สุดยอดชาวประมง - บทที่ 364 ความคิดระหว่างซอมบี้กับมนุษย์
บทที่ 364 ความคิดระหว่างซอมบี้กับมนุษย์
บทที่ 364 ความคิดระหว่างซอมบี้กับมนุษย์
ถ้าผู้หญิงคนนี้ฟื้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากขนาดไหน? เรื่องนี้ฉู่เหินไม่กล้าแม้แต่จะคิด ตอนนี้เขาคิดอย่างเดียวคือจะขัดขวางอย่างไรไม่ให้ผู้หญิงคนนี้ฟื้น!
ตอนนี้ฉู่เหินพอจะรู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่แล้ว เดิมทีรอบข้างเมืองโบราณนั้นไม่มีซอมบี้ เรื่องนี้ชาวเมืองโบราณยืนยันได้ แต่ไม่รู้ว่าเริ่มมาจากปีจู่ ๆ ก็มีซอมบี้ปรากฏตัว! อีกทั้งรอบ ๆ เมืองโบราณยังถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา
ถ้าฉู่เหินเดาไม่ผิดล่ะก็ มันคงจะเริ่มจากตอนที่ผู้หญิงคนนี้เริ่มดูดวิญญาณของมนุษย์ เพื่อทำให้ตัวเองฟื้นคืนชีพขึ้นมา ส่วนเรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือใครฉู่เหินเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เขารู้ได้อย่างหนึ่งคือ ซอมบี้พวกนี้ถูกสร้างขึ้นโดยผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
หลังจากสร้างซอมบี้แล้ว ก็ใช้ซอมบี้เดินไปล้อมเมืองโบราณไว้ทุกทิศทาง โดยใช้ประโยชน์ตอนที่ทุกคนไม่รู้จักซอมบี้ให้เป็นประโยช์นบุกโจมตีอย่างรวดเร็ว ทำให้พอทุกคนรู้ว่ากองทัพซอมบี้พวกนี้สู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ก็สายไปเสียแล้ว
เรื่องนี้ฉู่เหินเดาถูก 8-9 ใน 10 ส่วน ทว่าเรื่อนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายดายอย่างที่เขาคิด มันมีประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา เป็นเรื่องในภายภาคหน้าที่ไม่ได้พูดถึงในตอนนี้
ฉู่เหินพยายามจนคิดออกวิธีหนึ่ง ในเมื่อผู้หญิงคนนี้ต้องดูดแกนวิญญาณเหล่านี้เพื่อฟื้นคืนชีพ งั้นถ้าดวงวิญญาณเอาวิญญาณกลับมาจากผู้หญิงคนนี้ได้ พวกเขาก็จะหลุดพ้นจากการเป็นซอมบี้สินะ?
หลังคิดถึงแบบนี้ฉู่เหินก็อดหัวเราะในใจไม่ได้ เขาต้องทำลายค่ายกลนี้ให้ได้ ถ้าทำให้ค่ายกลนี้โคจรย้อนศร เขาก็อาจทำลายมันได้โดยไม่ให้ใครรู้
แน่นอนมีเหตุผลที่ทำให้ฉู่เหินตัดสินใจทำแบบนี้ นั่นคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังมีข้อจำกัดหลายอย่างไม่สามารถเข้ามาที่นี่ได้ เพราะที่นี่สำคัญมาก มันน่าจะมาเฝ้าระวังไว้ตลอดเวลา แต่ไม่มีใครที่นี่แสดงว่าอีกฝ่ายเฝ้าที่นี่เองไม่ได้
ตอนนี้เองฉู่เหินนึกไปถึงตอนที่ฉู่ฉุนเล่าถึงชายชราที่เฝ้าทางเข้าคนนั้น ชายชราคนนั้นลักษณะท่าทางดูมีเมตตา แต่ฉู่เหินรู้สึกว่าคน ๆ นี้น่าจะไม่ธรรมดา ฉู่เหินสงสัยว่าชายชราคนนั้นแหละที่เป็นคนอยู่เบื้องหลัง!
เพราะกี่คนแล้วที่ชายชราคนนั้นพาคนมาที่เมืองโบราณ คนในเมืองโบราณตอนแรกมีไม่มากเปรียบเสมือนน้ำหนึ่งหยดในมหาสมุทร* แต่ตอนนี้ซอมบี้มากมายจนน่ากลัวไม่รู้ว่าชายชราคนนั้นหลอกคนมาเมืองโบราณกี่ปีแล้วกันแน่
(หนึ่งหยดในมหาสมุทร* หมายถึง เล็กน้อยมาก ไม่มีค่า)
ผ่านไปนานวันเข้าทั่วเมืองโบราณก็ล้อมรอบไปด้วยซอมบี้มากมายมหาศาล ถ้าบอกว่าชายชราคนนั้นไม่รู้เรื่อง พูดอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อในเมื่อชายชราคนนั้นรู้ แต่ก็ยังทำการคัดเลือกคนเข้ามาในเมืองและยังไม่บอกให้พวกเขารู้ว่าเข้ามาแล้วต้องเจอกับอะไร นี้ก็สามารถยืนยันได้แล้วว่าชายชราคนนี้มีเป็นปัญญา
แน่นอนมันมีความเป็นไปได้เรื่องที่ ชายชราอาจมีกฎข้อจำกัดอยู่ในการพูดเรื่องราวต่าง ๆ จึงไม่เปิดเผยเรื่องราวภายในเมืองโบราณให้คนภายนอกรู้ แต่ยังไงฉู่เหินก็ยังคงสงสัยชายชราคนนั้นอยู่ดี อย่างน้อยระวังตัวไว้ก่อนก็ยังดี
ค่ายกลแห่งนี้คนอื่นอาจคิดว่ายากจะทำลาย แต่จริง ๆ แล้วแค่เปลี่ยนวงโคจรค่ายกลก็เรียบร้อยแล้ว ทำแบบนี้ก็จะไม่เกิดความวุ่นวายอะไรที่ไม่จำเป็น! เวลานี้ฉู่เหินกำลังเฝ้ารอหลังจากเปลี่ยนให้โคจรย้อนกลับแล้ว ผู้หญิงคนนี้จะเป็นอย่างไรบ้างนะ
ทำแบบนี้อาจไม่ยุติธรรมต่อผู้หญิงคนนี้ เพราะอีกไม่นานผู้หญิงคนนี้ก็จะฟื้นแล้ว แต่การที่ผู้หญิงคนนี้จะฟื้นต้องจ่ายมาด้วยชีวิตของผู้คนจำนวนมาก ในสายตาของฉู่เหินมันโหดเหี้ยมเกินไป เพื่อชีวิตคน ๆ หนึ่งกลับต้องฆ่าชีวิตคนนับหมื่น แบบนี้มันถูกต้องแล้วเหรอ
หากพูดว่าผู้ฝึกยุทธความแข็งแกร่งถือเป็นหนึ่ง ทว่าฉู่เหินไม่คิดแบบนั้น ในโลกมันมีคำว่าเหตุผลอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นพลังวรยุทธ์ก็มาจากธรรมชาติ ทำแบบนี้แน่ใจแล้วเหรอว่าถูกต้องจริง ๆ ตอนนี้เขาคิดว่าเรื่องนี้มันผิด เขาก็เลยต้องลงมือ เขาอาจผิดก็ได้แต่เขาจะทำตามความเชื่อของตัวเอง
ฉู่เหินสะบัดมือเบา ๆ หิน 2-3 ก้อนก็ปรากฏบนมือ จากนั้นก็ฉู่เหินก็ยื่นมือออกไปหนึ่งข้างในอากาศแล้วใช้วัตถุดิบพวกนี้วาด ๆ เขียน ๆ ตอนนี้ วัตถุดิบเหล่านี้เต็มไปด้วยลวดลายราวกับภูตผี ระหว่างเดินเข้าไปในค่ายกล เขาเอาวัตถุดิบเหล่านี้ออกมา 10 ชิ้น
วัตถุดิบ 10 ชิ้นที่อยู่ในมือ เริ่มผสานกันในความว่างเปล่าก็ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างและผสมเข้าด้วยกันบนมือของเขา ตอนที่เริ่มผสมเข้าด้วยกันนั้นฉู่เหินก็หลอมรวมทุกอย่างด้วยสายฟ้าแล้วนำวัตถุดิบเหล่านี้ใส่เข้าไปในค่ายกล
วัตถุดิบพวกนี้ทำให้ค่ายกลหยุดชะงัด แต่มันหยุดเพียงเวลาสั้น ๆ ไม่ถึงเศษเสี้ยววินาทีจากนั้นก็เริ่มโคจรต่อ ฉู่เหินเชื่อว่าภายในช่วงเวลานี้ผู้อยู่เบื้องหลังไม่มีทางพบร่องรอยอะไรได้เลย กว่าจะรู้ตัวมันก็สายไปแล้ว!
หลังจากย้อนศรการโคจรของค่ายกลแล้ว ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เดิมทีในอากาศจะมีดวงวิญญาณที่กลายเป็นแกนวิญญาณเข้าสู่ร่างกายของผู้หญิงคนนั้น ทว่าตอนนี้ทั้งหมดกลับสูญหายไป
ตอนนี้ร่างกายของผู้หญิงคนนั้นเริ่มปลดปล่อยแกนวิญญาณออกมา
เดิมทีเหล่าวิญญาณกำลังร้องด้วยความเจ็บปวดเพราะถูกช่วงชิงแกนวิญญาณไป ตอนนี้เสียงร้องแห่งความเจ็บปวดนั้นก็ยังคงอยู่ เพียงแต่เสียงร้องแห่งความเจ็บปวดกลับดังออกมาจากศพที่นอนอยู่บนเตียง เพราะแกนวิญญาณมากมายถูกปลดปล่อยออกมา ทำให้ผู้หญิงคนนี้ต้องเจ็บปวดทรมาน!
แกนวิญญาณที่ถูกช่วงชิงไปพอได้กลับเข้าวิญญาณเดิมแล้ววิญญาณนั้นก็สั่นไหวอยู่สักพัก ก่อนจะหายไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว พวกมันรีบกลับเข้าไปที่ร่างเนื้อของตัวเอง
ตอนนี้เองที่ความทรงจำพวกเขาทั้งหมดกลับเข้ามาในหัว พวกเขารู้แล้วว่าตัวเองกำลังเป็นซอมบี้อยู่! พอวิญญาณกลับสู่สภาพเดิมพลังวรยุทธ์ของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในใจของซอมบี้ตอนนี้ต้องเลือกแล้วอย่างแรกคือเป็นซอมบี้ต่อไป เพราะวิญญาณได้แปดเปื้อนไปแล้ว แม้พวกเขาจะฟื้นกลับมาและพลังวรยุทธ์จะเพิ่มขึ้นแต่ทว่าพวกเขาจะต้องเป็นซอมบี้ไปเช่นนี้ตลอดไป ไม่มีทางกลับเป็นมนุษย์
อย่างที่สองคือกลับเป็นมนุษย์ แบบนี้พวกเขาจะไม่ต้องทรมานอีกต่อไป ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกเขาก็จะไม่ใช่ซอมบี้อีกแล้ว แต่การจะฟื้นฟูตัวเองให้กลับเป็นมนุษย์อีกครั้ง พวกเขาต้องไปเริ่มฝึกฝนวรยุทธ์ใหม่ทั้งหมด!
แม้ว่าการฝึกฝนวรยุทธ์ครั้งที่สองจะเร็วกว่าครั้งแรก แต่ยังไงก็ต้องใช้เวลา 10 ปีขึ้นไปอยู่ดี ถ้าต้องฝึกฝนวรยุทธ์อย่างยาวนานแบบนั้น ไม่มีใครทราบว่าพวกเขาจะได้กลับมาแข็งแกร่งแบบนี้อีกครั้งไหมบางทีถ้าทอดทิ้งวรยุทธ์ตอนนี้ไปแล้วพวกเขาอาจต้องตายที่นี่เลยก็ได้
เวลานี้ทุกคนนึกถึงคำว่า สวรรค์อยู่ในใจอก นรกอยู่ในใจ* แน่นอนว่าพวกเขาเอามนุษย์มาเปรียบเทียบกับสวรรค์ ถ้ายังเอาซอมบี้มาเปรียบเทียบกับสวรรค์แล้วล่ะก็ ต้องใช้เกณฑ์อื่นมาวัดแล้วล่ะ ว่าพวกเขาสมองปกติหรือเปล่า
(*สวรรค์หมายถึง เรื่องที่มีความสุข , นรกหมายถึงเรื่องที่เป็นทุกข์)
ขณะนี้ซอมบี้เริ่มคืนสติเยอะขึ้น ๆ จากเดิมมีเพียงสิบตัวตอนนี้เพิ่มเป็นร้อยตัว ก่อนจะเพิ่มเป็นพันเป็นหมื่นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเพิ่มเร็วขึ้นไม่หยุด
เพียงแต่ในตอนที่วิญญาณของพวกซอมบี้ฟื้นคืนสติ พวกเขาก็ต้องเลือกทางใดเลือกทางหนึ่งกันทุกคน ไม่เพียงแต่ซอมบี้ตัวอื่น ๆ แม้แต่หวังจือหลินเองก็เช่นกัน!
สุดท้าย หวังจือหลินเลือกจะทิ้งความเป็นมนุษย์ หนึ่งเพราะความโกรธในจิตใจของเขา สองคือเพราะบางสิ่งบางอย่างที่เขาได้รับมาเป็นพิเศษ