สุดยอดชาวประมง - บทที่ 357 ฉู่เหินฝึกเสร็จ
บทที่ 357 ฉู่เหินฝึกเสร็จ
บทที่ 357 ฉู่เหินฝึกเสร็จ
ยังไม่ทันได้คิดอะไร อาเหมาก็ปรากฏตัวด้านข้างทั้งสองทันที
“อาเหมา ขอต้อนรับท่านทั้งสอง ท่านทั้งสองเพิ่งมาถึงคงไม่รู้เส้นทางที่นี่อาเหมายินดีเป็นผู้นำทางให้นะขอรับ” อาเหมายิ้มกว้างให้กับทั้งสองคน ครั้งก่อนที่เขานำทางให้ฉู่เหินได้เงินมาไม่น้อย ดังนั้นพอรู้ว่าอีกไม่กี่วันจะมีคนมาอีก เขาก็มารอที่หน้าประตูนานแล้ว
“ผู้นำทางอะไร ท่านปู่คนนี้ไม่ต้องมีคนนำทาง ไสหัวไปซะ ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันใจร้าย! แกมันก็แค่เด็กที่โตมาในเมืองโบราณเท่านั้น ไม่ต้องมายุ่งกับท่านปู่คนนี้อีกนะ!” หลังจากหวังจือหลินพูดประโยคนี้จบก็จากไปไม่สนใจอาเหมาอีก
เด็กหนุ่มชุดขาวขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าหวังจือหลินพูดกับเด็กแรงเกินไปแล้ว มาต่างแดน ย่อมต้องมีคนนำทาง ยังไงก็ดีกว่าเดินสุ่มสี่สุ่มห้าด้วยตัวเองไม่ใช่หรือ คน ๆ นี้คิดว่าตัวเองเก่งเลยไม่สนใจผู้อื่น น่ารังเกียจเป็นที่สุด!เขาถอนหายใจและไม่อยากจะสนใจหวังจือหลินอีก
“เธอชื่อว่าอาเหมาสินะ ฉันถามหน่อยสิ ก่อนที่พวกฉันจะมามีคน ๆ หนึ่งมาถึงที่นี่ก่อนแล้วสินะ เธอรู้นิกายหรือว่าชื่อของคน ๆ นั้นหรือเปล่า” เด็กหนุ่มชุดขาวถามสิ่งที่ค้างคาใจของเขาออกไป อย่างที่เขาว่ากันรู้เขารู้เขา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ยิ่งรู้ว่าศัตรูเยอะมากเท่าไร ก็จะดีกับตัวเองมากเท่านั้น
“เรียนคุณชาย ไม่กี่วันก่อนมีคุณชายอีกคนมาที่นี่จริง ๆ ชายหนุ่มท่านนั้นร่ำรวยมหาศาล ส่วนเรื่องนิกายนั้นข้าน้อยไม่รู้แน่ชัด ข้าน้อยรู้แค่เพียงว่าคุณชายท่านนั้นแซ่ฉู่ นามว่าเหินขอรับ” หลังจากได้ยินที่อาเหมาพูด เด็กหนุ่มชุดขาวก็ตัวสั่นสะท้าน แววตาเต็มไปด้วยความปิติยินดี
“เธอรู้ไหมว่าชายคนนั้นอยู่ที่ไหน รีบพาฉันไปหาเขาเร็ว! แล้วฉันจะให้ค่าตอบแทนเธออย่างงาม” ทันทีที่อาเหมาได้ยินคำว่าค่าตอบแทน เขาก็โยนถูกอย่างในหัวทิ้งทั้งหมด เดินนำทางอย่างอารมณ์ดี
ขณะที่เด็กหนุ่มชุดขาวไปหาฉู่เหิน อีกด้านหลังจากที่ หวังจือหลิน เดินทอดน่องในเมืองโบราณก็พบว่าคนที่นี่ไม่มีใครสนใจเขาเลย ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ ในความคิดของเขา เขามาที่นี่ก็เพื่อช่วยเหลือคนเหล่านี้ แล้วทำไมคนพวกนี้ถึงไม่สนใจเขาเลย เรื่องนี้เขาไม่อาจปล่อยไปได้
“พี่ ป้า น้า อาทั้งหลาย ผู้น้อยมีนามว่า หวังจือหลิน มาที่นี่เพื่อกำจัดพวกซอมบี้ ขจัดสิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องพะวงหน้าพะวงหลัง หวังว่าทุกท่านจะให้ความร่วมมือและเป็นกำลังให้แก่ข้ากำจัดซอมบี้ด้วยกัน”
