สุดยอดชาวประมง - บทที่ 418 จัดการนิกายกระบี่
บทที่ 418 จัดการนิกายกระบี่
บทที่ 418 จัดการนิกายกระบี่
หลังจากข่าวกระจายออกไป ผู้คนด้านนอกก็เริ่มจับตามองการเคลื่อนไหวของตระกูลฉู่มากขึ้นด้วยความสนใจ แม้ว่าความสามารถของตระกูลฉู่จะแข็งแกร่ง แต่ความแข็งแกร่งว่าที่ว่านั่นก็ใช้ได้แค่ในตระกูลเท่านั้น! เมื่อเป็นแบบนี้ อาศัยเพียงแค่คนในตระกูลฉู่ก็คล้ายจะไม่เพียงพอที่จะทำลายนิกายกระบี่ลงได้
ตระกูลฉู่ที่กำลังผงานอยู่ในขณะนี้ ถ้าตอนนี้จู่ ๆ พวกเขาเลือกที่จะไม่โจมตีแล้ว นั่นไม่ใช่หมายความว่าพวกเขากลัวนิกายกระบี่นี้หรอกเหรอ ดังนั้นตอนนี้มีผู้มีอำนาจทุก ๆ พรรคและนิกายต่างก็พากันจับจ้องสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้อย่างใกล้ชิด พวกเขาอยากจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วตระกูลฉู่จะทำอะไรต่อไป!
มีผู้มีอำนาจไม่น้อยที่เตรียมตัวเป็นตาเฒ่าประมงตกปลา* ถ้าทั้งสองฝั่งต่อสู้แล้วบาดเจ็บทั้งคู่ คนพวกนี้ก็วางแผนไว้ว่าจะเข้าไปซ้ำ นี่ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะล้มยักษ์ใหญ่ทั้งสองนี่ลง แต่นั่นก็ไม่ได้รับประกันเสมอว่าทุกอย่างจะเป็นเช่นนั้น!
*ตาเฒ่าประมงตกปลา เป็นนิทานนกกับหอยทะเลาะกัน แต่คนตกปลาได้รับประโยชน์ หมายถึง เมื่อ 2 ฝ่ายทะเลาะกันจนเกิดความสูญเสีย มือที่สามก็จะได้รับประโยชน์ไปฟรี ๆ แบบไม่ต้องทำอะไร
เพราะเหตุนี้เอง นี่จึงทำให้ทั้งนิกายกระบี่และตระกูลฉู่คล้ายจะลังเล ทุกการเคลื่อนไหวของสองกลุ่มอำนาจนี้ ไม่ว่าจะยิบย่อยแค่ไหนก็ล้วนแล้วแต่สร้างผลกระทบต่อจิตใจผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ เป็นอย่างมาก! ทั้งยุทธภพจะสงบสุขหรือไม่ ฟ้าดินจะสงบร่มเย็นหรือเปล่า ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของตระกูลฉู่แล้ว!
ในขณะที่ทุกคนรู้สึกร้อนรนกับเรื่องนี้ มีเพียงแค่ฉู่เหินคนเดียวที่นั่งอยู่ข้างค่ายกลจูเซียนเจินแล้วศึกษามันอย่างละเอียด หลังจากเรื่องในวันนั้นจบลง ฉู่เหินก็เอาแต่กักตัวอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไป 7-8 วันแล้ว
ภายใน 7-8 วันนี้ฉู่เหินได้รับของขวัญชิ้นใหญ่ทีเดียว เพราะจากพลังวรยุทธ์ของตัวเองจะมั่นคงมากขึ้นแล้ว ชายหนุ่มก็รู้สึกด้วยว่าตัวเองใกล้จะทะลวงเลื่อนขั้นได้ในไม่ช้านี้ แน่นอนว่านี้ไม่ใช่ของรางวัลชิ้นใหญ่ที่สุดของเขา มีครั้งหนึ่งที่ฉู่เหินลองใช้ศาสตร์เนตรเพื่อมองภาพค่ายกลตรงหน้า ผลที่ได้คือการเชื่อมต่อระหว่างกัน! ชายหนุ่มสามารถสัมผัสได้ถึงธาตุสายฟ้าที่อยู่ภายในนั้น ก่อนที่การเชื่อมต่อดังกล่าวจะทำให้เขาสามารถควบคุมธาตุอีกธาตุหนึ่งได้โดยบังเอิญ และนั่นก็คือธาตุลม!
