สุดยอดชาวประมง - บทที่ 372 ทัพซอมบี้หนึ่งล้านตัว!
บทที่ 372 ทัพซอมบี้หนึ่งล้านตัว!
บทที่ 372 ทัพซอมบี้หนึ่งล้านตัว!
ฉู่เหินเริ่มใช้วิชาดัชนีกิเลน พลังกิเลนเริ่มล้อมรอบตัวอย่างบ้าคลั่ง ขณะนี้ในอากาศจากมีพลังดัชนีแค่ 1 เส้น ตอนนี้กลับแยกออกเป็น 36 เส้นแล้ว
การควบคุมดัชนีกิเลน 36 เส้นตรงหน้าฉู่เหินต้องใช้พลังมากมายมหาศาลหากอยากจะเพิ่มจำนวนเส้นพลังดัชนี วรยุทธ์์ของเขาต้องสูงมากกว่านี้!
หลังจากเวลาพักผ่อนหนึ่งวันฉู่เหินก็ได้วิเคราะห์วิชาหลาย ๆ ว่าต้องใช้แบบไหนถึงจะคุ้มค่ากับพลังที่เพิ่มขึ้นแล้วฉู่เหินถึงค่อยออกมาจากห้องพัก
เขาบิดเอวอย่างเกียจคร้านตอนออกจากห้อง ก่อนจะเห็นทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าหวาดกลัว!
“เรียนท่านแม่ทัพฉู่ กองทัพซอมบี้ยกพลกันมาด้านนอก ตามที่ทราบมาอีกฝ่ายมีถึงหนึ่งล้านตัว!”
พอฉู่เหินได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ม ซอมบี้เพิ่งจะถูกกำจัดไปเยอะขนาดนั้นตามความเป็นจริงพวกมันไม่น่าจะยกทัพมาได้เร็วขนาดนี้ แถมหนึ่งล้านตัว มันไม่มากไปหน่อยเหรอหรือว่าพวกมันคิดจะสู้ตายกันในศึกครั้งนี้เลย?
“ตรวจสอบต่อไป!” หลังจากพูดประโยคนี้จบทหารคนนั้นก็วิ่งจากไป ฉู่เหินกรอกตาอย่างครุ่นคิด ในเมื่ออีกฝ่ายนำทัพมาถึงหนึ่งล้านแสดงว่าอีกฝ่ายก็ต้องมั่นใจมากแน่ ๆ
“ทุกคนมารับคำสั่งที่กระโจม!” หลังฉู่เหินตระโกนออกไป เขาก็เดินเข้าไปยังกระโจมแม่ทัพ
ทุกคนรีบเร่งมาที่นี่เพื่อรับคำสั่ง ใบหน้าของทุกคนขมวดคิ้วแน่นเป็นโบว์มองก็รู้ได้ว่าในใจของทุกคนเป็นกังวลมากขนาดไหน
แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดา ครั้งนี้ซอมบี้ยกทัพมาถึงหนึ่งล้านตัว ฝั่งมนุษย์มีจำนวนน้อยกว่ามาก รวมทั้งหมดทหารไม่น่ามีเกินห้าหมื่นคนมันแตกต่างกันมากเกินไป ครั้งก่อนที่เอาชนะมาได้นั่นก็เพราะการซุ่มโจมตี ตอนนี้ต้องสู้แบบประชันหน้า ยากจะเอาชนะได้ ในใจของทุกคนเริ่มหวาดกลัว
ฉู่เหินเข้ามาในกระโจมก่อน มองเห็นใบหน้าที่ทุกคนกำลังตื่นตัวก็เข้าใจดีว่าทุกคนกังวลเรื่องอะไรที่จริงแล้ว ไม่ใช่แค่พวกเขาแม้แต่เขาเองก็เริ่มกังวล แต่เขาเป็นผู้นำทัพ เขาจะแสดงท่าทางอ่อนแอออกมาไม่ได้เด็ดขาด
“ทหารทุกท่าน เห็นซอมบี้จำนวนนับไม่ถ้วนนั้นแล้วใช่มั้ย อย่าได้กังวลก่อนหน้าพวกเรากำจัดพวกมันรวม ๆ แล้วก็หนึ่งล้านตัวเหมือนกันในวันนี้ต่อให้พวกมันมี 10 ล้าน พวกมันก็ต้องตายทั้งหมด! ขอแค่ทุกคนสู้อย่างสุดชีวิต ซอมบี้แค่หนึ่งล้านไม่มีทางทำอะไรพวกเราได้แน่นอน”
