเข้านิกาย แต่พอได้เห็นสีหน้าของ
หยูเหวินชิงเฟิง เขาก็คิดออกทันที
พูดคุยกับหยูเหวินชิงเฟิงสักพัก เขาก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังกลุ้มใจอยู่จริง ๆ เดาว่าใน 80-90% ต้องหนีไม่พ้นเรื่องทั้งสามนั้นแน่ ๆ!
เรื่องแรก อีก 3 เดือนจะมีงานประลองร้อยนิกาย ครั้งถ้านิกายกิเลนแสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มจะต้องได้อันดับดี ๆ แน่มันจะผลดีต่อนิกายมาก และรางวัลของการแข่งขันก็ยอดเยี่ยม แม้วันข้างหน้าพวกเขาอาจได้เป็นนิกายระดับ 1 แต่นั่นมันเป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้พวกเขาจนมาก!
เรื่องที่สอง การเป็นนิกายระดับ 2 นั้นทำให้ทรัพยากรมีข้อจำกัด และเมื่อเป็นเช่นนั้นนิกายระดับ 1 ก็ไม่มีทางยอมตกลงมาเป็นนิกายระดับ 2 แน่ ถ้านิกายกิเลนอยากเป็นนิกายระดับ 1 งั้นเส้นทางก็ยังอีกยาวไกล ความแตกต่างระหว่างนิกายระดับ 1 และระดับ 2 ก็คือความมั่งคั่ง
ความมั่งคั่งก็คือทรัพยากรการฝึกตน ไม่ว่าจะเป็นท้องทะเลหรือแผ่นดินใหญ่ มันก็มีขีดจำกัดอยู่ ความแข็งแกร่งถ้ามีพรสวรรค์และตั้งใจฝึกฝนใคร ๆ ก็แข็งแกร่งได้ แต่การจะรักษาอำนาจของนิกายเอาไว้ไม่ใช่เรื่องง่าย?
แม้ว่าในโลกอันกว้างใหญ่จะมีผู้คนมากมาย แต่การจะหาคนที่จงรักภักดีต่อนิกายนั้นหายากเสียยิ่งกว่ายาก ต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่แท้จริงเท่านั้นถึงจะไม่มีใครกล้าทรยศ นี้คือเรื่องที่สอง!
เรื่องที่สามคือศิษย์ที่โดดเด่น จะเข้านิกายก็ต้องรวมสุขรวมทุกข์กันอย่างยาวนาน? ดังนั้นความเป็นมาและความสัมพันธ์ของศิษย์นิกายก็สำคัญ ไม่งั้นจะรุ่งเรื่องได้ยังไง? ถ้าไม่มีศิษย์ในนิกายที่โดดเด่น เช่นนั้นนิกายก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะพัฒนา เพราะไม่มีแบบอย่างที่ดีสำหรับเหล่าศิษย์ที่เข้าถึงได้ง่าย ถ้าไม่มีการเข้าถึงเหล่าศิษย์ความคิดของพวกเขาอาจเป็นอื่น
แม้คนในโลกนี้จะมีมากมาย แต่ใครจะรับรองได้ว่าวันข้างหน้าศิษย์เหล่านี้จะจงรักภักดีต่อนิกาย ไม่แน่ว่าเหล่าศิษย์อาจเป็นคนโจมตีนิกายของตัวเองก็ได้!
ฉู่เหินพูดทั้งสามเรื่องออกไปทำให้หยูเหวินชิงเฟิงที่ฟังถึงกับดวงตาเปร่งประกาย เรื่องพวกนี้เดิมทีเขาคิดอยู่ตลอด เพียงแต่ไม่รู้จะระบายมันออกยังไงเท่านั้น นิกายจะพัฒนาไปข้างหน้าได้นั้นขึ้นอยู่กับประมุข
ในบรรดานิกายทั้งหลาย ทุกคนจะสนใจเพียงเรื่องการฝึกฝนวรยุทธของตัวเองเท่านั้น ไม่เคยคิดถึงเรื่องอื่นนอกจากเรื่องของตัวเองเลย ทำให้หยูเหวินชิงเฟิงรู้ว่าการวางแผนว่ายากแล้วการคุมคนกลับเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า
ถ้าเขาอยากทำให้นิกายกิเลนเป็นนิกายระดับ 1 เขาต้องทำให้นิกายเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริง!