สุดยอดชาวประมง - บทที่ 388 เหมิงเอ้อ
บทที่ 388 เหมิงเอ้อ
บทที่ 388 เหมิงเอ้อ
หลังเห็นฉากนี้ ชายชราก็ไม่อดทนอีกต่อไปในความคิดเขาไม่ว่าจะยังไงฉู่เหินก็เป็นผู้มีพระคุณของเหมิงเอ้อ การทรมานร่างกายเขาแบบนี้ออกจะไม่ค่อยถูกต้องนัก ในความคิดชายชรา หมัดนี้รุนแรงยิ่งกว่าการสับแขนสับขาอีกฝ่ายเสียอีก ไม่ใช่ว่ามีประโยคนี้เหรอ ที่ว่าคนเราฆ่าได้หยามไม่ได้!
“แม่นางเหมิงเอ้อ ช่างมันเถอะ ๆ ให้อภัยเขาเถอะนะ” ชายชราไม่มีทางเลือกนอกจากจะส่งเสียงที่ไม่รู้ว่าไกลเท่าไรส่งมาให้สาวงามนางนี้
เหมิงเอ้อที่กำลังระเบิดลง พอได้ยินเสียงนี้ก็อดขมวดคิ้วก่อนจะแสดงออกอย่างลำพองใจ
“หวังโบ๋ หรือว่าเจ้าก็อยากลงมือกับเขาไม่ต้องหรอกให้ข้าสั่งสอนเขาแทนเจ้าสักหมัดดีไหม!” พอได้ยินเหมิงเอ้อพูดแบบนี้ หวังโบ๋ก็ถึงกับหมดคำจะพูด
“สาวน้อย เจ้าต่อยตีเขาจนกลายเป็นหมูเช่นนี้แล้ว ข้ายังจำเป็นต้องลงมือกับเขาอีกทำไมกัน วางใจเถอะ ข้าไม่ลงไม้ลงมือกับเขาแน่นอน!” หูของเหมิงเอ้อได้ยินเสียงดังกล่าวอย่างชัดเจน
พอได้ยินดังนั้น หญิงสาวก็กะพริบตากลมโตสวยของตัวเองปริบ ๆ ก่อนจะค่อยหยุดมือ และเข้าไปประคองฉู่เหินให้ลุกขึ้นมา ชายหนุ่มรู้สึกร่างกายเบาสบายเป็นอย่างมาก ความรู้สึกนี้ทำให้เขาตกใจว่าตัวเองเปลี่ยนเป็นมาโซคิสม์*ตั้งแต่เมื่อไรกัน
(มาโซคิสม์ หมายถึงคนที่ชื่นชอบความเจ็บปวด)
“ขอบคุณเจ้าที่ช่วยชีวิตพี่สาวเอาไว้ พี่สาวเลยตอบแทนให้แล้ว เมื่อกี้เป็นพี่สาวประสานลมปราณให้เจ้า ต่อไปนี้หากเจ้าจะฝึกฝนพลังก็จะมีความเร็วเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมร้อยเท่า นี้ถือว่าเป็นของขวัญชิ้นแรกที่จะให้เจ้าก็แล้วกันนะ!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ฉู่เหินก็ถึงกับกะพริบตาปริบ ๆ เขาฟังเข้าใจถูกใช่ไหม ? คล้ายกับว่าหญิงสาวนางนี้ต่อยเขาก็เพราะหวังดีกับเขา…ใช่ไหม ? แต่เมื่อเขาจับ ๆ ไปที่หน้าของตัวเองที่บวมเหมือนหัวหมู มันก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าเรื่องนี้ออกจะแปลก ๆ ไปหน่อย แต่เพราะเกรงกลัวในพลังอำนาจของอีกฝ่าย เขาเลยจำใจต้องพูดขอบคุณ ให้ตายสิ มันช่างเป็นความรู้สึกที่แย่เสียจริง โดยทุบตีจนเละแล้วยังต้องขอบคุณอีก
แต่ถึงอย่างงั้นฉู่เหินก็เลือกที่จะปล่อยวาง ดั่งคำกล่าวที่ว่าบุรุษที่แท้จริงต้องยอมลดราวาศอกได้ชั่วคราว* ไม่ว่าจะยังไง ยอมให้หญิงสาวคนนี้ไปก่อนเถอะ สิ่งมีชีวิตรุ่นย่ารุ่นยายแบบนี้เขาไม่กล้าลงมือหรอก เหอะ!