เดิมทีหวังจือหลินคิดว่าตัวเองพูดปลุกระดมได้ดีพอสมควร น่าจะสามารถสมัครหาผู้กล้าได้บ้าง ทว่าเขาคิดไม่ถึงว่าคนเหล่านี้ทำราวกับว่าไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดเลยแม้แต่น้อย อย่างกับว่าเขาเป็นเพียงอากาศธาตุ
ในตอนนี้หวังจือหลินยืนอยู่บนถนนอันหรูหรา แต่รู้สึกราวกับตัวเองกำลังเล่นตลกต่อหน้าทุกคน เหมือนกับขายของแต่ไม่มีคนซื้ออย่างงั้นแหละ เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นอากาศ เขามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือทุกคนนะ ทำไมถึงไม่มีใครสนใจละ
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าภารกิจมันยากกว่าที่คิดมาก ฉับพลันเขาก็คิดถึงเสียงที่เขาได้ยินตอนเพิ่งมาถึงที่นี่ ร่างกายก็สั่นเทาขึ้นอย่างหยุดไม่อยู่ ถ้าตัวเองต้องอยู่ที่นี่ตลอดชีวิต เขาก็คิดไม่ออกแล้วว่าจะอยู่ต่อไปได้ยังไง
ไม่มีทางเลือกเขาก็ทำได้แค่ดึงแขนชายชราข้างทางคนหนึ่งเอาไว้ “ที่นี่มันเป็นบ้าอะไร หรือไม่ได้ยินที่ฉันพูดเมื่อกี้เหรอ” ตอนนี้หวังจือหลินโกรธแล้วจริง ๆ เขาไม่เคยถูกมองข้ามแบบนี้ เขาตะคอกใส่ชายชราคนนี้อย่างเสียมารยาท
“เจ้าจะล่าซอมบี้ก็เรื่องของเจ้า ไม่เห็นจะเกี่ยวกับพวกข้าตรงไหน อีกอย่างเมื่อก่อนที่นี่ไม่ซอมบี้สักตัว แต่หลังจากพวกเจ้าเข้ามา พวกซอมบี้ก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่แปลกก็คือพวกเจ้าไม่มีความสามารถแล้วยังไม่รู้จักเจียมตัว ข้าว่าความสามารถอย่าง ถ้าเจ้ากล้าออกไปสู้กับซอมบี้ก็คือไปตายชัด ๆ”
“พวกข้าไม่ได้มีชีวิตมากมายขนาดอยากจะไปตายกับพวกเจ้าด้วยหรอก ดังนั้นเจ้าช่วยเอาคำพูดขี้โม้ของเจ้าไปไกล ๆ พวกข้าเสีย อ้อ จริงสิ เจ้าสามารถไปที่จวนเจ้าเมืองได้นะเพราะพวกเขาก็เป็นพวกเดียวกับเจ้า เป็นพวกตัวซวยเหมือนกัน” หลังพูดจบชายชราคนนั้นก็ไม่ได้อยู่ต่อ หันร่างแล้วเดินจากไปทันที ทิ้งให้หวังจือหลินยืนอยู่บนถนนคนเดียว ไม่รู้จะไปทางไหน
เขาได้แต่ถอนหายใจอย่างไร้ทางเลือกแล้วหาทางไปจวนเจ้าเมือง เขาคาดหวังมากว่าในจวนเจ้าเมืองจะมีทหารอยู่บ้าง ถ้าทำให้พวกเขาเชื่อใจได้ภารกิจก็น่าจะไม่ยาก
ในตอนนี้เด็กหนุ่มชุดขาวกับอาเหมามาถึงจวนเจ้าเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ระหว่างทางที่เข้ามาในจวนเขาได้เห็นชายหนุ่มจำนวนมากฝึกฝนวรยุทธ์กันไม่หยุด แต่เขามองออกว่าลมปราณของคนเหล่านี้คล้ายจะติดขัดและอ่อนแออยู่บ้าง ราวกับพึ่งได้รับบาดเจ็บ แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะสนทนากับคนเหล่านี้อยู่แล้ว เพียงมองพวกเขาวับเดียวแล้วก็เดินต่อไป
