สุดยอดชาวประมง - บทที่ 485 ก่อเรื่องแล้ว
บทที่ 485 ก่อเรื่องแล้ว
บทที่ 485 ก่อเรื่องแล้ว
ป่าแห่งหมอกตรงหน้าถูกทั้งสามการโจมตีสร้างความเสียหายเอาไว้มากพอตัว แม้ว่าภายในจะมีหมอกมาก แต่พวกเขาก็มองเห็นศพโจรไม่น้อยนอนอยู่ ถึงแม้ว่าพวกโจรจะเป็นแค่ทหารหนีทัพ แต่พลังการโจมตีของพวกเขาก็แข็งแกร่งมาก ทว่ากลับมานอนตายอยู่ตรงนี้ ภาพตรงหน้าทำให้พวกเขาทั้งสองส่งสายตาเหลือเชื่อออกมา!
ฉู่เหินแสดงพลังแบบนี้ออกมาอย่างต่อเนื่อง เขาพบว่าพลังดวงดาวในร่างก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว! นี้ทำให้ชายหนุ่มแปลกใจอย่างมาก ขณะที่เขาโคจรพลัง พลังดวงดาวข้างนอกก็ถูกดูดกลับเข้ามาในร่าง การทำแบบนี้ได้ผลดีเป็นอย่างมาก ทำให้เขาได้รับพลังมากขึ้นหลายเท่า
ในขณะนี้ชายหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นมาก ตอนนี้เขาได้เลื่อนจากจักรพรรดิดาราระดับกลางมาเป็นระดับสูงแล้ว! ขณะที่ฉู่เหินเตรียมจะลงมือต่อ เขาก็สัมผัสได้ว่าภายในป่าแห่งหมอกคล้ายจะมีพลังงานพิเศษ เป็นพลังงานที่ทำให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียน!
ตอนที่ชายหนุ่มกำลังจะก้าวไปข้างหน้า จูจือและเสี่ยวซุ่ยก็ตามมาถึง พอพวกเขาพบว่าการโจมตีที่น่าหวาดกลัวนั้นมาจากฉู่เหินก็ตะลึง และเมื่อพวกเขาเห็นว่าฉู่เหินจะก้าวต่อไปข้างหน้าก็รีบวิ่งไปดึงแขนเขาเอาไว้
ฉู่เหินที่ถูกดึงแขนจู่ ๆ ก็ได้สติคืนมา! ก่อนหน้านี้เขาเหมือนจะตกอยู่ในภวังค์บางอย่าง เขาก้าวเดินไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้พอถูกดึงแขนเอาไว้เขาถึงได้กวาดตารอบ ๆ อย่างงุนงง !
เดิมทีจูจืออยากจะพูดอะไรกับเขาสักหน่อย แต่พอจะอ้าปากพูดก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี สุดท้ายเพียงถอนหายใจแล้วพูดไม่กี่ประโยคว่า “น้องชาย นายก่อเรื่องวุ่นวายซะแล้ว!” ขณะที่ฉู่เหินกำลังยืนงง พวกเขาก็รีบลากฉู่เหินไปหาครูฝึกสอนวรยุทธ์ในทันที!
ครูฝึกกำลังนั่งดื่มชาอยู่ในบ้านตัวเอง คิดไม่ถึงว่าเด็กสามคนจะวิ่งกลับมาเร็วขนาดนี้ ทั้งยังกลับมาด้วยใบหน้าไม่สู้ดี เขาคิดในใจว่าคนพวกนี้ช่างไม่รู้จักลำบากเสียเลย มีอย่างที่ไหนกลับมาเร็วขนาดนี้ อย่างไรก็ตามยังไม่ทันที่เขาจะได้อ้าปากพูด จูจือก็ทำให้เขาตะลึงเสียก่อน!
“หัวหน้าพวกเราทำภารกิจเสร็จแล้ว เก็บกวาดงูพิษนั้นไม่เหลือเลยสักตัว!” พอจูจือพูดจบในใจก็เกิดความคิดร้อยแปดพันเก้า แต่เขาอยากจะรู้ว่าเมื่อได้ฟังแล้วครูฝึกจะทำอะไรต่อไป
“นายพูดอะไรนะ พูดอีกรอบสิ!” ครูฝึกคนนั้นคล้ายจะไม่เชื่อ เขาถามกลับหนึ่งประโยคในทันที! ก่อนที่ต่อมาใบหน้าก็คล้ายจะเพิ่มความโมโหมากขึ้นหลายส่วน เขาคิด ว่าถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงล่ะก็ งั้นมันก็คงเป็นเพราะพวกคนพลังขั้นสูง ๆ ซักคนที่ว่างงานมากเสียจนไปเกินไป !!!