ตอนที่ฉู่เหินคิดวุ่นวายใจอยู่นั้น ก็เห็นเหมิงเอ้อทำท่านับนิ้ว จากนั้นแสงสว่างก็สว่างวาบที่หัวของฉู่เหิน ฉับพลันชายหนุ่มก็รู้สึกเจ็บปวดที่หัว แต่หลังจากนั้นเขาก็พบว่าพลังดวงดาวมหาศาลกำลังไหลเวียนไปทั่วร่างของตน
ชายหนุ่มสังเกตอย่างละเอียด ก่อนจะพบว่าพลังดวงดาวเหล่านี้แฝงไว้ด้วยใจความสำคัญของวิชาบางอย่าง เขาพยายามจดจำวิชาอย่างละเอียดว่ามันเป็นวิชาอะไรกันแน่ ในขณะเดียวกันผู้หญิงคนนั้นก็เข้ามาพูดที่ข้างหูของฉู่เหิน
“วิชานี้ชื่อว่าลมหายใจดารา มันสามารถดูดกลืนทุกสิ่งที่มีกลิ่นอายแห่งชีวิตมาให้ตัวเองใช้ได้ แต่การใช้ลมหายใจดาราจะทำให้ต้องบาดเจ็บได้ ตอนที่ใช้ก็ระวังให้มากนี้เป็นของขวัญที่พี่สาวจะให้เป็นอย่างที่สอง!” หลังพูดจบ เหมิงเอ้อก็มองเพดาน เธอรู้ดีว่าตัวเองกำลังจะลาจากโลกใบนี้แล้ว
หลังจากนั้น ฉู่เหินก็ดวงตาเบิกกว้างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น เขาเห็นหญิงสาวถอนเสื้อผ้าออกทีละชิ้น ๆ ฉู่เหินรู้สึกว่าสมองตัวเองเหมือนจะไม่ทำงานไปแล้ว ในใจเขายังถามตัวเองว่าแม่สาวคนนี้ต้องการจะทำอะไรกันแน่?
ต่อให้เป็นตัวเอง เขาก็คงไม่กล้าขนาดนี้ ถ้าหญิงสาวคนนี้ใช้กำลังบีบบังคับข่มขืนเขาด้วยพลังที่ต่างกัน ยังไงตัวเขาก็คงไม่อาจขัดขืนได้!
พอคิดถึงตรงนี้ฉู่เหินก็หลับตาปี๋ ใช้มือฉีกเสื้อผ้าตัวเองพอฉีกเสื้อตัวเองเสร็จ ชายหนุ่มก็ร้องตะโกน “จัดมา ฉันไม่ไก่อ่อนหรอกนะ!”
ในตอนแรกเหมิงเอ้อไม่เข้าใจการกระทำนี้ของฉู่เหิน แต่ไม่นานเธอเข้าใจความหมาย จึงอดหน้าแดงด้วยความอับอายไม่ได้ ไม่พูดพร่ำทำเพลง หญิงสาวพลันพุ่งเข้ามาชกต่อยฉู่เหินชุดใหญ่ การต่อยครั้งนี้เป็นการต่อยจริง ๆ จัง ๆ หาใช่เล่น ๆ แบบครั้งก่อนไม่ ส่งผลให้ทุกครั้งที่ชกออกมา ฉู่เหินก็ถึงกับต้องร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา!
หลังจากต่อยจนพอใจ หญิงสาวก็คล้ายจะหยุดมือ จากนั้นนางหันมาจ้องมองฉู่เหินด้วยสายตาเจือความโกรธเล็ก ๆ ก่อนจะพูดว่า “ของที่มอบให้เจ้าชิ้นนี้ คือของขวัญชิ้นที่สามที่พี่สาวจะมอบให้เจ้า ถ้าเจ้ากล้าคิดสกปรกอีก พี่สาวจะควักตาเจ้าซะ!”
พอฉู่เหินได้ยินดังนั้นก็ตัวสั่น ชายหนุ่มก้มลงไปมองที่ตัวเอง ก่อนจะพบว่าตอนนี้เขากำลังสวมชุดเกราะตัวหนึ่งอยู่ แม้จะไม่เคยเห็นของแบบนี้ แต่เขาก็รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้ต้องเป็นของที่ล้ำค่ามาก ๆ ชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน
“ถ้าพี่สาวเอาชุดนี้ให้ฉันใส่ ถ้างั้น…งั้นแล้วพี่สาวจะใส่อะไรล่ะ” พอประโยคนี้หลุดปากไป เขาก็เพิ่งรู้สึกว่ามันผิดไปหน่อย หลังจากนั้นชายหนุ่มก็นั่งย่อง ๆ พร้อมกับกำหมัดสองข้าง เป็นความหมายว่ามาสิมาต่อยฉันเลย
พอหญิงสาวเห็นที่ฉู่เหินทำ เธอก็เผลอปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ตอนนี้เหมิงเอ้อรู้สึกว่าฉู่เหินตลกเกินไปแล้ว กระทั่งมีความรู้สึกหนึ่งทำให้เธอไม่อยากจากชายหนุ่มคนนี้ไป เพียงแต่น่าเสียดาย เธอรู้ดีว่าตัวเองจำเป็นต้องไป อีกทั้งยังเหลือเวลาไม่มากแล้วด้วย
“ของที่พี่สาวมอบให้เจ้า เจ้าห้ามมอบให้คนอื่น ๆ แม้แต่พ่อของเจ้าก็ไม่ได้! หากพี่สาวรู้ว่าพวกมันไม่อยู่กับเจ้าแล้วเจ้าเจอดีแน่! ต่อให้เจ้าหนีไปสุดขอบฟ้าพี่สาวก็จะตามจับเจ้าแล้วฆ่าเจ้าซะ”
คำพูดข่มขู่ของหญิงสาวคนนี้ทำให้ฉู่เหินรู้สึกตัวสั่น ในใจเขาแอบคิดว่าทำไมแม่สาวคนนี้ถึงได้โหดอย่างนี้กันนะ
“อ่อ อีกอย่างมีอย่างหนึ่งที่ฉันไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่พูดดีนะ”
“พูดเถอะ มีอะไรเจ้าก็พูดเถอะ ไม่ต้องอ้ำอึ้งเหมือนสาวน้อยหรอก!”