ธาตุลมกับธาตุสายฟ้านั่นเชื่อมโยงกัน ทั้งหมดล้วนใช้การเปลี่ยนแปลงของธาตุชนิดหนึ่ง ตามหลังการแล้ว ลมและสายฟ้าเป็นสิ่งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ค่ายกลจูเซียนตรงหน้าทำให้ฉู่เหินสามารถแยกสสารการเปลี่ยนแปลงของธาตุสายฟ้าได้! ผลลัพธ์ของการแยกสสารครั้งนี้นี่เองที่ทำให้ฉู่เหินสามารถสัมผัสได้ถึงธาตุลม
ทันทีที่ร่างกายของเขาก่อเกิดธาตุลม ฉู่เหินก็สัมผัสได้ว่าธาตุลมและธาตุสายฟ้ามีการตอบสนองพิเศษบางอย่างต่อกัน หลังจากทั้งสองตอบสนองซึ่งกันและกัน ฉู่เหินก็สัมผัสได้ว่าร่างกายของตัวเองคล้ายจะเกิดความเปลี่ยนแปลง ราวกับมีสิ่งพิเศษบางอย่างกำลังทำให้ทั้งหมดเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
การเปลี่ยนแปลงนี้แม้ว่าจะไม่ทำให้พลังวรยุทธ์ของเขาเพิ่มขึ้น แต่ก็ทำให้พลังการโจมตีของเขาเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่า จากเดิมฉู่เหินค่อนข้างมั่นใจกับการแข่งขันร้อยนิกายอยู่บ้าง ทว่าหลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ขึ้น ความมั่นใจของชายหนุ่มก็คล้ายจะพุ่งทะยานติดจรวจยังไงยังงั้น! แต่ทว่าฉู่เหินก็รู้ดีเช่นกันว่าการแข่งขันร้อยนิกายนั้นไม่ใช่ง่าย ๆ เลย
ฉู่เหินคิดว่าอาจมีความเป็นไปได้ที่มิยาโมโตะ อิจิโร่ก็จะเข้าร่วมการแข่งขันด้วยเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงต้องเตรียมพร้อมสำหรับศึกตัดสินครั้งใหญ่ที่ใกล้เข้ามา มีแต่ต้องทำให้ตัวเองแข็งแกร่งกว่านี้เท่านั้นถึงจะรอดไปได้
ความรู้สึกบางอย่างบอกฉู่เหินว่า ขอเพียงแค่ตัวเขายังคงศึกษาค่ายกลนี่ต่อไป ชายหนุ่มจะต้องได้อะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่านี้กลับไปแน่ ท่ามกลางเวลาที่เสียไป ทำให้ฉู่เหินค้นพบว่าค่ายกลแห่งนี้ยังมีวิธีใช้งานอีกรูปแบบหนึ่ง! ยิ่งเขาได้ทำความเข้าใจค่ายกลนี้มากเท่าไร ฉู่เหินก็ยิ่งรู้สึกว่าค่ายกลนี้มันเจ๋งมากเท่านั้น ภายในมันมีความลับซ่อนไว้มากมาย!