พูดถึงตรงนี้ฉู่เหินก็มองเหล่าทหาร เขารู้ว่าตัวเองจำเป็นต้องปลุกใจทุกคนไม่งั้นสนามครั้งนี้ ฝั่งของเขาก็จะแพ้ไปแล้วสามส่วนมันไม่เป็นผลดีแน่ ๆ
“แต่ฉันไม่ได้จะส่งทุกคนไปตาย เราสามารถรับมือซอมบี้พวกนี้ได้แน่ และเราจะทำสงครามระยะยาว เป็นฝ่ายป้องกันย่อมได้เปรียบ ซอมบี้หนึ่งล้านไม่ได้หมายความว่าทุกตัวจะแข็งแกร่ง ระดับพลังพวกมันไม่เท่ากันอย่างแน่นอน แม้จะมีหนึ่งล้านตัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะน่ากลัว”
พอทหารทุกคนได้ยินดังนี้ก็รู้สึกว่าที่ฉู่เหินพูดมาก็มีเหตุผล ใบหน้าที่หวาดกลัวของพวกเขาค่อย ๆ หายไป พวกเขาเห็นด้วยกับคำพูดของฉู่เหิน
“ไม่ว่าจะเป็นพวกเราหรือว่าซอมบี้พวกนั้นต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธกันทั้งนั้น เพราะงั้นจะซอมบี้หรือมนุษย์ก็จำเป็นต้องกินหรือดูดซับพลัง! พวกมันมีทัพล้านคนจะสู้รบเก่งไหมก็ไม่แน่ แต่พวกมันก็มีถึงหนึ่งล้านปากเลยนะ!”
ทุกคนมองหน้าฉู่เหิน ในใจคิดว่าหนึ่งล้านปากนี้หมายถึงอะไร? ทุกคนไม่เข้าใจความหมายที่ฉู่เหินพูดเลยจริง ๆ
“ปากหนึ่งล้านปาก ทุกคนวันหนึ่งกินไปเท่าไร พวกนายเคยคิดเรื่องนี้ไหม มันเป็นค่าใช้จ่ายที่น่าหวาดกลัวเลยละ! มีคนบอกว่าทหารไม่อาจสู้รบได้ถ้าไม่มีอาหาร พวกเราต้องแอบไปทำลายเสบียงของพวกมัน! พวกนายลองคิดดูสิว่าปากท้องของคนหนึ่งล้านคนจะอยู่ได้นานแค่ไหน”
ได้ยินเรื่องนี้พวกเขาต่างก็ร่างกายสั่นไหว พวกเขารู้แล้วว่าคนตรงหน้าไม่ใช่คนธรรมดา! ตอนนี้ใบหน้าของพวกเขาค่อย ๆ เผยรอยยิ้มออกมา พวกเขาไม่รู้สึกกลัวอีกแล้ว กลับรู้สึกคันไม้คันมืออยากจะออกไปสู้กับพวกซอมบี้แทน
คำพูดของฉู่เหินครึ่งหนึ่งก็เพื่อปลุกใจพวกเขา จริง ๆ แล้วแค่คิดน่ะมันง่ายแต่จะทำได้ไหมไม่มีใครรู้ในเวลาสั้น ๆ คำพูดสองประโยคนี้แค่ทำให้ทุกคนรู้สึกฮึดสู้ได้่ก็เพียงพอแล้ว
“ฉู่ฉุน รับคำสั่ง!” ผ่านไปสักพักฉู่เหินก็เริ่มบัญชาการทหารต่อทันที
ฉู่ฉุนลุกจากเก้าอี้ด้านข้างตัวที่สอง ชันเข่าข้างเดียวกับพื้นพร้อมผสานมือ “ครับพี่!”
“เพิ่มทหารให้น้องอีกสามพันคน ไปเพิ่มการป้องกันเมืองทั้งหมดและเปิดใช้งานค่ายกลทั้งหมดด้วย แบ่งทหารเป็นสามกะทั้งวันทั้งคืนเฝ้าระวังไว้ นี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ห้ามมีข้อผิดพลาดเด็ดขาด!”
ที่ฉู่เหินให้หน้าที่เฝ้าระวังเมืองแก่ฉู่ฉุน เพราะเขารู้ว่าน้องชายเป็นคนที่มีฝีมือ และหน้าที่หัวหน้าเฝ้ากำแพงเมืองเป็นหน้าที่สำคัญที่สุด ถ้าออกไปสู้ข้างนอกแต่เมืองถูกตีแตกไปแล้ว ถึงตอนนั้นชัยชนะจะมีความหมายอะไร
หลังจากฉู่ฉุนได้ยินเขาก็ขานรับเสียงดัง “รับทราบ!”