เขาจะต้องจับคน ๆ นั้นมาลงโทษอย่างแน่นอน ต้องเข้าใจว่าด้วยความสามารถของคนในหมู่บ้าน คิดอยากจะกำจัดงูพิษนั้นเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ที่ไม่ทำเพราะว่ามันยังมีประโยชน์อยู่
“หัวหน้า คุณฟังไม่ผิด งูพิษถูกฆ่าตายหมดแล้ว”
พอได้ฟังจูจือพูดยืนยันอีกครั้ง ครูฝึกก็อดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ดูเหมือนว่าฉันต้องส่งคนไปจัดการหนูพวกนั้นซะแล้ว!”
“หัวหน้า คุณไม่จำเป็นต้องส่งคนไปแล้ว หนูพวกนั้นได้ถูกกำจัดหมดแล้ว และไม่เพียงแค่หนู แม้แต่พวกเสือสิงห์กระทิงแรดพวกสัตว์ที่อยู่หลังเขาทั้งหมดก็คล้ายจะไม่มีแล้ว อีกที่จริงพวกโจรในป่าแห่งหมอกเองก็ถูกฆ่าตายไปไม่น้อย!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ครูฝึกคนนั้นก็คล้ายจะอยู่ไม่สุขแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่อว่าที่หมู่บ้านนี้มียอดฝีมือขนาดนี้อยู่ด้วยจริง ๆ เหรอ น่ากลัวว่านอกจากตัวเองและหัวหน้าหมู่บ้านกับอีก 2-3 คนลงมือ ก็คงไม่มีใครสามารถทำได้เท่านี้แล้ว แต่คนแก่อย่างพวกเขาไม่มีทางไปทำเรื่องแบบนี้แน่นอน!
ในเมื่อพวกเขาไม่ได้ลงมือ หรือว่าจะเป็นเด็กในหมู่บ้านกัน! อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ใช่คนแก่ ๆ อย่างพวกเขา งั้นใครจะมีความสามารถที่เก่งขนาดนั้น? อีกทั้งการฆ่าสัตว์ด้านหลังภูเขาได้ทั้งหมด พวกเขาคงต้องบอกว่าอีกฝ่ายเก่งเกินไปแล้ว!
ที่พวกเขาแปลกใจก็คือในใต้พิภพมีหนอนพิเศษชนิดหนึ่ง หนอนชนิดนี้มีความยาวหลาย 10 กิโลเมตร เป็นอันตรายกับหมู่บ้านพวกเขามาก ซึ่งตัวที่กินหนอนพวกนี้ก็มีแค่หนู! โดยหนูพวกนี้นั้นก็ได้ถูกกินด้วยงูพิษต่ออีกทีหนึ่ง
เรียกได้ว่าหมู่บ้านพวกเขาอยู่แบบพึ่งพาอาศัยสัตว์เหล่านี้ อย่างไรก็ตาม วันนี้มีคนไปจัดการพวกมันหมดแล้ว ฉะนั้นต้องไม่ใช่เรื่องดีต่อหมู่บ้านพวกเขาแน่!
หลังจากครูฝึกคนนั้นสอบสวนอยู่นาน เขาก็พลันมองฉู่เหินด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ! เขาไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่พลังวรยุทธต่ำที่สุดคนหนึ่ง จะมีพลังที่น่ากลัวถึงขนาดนี้! พอพูดถึงพลังวรยุทธ์ จู่ ๆ เขาก็พบว่าชายหนุ่มนั้นเลื่อนขั้นพลังมาอีกระดับแล้ว !
อีกทั้งตามที่จูจือและเสี่ยวซุ่ยบอกมา เมื่อกี้ฉู่เหินเพิ่งผ่านการเลื่อนขั้นมาไม่นาน นี้ก็หมายความว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นอัจฉริยะไม่ใช่รึไง! คิดถึงตรงนี้เขาก็มองฉู่เหินด้วยสายตาลุกเป็นไฟ! ยิ่งมองเขาก็ยิ่งถูกชะตามากขึ้น
แต่ถูกชะตาก็ส่วนถูกชะตา ลงโทษก็ส่วนลงโทษ ที่ควรให้รางวัลก็ควรให้ “ฉู่เหินนายระเบิดพลังสูงส่งแบบนั้นออกมาได้ยังไง! นายลองทำให้ฉันดูที่สิ!”