หลังจากเข้าญาณมาเนินนาน ในที่สุดฉู่เหินก็ลืมตา การกักตนอย่างต่อเนื่อง 7-8 วันทำให้เขารู้สึกค่อนข้างเหนื่อยพอสมควร พอคิดถึงเรื่องข้างนอก ชายหนุ่มก็พลันสูดหายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งครั้งเพื่อทำใจ อย่างไรก็ตามเขาเพิ่งจะลืมตาไม่ทันไร จังหวะนั้นก็เห็นสองผู้เฒ่าฉู่เดินกลับไปกลับมาด้วยความวิตกกังวลอยู่ไม่ไกล
ดูออกเลยว่าพวกเขามาหาเพราะมีเรื่องเกิดขึ้น แต่ด้วยความกลัวว่าจะไปรบกวนชายหนุ่ม ดังนั้นชายชราทั้งสองจึงเลือกที่จะเดินไปมาอยู่แถวนี้ ไม่กล้าเรียกให้ตัวเองตื่น สิ่งนี้ทำให้ฉู่เหินรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เพราะเขารู้ว่าที่ทั้งสองมาหาตัวเองนั้นต้องมีเรื่องด่วนมากอย่างแน่นอน ทว่าในสถานการณ์แบบนี้พวกเขากลับเลือกที่จะยืนรออยู่ข้าง ๆ แทน เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาแคร์ฉู่เหินมากแค่ไหน
เป็นเพราะกลัวเขาผิดพลาด จึงเลือกที่จะยืนรอ เพียงแค่นี้ชายหนุ่มก็รู้แล้วว่าสำหรับตนเองแล้ว ตระกูลฉู่คือครอบครัวในแบบที่เขากำลังมองหาอย่างแท้จริง
ถึงแม้ว่าโดยสายเลือดฉู่เหินจะถือได้ว่าเป็นคนในตระกูลฉู่อยู่แล้ว แต่ทว่าตั้งแต่เด็กเขาไม่ได้เติบโตที่บ้านตระกูลฉู่ ดังนั้นเลยไม่มีความรู้สึกผูกพันกับที่นี่เท่าไหร่ แต่เมื่อเขาได้กลับมาที่บ้านตระกูลฉู่ ชายหนุ่มก็ได้พบกับการต้อนรับอันแสนอบอุ่น นอกจากนี้พวกคนตระกูลฉู่ยังเป็นพวกที่เข้าข้างลูกหลานตัวเอง เข้าข้างแบบขั้นสุดเลยทีเดียว
ต้องเข้าใจด้วยว่าปีนี้ฉู่เหินได้ไปมีปัญหากับผู้มีอำนาจใหญ่ ๆ มากมายแค่ไหน แต่ทุกอย่างที่ว่านั่นก็ได้หายไปแล้ว คล้ายกับว่าตระกูลฉู่เป็นคนออกหน้าเก็บกวาดให้เสียจนหมด เหตุการณ์นี้ทำให้เขารู้ได้ตั้งแต่ตอนนั้นเลยว่าคนตระกูลฉู่เวลาบ้าคลั่งขึ้นมาจะน่ากลัวขนาดไหน!
“ผู้เฒ่า ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?” หลังจากฉู่เหินยืนขึ้นก็หันไปมองท่าทางกระวนกระวายของทั้งสองแล้วถาม!
พอผู้เฒ่าตระกูลฉู่ได้ยินประโยคนี้ พวกเขาก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา ก่อนจะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นด้านนอกกับฉู่เหินอย่างละเอียดรอบหนึ่ง อีกทั้งบอกชายหนุ่มว่าฉู่ฉุนแนะนำให้พวกเขาอย่างเพิ่งทำอะไรผลีผลาม รอให้ฉู่เหินตื่นจากการกักตนก่อน ค่อยตัดสินใจ
ผู้เฒ่าของตระกูลฉู่เองก็เลือกที่จะทำตามนั้น ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะพวกเขาได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองโบราณจากฉู่ฉุนหมดแล้ว ทั้งยังได้ฮาวโยวที่คอยเสริมอยู่ข้าง ๆ อีกด้วย พวกเขาทั้งสองคนพร้อมกันยืนยันอย่างหนักแน่นว่าแผนการรบของฉู่เหินนั้นไร้ผู้ต่อกร!
และก็เพราะเหตุนี้เอง ผู้เฒ่าตระกูลฉู่ถึงได้ลังเลชักช้าไม่ตัดสินใจเสียที เพื่อรอให้ฉู่เหินตื่นแล้วลองฟังดูว่าชายหนุ่มจะมีแผนการเหนือชั้นอะไรบ้าง หลังจากฉู่เหินฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างละเอียด เขาก็อดที่จะขมวดคิ้วแน่นไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าสองขุมอำนาจจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ช่างเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝันมาก่อนเลยจริง ๆ
ต้องเข้าใจว่าทุกพรรคทุกนิกายนั้นให้ความสำคัญกับการสืบทอดของตัวเอง อย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ง่าย ๆ ที่จะเอานิกายอื่นอีกนิกายมารวมกัน แต่การที่ทั้งสองรวมตัวกันแบบนี้ก็หมายความว่านี่เป็นแผนการที่พวกเขาคิดไว้ตั้งแต่ต้น!
หลังจากฉู่เหินวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด สมองของเขาก็ค่อย ๆ คิดแผนการหนึ่งออก ต่อมาเมื่อแผนการนี้ค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่าง ชายหนุ่มก็ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนอีกครั้ง จนถึงตอนสุดท้ายตัวเองก็รู้สึกว่าทุกอย่างไร้ที่ติแล้ว ถึงค่อยพยักหน้าอย่างพอใจ!