คำพูดนี้พอฉู่เหินได้ยิน ก็เกิดความรู้สึกว่าในสายตาเธอเขากลับเป็นพวกอ้ำอึ้งไม่ยอมพูดไปซะแล้ว แต่ที่เขาเป็นแบบนี้น่ะเพราะเขาต้องทำตัวเป็นต้นไม้ต้านแรงลมตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะโดนผู้หญิงคนนี้ใช้ความรุนแรงมีเหรอเขาจะเป็นแบบนี้เหรอ ?
“คือฉันรู้สึกว่าผู้หญิงต้องอ่อนโยน อย่างพี่สาวเดี๋ยว ๆ ก็ใช้มือใช้เท้าแตะต่อย ออกจะไม่ดีไม่งามจริง ๆ นะ!” หลังเพิ่งพูดถึงตรงนี้ เขาก็พลันเห็นเหมิงเอ้อจ้องเขม็ง ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหดอย่างชัดเจน เธอกำหมัดแน่น เป็นภาพที่เห็นแล้วทำให้ฉู่เหินถึงกับตัวสั่นเทา
“ความหมายของฉันคือต่อไปพี่สาวอย่าต่อยตีกับคนอื่นเลย ถ้าคันมือจริง ๆ ก็มาหาฉันดีมั้ย ผู้ชายแบบฉันน่ะนะ ถูกพี่สาวต่อยไม่กี่ครั้งไม่นับเป็นอะไรได้ สบายๆ !” หลังฉู่เหินพูดประโยคนี้จบ เขาก็อยากจะร้องไห้ ตัวเองต้องมั่นหน้าขนาดไหนกันนะถึงกล้าพูดคำนี้ออกมา แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกำลังเบ่งพลังแล้ว เขาไม่พูดก็ไม่รอดน่ะสิ!
เหมิงเอ้อที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ก็รู้สึกซาบซึ้ง จากนั้นก็พยักหน้าให้กับฉู่เหิน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง อีกทั้งยังน้ำตาไหลออกมาอีกด้วย พอเห็นแบบนี้ฉู่เหินก็จำเป็นต้องเล่นใหญ่ พูดกระทบความรู้สึกอีกชุดหนึ่ง!
“โอ๋ อย่าร้อง ๆ ฉันจะช่วยเธอเอง และจะจงรักภักดีต่อพี่สาวตลอดไป! ตอนที่พี่สาวทุกข์ใจ เหนื่อยหรือคันไม้คันมือก็ให้กลับมาหาฉัน ฉันจะต้อนรับพี่สาวด้วยความเต็มใจ!” หลังพูดจบ เหมิงเอ้อที่ร้องไห้เพราะซาบซึ้งก็ถึงกับทำตัวไม่ถูก
แต่ฉู่เหินกลับอยากฆ่าตัวตาย เขาไม่ได้จะพูดแบบนี้ คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการจะพูดจริง ๆ สักหน่อย แล้วทำไมถึงได้พูดออกมากัน!
ฉู่เหินไม่รู้ตัวเลยว่า ตอนนี้หวังโบ๋ที่หลบอยู่ในความว่างเปล่าก็ยิ้มจนเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
คำพูดเหล่านี้แม้จะไม่ใช่หวังโบ๋เป็นคนพูด แต่เขาใช้วิชาพิเศษเชื่อมต่อกับจิตใจของฉู่เหิน เพื่อบังคับให้ชายหนุ่มพูดออกมา เพียงแต่หลังฉู่เหินพ่นคำพวกนี้ออกมาแล้ว มันกลับทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองต่ำช้า ต่ำช้าอย่างถึงที่สุด แต่ในใจก็รู้สึกดีที่ได้แกล้งคนแบบฉู่เหิน
ในที่สุดหญิงสาวก็คล้ายจะถูกฉู่เหินทำให้ซาบซึ้ง เธอโถมร่างเข้าหาฉู่เหิน แล้วกอดชายหนุ่มเอาไว้แน่น ก่อนจะร้องไห้ออกมา ดวงตาของเธอมีน้ำตาไหลไม่หยุด ตอนที่น้ำตาเหล่านี้หยดใส่ตัวฉู่เหิน มันก็ราวกับว่าน้ำที่หยดลงมหาสมุทร ฉับพลันน้ำตาเหล่านี้ก็ได้หลอมรวมเข้ากับร่างของฉู่เหิน!