ฉู่เหินได้ยินแบบนี้ก็จนใจ และแสดงพลังให้ครูฝึกคนนั้นดูอีกครั้ง เมื่อครูฝึกสอนวรยุทธ์ได้เห็นที่ฉู่เหินแสดงให้ดู เขาก็อดที่จะตะลึงอ้าปากค้างไม่ได้
“นี้ นี้มันเป็นไปได้ยังไง! เอาพลังวิญญาณเป็นแก่นหลัก และใช้พลังดวงดาวเป็นตัวนำพลังธาตุ! เมื่อก่อนไม่ใช่ว่าไม่มีคนเคยคิด แต่คนที่ทำแบบนี้ก็ล้วนแต่ตัวแตกตายหมด นายทำได้ยังไงกัน!” เมื่อครูฝึกเห็นการแสดงพลังของฉู่เหิน เขาก็ตกใจแทบสิ้นสติ!
พอฉู่เหินได้ยินว่าไม่เคยมีคนทำได้มาก่อน เขาก็พลันคิดขึ้นมาว่าไม่ใช่อีกฝ่ายก็ปล่อยพลังออกมาเหมือนกับเขาไม่ใช่เหรอ หรือว่าเขาจะคิดผิดไป? ฉู่เหินไหนเลยจะรู้ว่าที่อีกฝ่ายแสดงพลังแบบนั้นออกมาทั้งหมดเป็นเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น ซึ่งวิธีการของชายหนุ่มนั้นทรงพลังมากกว่าหลายเท่า
อันที่จริงแล้วการทำแบบนั้นก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือพลังจะมากมายมหาศาล ส่วนข้อเสียก็มีไม่น้อยเช่นกัน ถ้ายังแสดงพลังแบบนี้ต่อไปในระยะยาว ไม่เพียงแต่วิญญาณจะได้รับความเสียหาย แต่พลังธาตุของตัวเองก็จะได้รับบาดเจ็บด้วยเช่นกัน
พลังแบบนี้เหมาะกับการใช้ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ถ้าขืนทำต่อไปในระยะยาวจะไม่เป็นผลดีเท่าที่ควร!
“การโจมตีของนาย ต่อไปถ้าไม่ถึงแก่ชีวิตจริงห้ามใช้เด็ดขาด ถ้าใช้ต่อไประยะยาวจะไม่เป็นผลดีต่อพลังวรยุทธ์ของนายเอง! อีกสักครู่ให้นายไปที่คลังสมบัติก็แล้วกัน ที่นั่นมีลู่ทางให้พัฒนาพลังมากมายหลายอย่างที่นายสามารถเอาไปศึกษาได้! อีกอย่าง ฉันก็คิดว่าพลังวรยุทธ์ของนายนั้นยังไม่สมบูรณ์เท่าไร เพราะงั้นจงไปที่นั่นเพื่อหาสิ่งที่จะทำให้มันสมบูรณ์เถอะ!”
“ฉันให้เวลานายอ่านหนังสือและฝึกฝนพลัง 2 วัน จากนั้นให้รีบมาหาฉันที่นี่ ครั้งนี้นายก่อเรื่องวุ่นวายไว้มาก ถ้าไม่รีบมาช่วยแก้ไข น่ากลัวว่าปีนี้หมู่บ้านเราได้ถึงคราวเคราะห์แล้ว รอให้นายกลับมาก่อนแล้วฉันจะมอบหมายหน้าที่ให้ ตอนนี้ไปเรียนเสียก่อนเถอะ!” ครูฝึกพูดจบก็โบกมือแสดงออกว่าให้ฉู่เหินไปได้แล้ว
ชายหนุ่มรีบอำลาก่อนจะมุ่งตรงไปที่คลังสมบัติ เขาคิดว่าไปที่คลังสมบัติต้องมีความดีความชอบมาแลก ไม่รู้ว่าอย่างเขาจะถือว่ามีความดีความชอบพอไหม!
ไม่นานเขาก็มาถึงที่คลังสมบัติ ด้านหน้าประตูมีชายชราคนหนึ่งยืนเฝ้าอยู่ เส้นผมสีดอกเลา นั่งหลับตาใต้ต้นไม้อย่างสงบ อีกฝ่ายพอลืมตาเห็นฉู่เหินก็หลับตาลงไปใหม่
“เอาป้ายหยกวางไว้บนหิน! ความดีความชอบ 500 แต้มจะสามารถอ่านหนังได้ 1 วัน 1,000 แต้มจะสามารถยืมหนังสือไปศึกษาได้!” เขาพูดทั้งที่กำลังหลับตาอยู่ ราวกับไม่แยแสเรื่องอะไรทั้งนั้น