สุดยอดชาวประมง - บทที่ 434 เข้าสู่ดินแดนรกร้าง
บทที่ 434 เข้าสู่ดินแดนรกร้าง
บทที่ 434 เข้าสู่ดินแดนรกร้าง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว งานประลองยิ่งเข้าใกล้มากขึ้นทุกที ตอนนี้กลุ่มอำนาจทั้งหลายพากันมายืนออกันอยู่ด้านหน้าปากทางเข้าหมดแล้ว! แต่เพื่อความปลอดภัย ตอนนี้พวกเขาเลยยังไม่มีใครเข้าไป ทั้งนี้ก็เพราะคนพวกนี้กลัวว่านี่จะเป็นแผนของพรรคหยูหลิน!
ตอนนี้ฉู่เหิน เซี่ยวเฟิงและคนอื่น ๆ มาถึงกันแล้ว ทำให้พวกเขาพบว่ากลุ่มอำนาจหลายกลุ่มมาเข้าร่วมไม่น้อยเลยทีเดียว ขั้นปราชญ์ดาราระดับสูงเหล่านั้นน่ากลัวว่าจะมีจำนวนกว่าพันคน ส่วนขั้นปราชญ์ดาราระดับต้นเห็นจะมีเกินหมื่นคนแล้ว! สำหรับขั้นที่น้อยกว่าปราชญ์ดาราระดับต้นอย่างขั้นจักรพรรดิดาราและราชันดารานั้น มองไปทางไหน ๆ ก็มีเต็มไปหมด
ฉู่เหินเพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นเบี้ยเล็ก ๆ ขนาดไหน สำหรับกลุ่มคนเหล่านี้แล้ว ชายหนุ่มคงไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ ถ้ามดแมลงที่ถูกเมินเฉยและมองข้ามอย่างฉู่เหินมีความที่จะโค่นล้มกลุ่มอำนาจพวกนี้ ถ้าคนอื่น ๆ รู้เข้า พวกเขาคงโดนหัวเราะเยาะตาย!
“สวัสดีทุกท่าน ทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าต่อไปพวกเราจะไปสถานที่แบบไหน แม้ว่าในดินแดนรกร้างนั้นจะเต็มไปด้วยของวิเศษล้ำค่ามากมาย แต่มันก็เสี่ยงอันตรายด้วยเช่นกัน ดังนั้นเราจึงจะมอบแผนที่อย่างละเอียดให้แก่ทุกคน! หวังว่าทุกคนจะไม่ออกนอกเส้นทาง ไม่เช่นนั้นถ้าเกิดอันตรายใดขึ้น ถ้างั้นก็ให้ถือเสียว่าพวกคุณดวงซวยละกัน” เซี่ยวเฟิงพูด
ที่จริงในประโยคดังกล่าวเต็มไปด้วยช่องโหว่ ต้องเข้าใจว่าการจัดการประลองในครั้งนี้นั้นไม่ได้พูดถึงเรื่องการประลองยุทธ แต่ในดินแดนรกร้างนั้นมีของวิเศษล้ำค่ามากมาย แม้จะบอกว่าภายในมีแต่อันตราย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโชคลาภต่าง ๆ เองก็มากมายเช่นเดียวกัน! เรียกได้ว่าเหมือนเป็นการแปะป้ายบอกว่าที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึงที่แท้จริง*
*ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง เป็นคำเปรียบเปรยหมายถึง อยากปกปิดซ่อนเร้น กลับกลายเป็นเปิดเผยให้โลกรู้
ต่อมาเซี่ยวเฟิงก็ให้คนไปเอาแผนที่ออกมา ทั้งยังอธิบายอย่างละเอียดให้ทุกคนฟังอีกครั้ง เมื่อทุกคนได้ฟังก็รู้ซึ้งเลยว่าภายในนั้นอันตรายมากเพียงใด แน่นอนว่าที่เซี่ยวเฟิงพูดนั้นปราศจากจุดประสงค์แอบแฝงใด ๆ
เซี่ยวเฟิงที่คิดว่าใกล้จะได้เวลาแล้ว เขาจึงโบกมือให้ทุกคนเข้าดินแดนรกร้างได้! พื้นที่ในดินแดนรกร้างนั้น ไม่ได้ใหญ่กว่าด้านนอกเท่าไรนัก ขนาดก้อนหินบนภูเขาก็ไม่ได้แปลกประหลาดอะไรเลย
แต่พอพวกเขาเดินมาไม่ถึงครึ่งวัน ทัศนียภาพรอบข้างก็เปลี่ยนไป กลายเป็นภูเขาสูงเทียมเมฆรอบด้านเต็มไปด้วยต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมด และฉู่เหินยังรู้สึกว่าที่นี่มีบางอย่างแปลกไป!