ฉู่เหินหลังจากฝึกฝนมาหลายวัน เขาก็ได้ประโยชน์มาไม่น้อยเลย ตอนนี้ร่างกายที่เหมือนลูกบอลของเขาผอมลงแล้ว แม้ภายนอกเขาเหมือนคนที่หนักกว่าร้อยโล ดูแล้วอ้วนมาก ๆ แต่ก็ดีกว่าก่อนหน้านี้เยอะ อย่างน้อยในสายตาของเขาตอนนี้ก็ถือว่าไม่เลวล่ะนะ
หลังจากฟื้นคืนสติแล้วเขาก็ไม่ฝึกฝนต่อ เพราะเขาคิดว่าพอก่อนดีกว่า! ยิ่งกว่านั้นพลังวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ทำให้เขาตกตะลึงจนอ้าปากจะแย่แล้ว ถ้าเขายังฝึกฝนต่อไป ไม่รู้ว่ารากฐานของเขาจะสั่นไหวหรือเปล่า
เขาลองโคจรพลังดวงดาวในร่างกายตัวเองเงียบ ๆ ทำให้เขาสัมผัสได้ว่าในร่างกายของเขาตอนนี้เหมือนกับแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว ร้องคำรามอย่างบ้าคลั่ง ฉู่เหินเข้าใจว่าเพราะพลังวรยุทธ์ของเขาไม่ วันนี้ก็วันพรุ่งคงได้เลื่อนเป็นขั้นทรราชดารา แน่นอน
หลังจากลุกยืนแล้วฉู่เหินก็ไม่อยู่ต่อ แต่หลังหันกลับ เพราะเสี่ยวชิงเองก็ฝึกฝนอยู่นานแล้ว ไม่รู้ว่าหลังจากผ่านมาหลายวัน เธอจะเป็นยังไงบ้าง หลังจากเขาออกมาเสี่ยวชิงก็กำลังรอเขาอยู่ เธอหยุดฝึกฝนนานแล้ว แม้พลังในร่างกายของเธอจะไม่มากมาย แต่เธอก็ได้เลื่อนเป็นขั้นผู้พิชิตดาราระดับ 3 ซึ่งถือว่าไม่เลวเลย
ทั้งสองพูดคุยกันนิดหน่อย จากนั้นฉู่เหินก็พบว่าหญิงสาวมองมาที่ตัวเขาไม่หยุดพร้อมหน้าแดงตลอดเวลา! แต่ก่อนช่วยไม่ได้เพราะพึ่งฝึกฝนเสร็จทำให้เขาเป็นเหมือนชีเปลือยก็ไม่ปาน แต่เพราะพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมายทำให้เขาลืมเรื่องนี้ไปเลย
ดังนั้นตอนที่ออกมา เขาเลยไม่คิดว่าผิดปกติตรงไหน แต่พอเห็นสายตาของเสี่ยวชิงแล้วคิดดี ๆ มันก็น่าตะขิดตะขวงใจไม่น้อย
ฉู่เหินรีบหยิบชุดออกมาจากแหวนทันที แต่…พอมองเสี่ยวชิงแล้วเขาก็เก็บชุดลงไป สถานที่แห่งนี้สร้างมาจากค่ายกลลึกลับ เพราะงั้นไม่มีใครอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน!
อารมณ์ของหนุ่มสาวไม่อาจหยุดได้โดยง่าย เสียงรัญจวนพร้อมทั้งเสียงใส ๆ ราวกับสายน้ำในแม่น้ำอันเชี่ยวกราดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผ่านไป 2 ชั่วโมงในที่สุดก็จบลง ฉู่เหินรู้สึกสบายตัวสุด ๆ! เขารู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่งมาก แถมนอกจากจะเป็นกิจกรรมพัฒนาความสัมพันธ์แล้วพลังวรยุทธ์ของพวกเขาทั้งคู่ก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก
ฉู่เหินตอนนี้อยู่ขั้นผู้พิชิตดาราระดับ 9 ใกล้จะทะลวงขั้นพลังได้ทุกเวลา ส่วนเสี่ยวชิงอยู่ขั้นผู้พิชิตดาราระดับ 3 ใกล้ทะลวงเป็นระดับ 4 แล้ว แม้ในเมืองโบราณจะไม่ถือว่าสูงส่งอะไร แต่ก็พอจะป้องกันตัวเองได้ หลังจากผ่อนลมหายใจให้กลับมาปกติ พร้อมรอให้ใบหน้าเสี่ยวชิงหายเขินอาย ทั้งสองถึงค่อยก้าวออกมาจากห้องอย่างช้า ๆ