“เรื่องนี้ไม่ยาก แต่ว่าผู้เฒ่าทั้งสองจำเป็นต้องไปหาวัตถุดิบบางอย่างให้ผม ผมคงต้องกักตัวอยู่ที่นี่ 1 วัน หลังจากนั้นผมถึงจะบอกรายละเอียดได้ แต่มั่นใจได้ว่ามันจะนำมาซึ่งชัยชนะที่ง่ายดายเสียยิ่งกว่าง่ายแน่นอนครับ” หลังจากได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น ฉู่เหินก็ไตร่ตรองสักพักแล้วคิดถึงแผนที่น่าจะเป็นไปได้ออกมา ดังนั้นชายหนุ่มจึงกล้าที่จะบอกกับผู้เฒ่าเช่นนี้
แม้ว่าทั้งสองผู้เฒ่าจะไม่รู้ว่าฉู่เหินจะทำอะไร แต่ในเมื่ออีกฝ่ายบอกอีก 1 วันสามารถชนะได้ งั้นพวกเขารออีกวันก็ไม่เป็นไรหรอก! สำหรับวัตถุดิบที่ฉู่เหินต้องการนั้น อาศัยความเหนื่อยยากนับพันปีของตระกูลฉู่ การจะหาวัตถุดิบเหล่านี้นั้นก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก!
หลังจาก 1 วันผ่านไป ฉู่เหินก็ออกจากการกักตนพอดี ต่อมาเขาก็ออกมาฟังสถานการณ์จากผู้เฒ่าทั้งสอง โดยมีฉู่เหินเป็นคนวางแผนการในครั้งนี้ รวมทั้งเหล่าผู้เฒ่าในตระกูลทั้งหมดก็ได้มาฟังฉู่เหินเช่นกัน ชายหนุ่มมองออกไปเห็นทหารของตระกูลฉู่ที่มีจิตใจฮึกเหิม ในใจก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาบ้างเช่นกัน
“ผู้อาวุโสทุกท่าน พวกเราต้องทำให้นิกายกระบี่นี้ล่มสลายไปซะ นอกจากจะเพื่อแก้แค้นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็เพื่อกำไรด้วย! นอกจากแผนการนี้จะไม่สิ้นเปลืองพลทหารสักคนเดียวแล้ว พวกเราก็ยังได้กำไรกลับมาอีกด้วย!” ฉู่เหินนั่งอยู่บนตำแหน่งผู้นำ เมื่อเห็นคนในตระกูลที่รอฟังเขาก็อดที่จะพยักหน้ายิ้ม ๆ ไม่ได้
ผลสุดท้ายผู้เฒ่าตระกูลฉู่ทุกคนที่ได้ฟังที่ฉู่เหินพูด พวกเขาต่างก็รู้สึกทึ่ง! ไม่เสียพลทหารเลยสักคน แถมยังสามารถได้รับผลกำไร มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน? ทว่าพวกเขาก็รู้ดีว่าฉู่เหินจะไม่พูดจาซี้ซั้วเด็ดขาด ในเมื่ออีกฝ่ายพูดแล้ว งั้นมันก็ต้องเป็นไปตามที่เขาพูด! ราวกับสายตาของทุกคนสื่อออกมาอย่างงั้นเวลามองเขา ฉู่เหินเลยต้องพูดอะไรสักหน่อย
“ผู้เฒ่าสาม ผู้เฒ่าห้า ผมมีของล้ำค่าอยู่ชิ้นหนึ่ง พวกคุณหยิบไปไว้ในมือ ในนี้ยังมีแหวนมิติอยู่หนึ่งวง ในนั้นมีของที่เตรียมเอาไว้อยู่ส่วนหนึ่ง สองผู้เฒ่าไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองทหารเลยสักคน ขอเพียงแค่เดินไปข้างหน้าก็พอ ตอนใกล้จะถึงนิกายกระบี่ก็ให้ลองดูภายในนี้ มันมีของที่ผมมอบไว้ให้อยู่ เมื่อถึงตอนนั้นขอเพียงใช้ของในนี้ รับประกันได้ว่าจะกลับมาโดยสวัสดิภาพได้แน่”