ที่ยอดภูเขานั้นสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่แผ่ออกมา อีกทั้งยังให้ความรู้สึกถึงกลิ่นอายที่แตกต่างไปจากด้านนอก โดยเฉพาะดอกไม้ใบหญ้าที่ดูธรรมดาที่สุด ที่บางครั้งพวกมันก็ให้ความรู้สึกที่อันตราย บางครั้งก็ให้ความรู้สึกน่าเชื่อถือ ดังนั้นเขายังไม่ได้ตัดสินใจไปทางนั้น
แต่ก็มักจะมีคนที่คิดต่างอยู่เสมอ มีลูกศิษย์จากพรรคหนึ่งตอนที่กำลังเดินไปข้างหน้าอยู่นั้น ระหว่างทางพบกับดอกไม้ที่ให้ความรู้สึกอันตรายออกมา แต่คน ๆ นี้กลับมองสำรวจอย่างละเอียดแล้วก็นึกในใจว่านี้ยังไงก็แค่ดอกไม้ธรรมดา และเขาก็ไม่เชื่อว่าดอกไม้ธรรมดาแบบนี้จะสามารถทำร้ายคนได้
ดังนั้นด้วยความกังขาเลยยื่นมือออกไป ทันทีที่เขายื่นมือออกไป จากดอกไม้ที่คิดว่าธรรมดาจู่ ๆ ก็ขยายใหญ่ขึ้น หลังจากนั้นดอกไม้ที่เดิมหุบอยู่ก็พลันบานออกกว้างแล้วกลืนคนเมื่อครู่ลงท้องไปเลย
นั่นทำให้ทุกคนรู้ว่าดอกไม้นี้แท้จริงก็คือดอกไม้กินคน เพียงแต่น่าเสียดายในตอนแรกเพื่อศึกษามันต้องเสียคนไปจำนวนไม่น้อย เพราะสุดท้ายคนเหล่านั้นก็จะโดยพวกมันฆ่าหมด ถ้าเพียงเท่านั้นก็แล้วไป แต่กลายเป็นว่าคนเหล่านี้ไปทำให้ดอกไม้กินคนโมโหเข้า พอมันเริ่มโมโหมันก็โจมตีผู้คนอย่างโหดเหี้ยม!
เลยทำให้กลุ่มอำนาจที่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวด้วยโดนลูกหลงบาดเจ็บไปด้วย จะรอให้เหล่ายอดฝีมือมาช่วยตัวเองก็ไม่ทันซะแล้ว เลยทำให้ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเข้ามาไม่นานก็มีกลุ่มอำนาจตายไปหลายคน
แต่ที่แปลกของกลุ่มอำนาจเหล่านี้คือไม่มีใครโกรธพรรคหยูหลินเลย พวกเขากลับรู้สึกซาบซึ้งใจด้วยซ้ำ! เพราะในแผนที่ก็เขียนไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า เมื่อเข้ามาแล้วต้องระวังต้นไม้และดอกไม้รอบข้าง ไม่งั้นจะเป็นอันตราย
ถึงอย่างงั้นเพราะพวกเขาไม่ได้ใส่ใจเอง ถึงได้มาตายอย่างอนาถแบบนี้ เพราะงั้นจะไปโทษใครได้? กลับกันกลุ่มอำนาจใหญ่รู้สึกว่าพรรคหยูหลิน ได้พยายามเตือนทั้งยังเขียนอธิบายอย่างละเอียดอีกด้วย! ดังนั้นแค่จุดนี้พรรคหยูหลินก็ถือว่าค่อนข้างจะมีมโนธรรมแล้ว
พอเดินมาข้างหน้าเรื่อย ๆ พวกเขาก็พบทางแยกนับไม่ถ้วน ถึงตรงนี้พรรคหยูหลินก็หยุดอยู่ตรงนี้แล้วรอให้คนอื่น ๆ มาถึง เพื่อรอพาพวกเขาไปสถานที่ ๆ ใช้เป็นที่บูชาฟ้าดิน ซึ่งพรรคหยูหลินก็ได้ประกาศให้ที่แห่งนั้นเป็นสนามประลอง
ลานบูชาฟ้าดินนี้สร้างขึ้นเมื่อไร? ใครเป็นคนสร้าง? จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ แต่ที่นี่มีสิ่งของไม่เลวอยู่ชิ้นหนึ่งซึ่งสืบทอดต่อกันมา ทุกคนที่มาถึงที่นี่ก็คาดหวังว่าจะได้รับสืบทอดของโบราณกาล
บรรพบุรุษของพรรคหยูหลินได้เขียนไว้ว่า ของที่สืบทอดนั้นมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นของพรรคใหญ่สมัยโบราณสักพรรคหรือไม่ก็เป็นของพวกตระกูลใหญ่ที่ต้องการฝึกลูกหลานของตัวเอง! บนลานประลองแห่งนี้ใครก็ตามที่เข้าไปจะถูกระงับพลังวรยุทธ์
เมื่อเป็นแบบนี้ที่นี่จึงเป็นสนามประลองที่เหมาะสมที่สุดแล้ว! อีกทั้งไม่ว่าจะอายุหรือพลังวรยุทธ์เท่าไหร่ มันก็จะไม่มีผลต่อที่นี่ทั้งนั้น ขอเพียงแค่ตอนสุดท้ายคุณชนะก็มีความเป็นไปได้ว่าของที่สืบทอดต่อกันนั้นจะตกเป็นของคุณแล้ว!