บ้างคนอาจเห็นว่าพี่น้องกันไม่ต้องจรังจังขนาดนี้ก็ได้ แต่ว่าการทำงานต้องมีความชัดเจน ยิ่งมีชีวิตคนทั้งเมืองเป็นเดิมพัน เขาก็ไม่กล้าจะหย่อนยาน ทหารจำเป็นต้องทำตามคำสั่งอย่างเคร่งขัด ไม่งั้นล่ะก็มีปัญหาภายในแน่!
ในสงครามนั้นต้องเอาจริงเอาจัง จะมาเอื้อยเฉื่อยไม่ได้เด็ดขาด
หลังจากฉู่ฉุนรับป้ายบัญชาการไปหนึ่งอัน ก็หมุนตัวไปจัดการงานที่การรับมอบหมายทันที ฉู่เหินพยักหน้ามองหลังของฉู่ฉุนที่เดินจากไป แค่ไม่กี่วันเด็กหนุ่มคนนี้คล้ายจะเติบโตขึ้นมากเลย ทั้งพลังฝีมือและจิตใจ ไม่น่าเชื่อว่านี้เป็นการออกจากบ้านเป็นครั้งแรกของน้องชายเขาเลย
“อาจารย์ซู รับคำสั่ง ให้ท่านรีบไปปลอบใจชาวเมืองที่กำลังหวาดกลัว บอกชาวเมืองว่าซอมบี้เหล่านี้ ไม่มีอะไรต้องกลัว!”
งานปลอบใจประชาชนอาจารย์ซูเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว เมื่ออาจารย์ซูรับคำสั่งก็ออกไปทันที ต่อมาฉู๋เหินก็เริ่มดำเนินการแผนการต่อไปหลังจากวางแผนเสร็จแล้วเขาถึงค่อยถอนหายใจออกมา
ยังไม่ทันที่เขาจะได้พักหายใจ ก็ได้ยินเสียงทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามา
“ท่านแม่ทัพ ศัตรูด้านนอกบอกว่าต้องการต่อสู้แบบตัวต่อตัว!” หลังจากทหารคนนั้นเข้ามาก็คุกเข่าแล้วพูดอย่างเร่งรีบ
“หา….ตัวต่อตัว อืม…ก็ดี ในเมื่อมันต้องการสู้ตัวต่อตัวก็ได้เลย ฉันก็อยากจะเห็นว่าความสามารถของซอมบี้มันจะสักแค่ไหนกันเชียว!” ฉู่เหินพูดออกมาก่อนจะลุกจากที่นั่งตัวเอง
“ฮาวโยว จางเค่อ กวนเชิง หม่าหง พวกนายสี่คนออกไปแสดงฝีมือให้ฉันดูหน่อย!” ทั้งสี่คนนี้เป็นทหารที่เก่งที่สุด ไม่เพียงแต่วรยุทธ์สูงส่งแต่ยังโหดเหี้ยมยากจะมีใครทัดเทียม
ฮาวโยวนั้นไม่ต้องพูดถึง เขาอยู่กับฉู่เหินนานที่สุด ส่วนจางเค่อแต่เดิมเป็นชาวเมืองต่อมาถึงค่อยเข้าร่วมกองทัพ เนื่องจากเก่งกาจด้านการต่อสู้จึงถูกฉู่เหินเพิ่มเข้ามาในกอง ส่วนกวนชิงและหม่าหงเมื่อก่อนเคยเป็นซอมบี้ ต่อมาก็กลับมาเป็นมนุษย์ ซึ่งทั้งสองคนก็เก่งกาจเรื่องการต่อสู้เช่นเดียวกัน
พวกเขาทั้งสี่ถูกฉู่เหินตั้งฉายาว่า สี่พยัคฆ์ เพราะความโหดเหี้ยมไร้ผู้ทัดเทียมของพวกเขา พวกเขาต่อสู้กับศัตรูแบบบ้าคลั่งไม่สนใจชีวิตตัวเองคนที่มีความกล้าหาญแบบนี้ในโลกนั้นมีน้อยมาก! เพราะเหตุนี้ฉู่เหินเลยปฏิบัติกับสี่คนนี้ดีเป็นพิเศษ ที่สำคัญคือเบื้องหลังของทั้งสี่ไม่ได้สังกัดอยู่ขุมอำนาจไหน นี้เป็นสิ่งที่ฉู่เหินสนใจมากที่สุด