ต้องเข้าใจว่าชนชั้นสูงของกลุ่มอำนาจของพรรคนั้น พลังวรยุทธ์ของพวกเขาอยู่ในจุดอิ่มตัวแล้ว อยากเลื่อนขั้นก็ทำได้ยากมาก หากได้ของชิ้นนี้มาล่ะก็ การที่พวกเขาจะสามารถเลื่อนไปอีกขั้นก็ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป แล้วเพราะแบบนี้เอง เลยทำให้พวกเขาเข้าร่วงการประลองนี้
ลานบูชาฟ้าดินพูดแล้วเหมือนจะเล็ก ที่จริงกลับใหญ่มาก ภายในลานบูชาฟ้าดินนั้นมีหุบเขาเป็นแนวยาวเป็นเส้น ซึ่งได้ครอบคลุมทั่วทั้งลานบูชาฟ้าดินไว้ทั้งหมด หรือแม้กระทั้งภายในยังมีค่ายกลคลุมไว้อีกชั้นด้วย!
เพียงแต่คนที่เข้ามาในหุบเขาพลังวรยุทธ์จะเท่ากับคนที่พลังน้อยที่สุด ทว่าเรื่องนี้สำหรับยอดฝีมือเหล่านั้นไม่ได้เก็บมาใส่ใจเท่าไร เพราะทุกวันนี้พวกเขาใช้แค่พลังธาตุเป็นหลัก ซึ่งต่างจากคนอื่น ๆ
การที่พลังวรยุทธ์ของพวกเขาถูกยึดเป็นต่ำสุด เพียงแค่พวกเขาดีดนิ้วก็ทำให้คนที่พลังขั้นเดียวกันแพ้อย่าง่ายดายแล้ว เพราะฉะนั้นเขาถึงไม่กลัวและมาประลองในวันนี้
ที่ลานบูชาฟ้าดินโบราณแห่งนี้ ผู้ที่จะเข้าร่วมการประลองต้องเตรียมก้อนหินพิเศษจากด้านนอกลานบูชาฟ้าดินและแกะสลักชื่อตัวเองลงไป ซึ่งเจ้าหินนั่นก็จะทำหน้าที่เป็นตัวบอกคะแนนของแต่ละคน
ด้วยวิธีนี้จึงทำให้ทุกคนไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครเล่นตุกติกได้! ที่ทางแยกแม้ว่าจะมีหลายทาง แต่เส้นทางทั้งหมดจะไปบรรจบที่ลานบูชาฟ้าดิน เมื่อทุกคนมาถึงก็แยกไปคนละทิศละทาง เพราะจากที่นี่ไปจนถึงลานบูชาฟ้าดินนั้น มีของให้เสี่ยงโชคระหว่างทางอีกมากมาย!
ดังนั้นเลยมีกลุ่มอำนาจหลายกลุ่มแยกกำลังคนไปคนละเส้นทาง พวกเขาพากันกระจายกำลังออกหาสมบัติ!
ต่อมากลุ่มอำนาจหลายกลุ่มก็รีบออกเดินทางจากที่นี่ไปคนละทางแยก ซึ่งพรรคหยูหลินเองก็ร่วมมือกับพรรคพวกนั้นด้วย
ฉู่เหินยืนมองอยู่ด้านข้าง เขาเห็นว่าที่นี่น่ากลัวจะมีทางแยกมากกว่าพันเส้นทาง แต่ในแผนที่มีบันทึกไว้ไม่ถึงสิบเส้นด้วยซ้ำ! ดังนั้นหลังจากมาถึงที่นี่ ก็มีบ้างที่บางคนใช้เส้นทางตามที่บันทึกเคยบอกไว้ แต่ส่วนมากแล้วจะไปเส้นทางที่ไม่เคยมีบันทึกนั้นมากกว่า เพราะเส้นทางที่ไม่มีบันทึกก็หมายความว่ามีสมบัติเยอะกว่า!