สุดยอดชาวประมง - บทที่ 67 กระต่ายหายนะ
บทที่ 67 กระต่ายหายนะ
“ถึงขนาดส่งคนมาเล่นงานกันเลยเหรอ? แบบนี้คงต้องสั่งสอนให้มันรู้สำนึกกันบ้างแล้วละ วันนี้พวกแกจะได้รู้ว่าคนอื่นเขาไม่ได้กลัวพวกแกกันทุกคนหรอกนะ” ฉู่เหินตอกกลับเสียงแข็ง
เขาหันกลับมามองซ่างกวนเสี่ยวฟู๋และพูดว่า “ช่วยฉันดูแลเสี่ยวชิงหน่อย อย่าให้ใครมาทำร้ายเธอได้” พอสิ้นเสียง ฉู่เหินก็เปลี่ยนไปราวกับลูกธนูที่พุ่งตรงออกจากคันศร
ทันใดนั้นเอง พัดก็ปรากฏอยู่ในมือของฉู่เหิน เขาสั่งสอนอันธพาลชั้นต่ำด้วยพัดในมืออย่างไร้ความปรานี ด้วยการฟาดพวกมันเข้าที่ลำคอ
ฉู่เหินเคลื่อนไหวรวดเร็วจนนักเลงพวกนั้นตอบโต้ไม่ทัน อันธพาลนับ 10 คนร่วงลงไปกองกับพื้นตาม ๆ กัน พวกสวะที่เหลือชูมีดพุ่งเข้ามาหาฉู่เหิน
สำหรับฉู่เหิน ความเคลื่อนไหวของคนเหล่านี้เป็นไปอย่างเชื่องช้า เขาใช้จังหวะเพียงชั่วพริบตาเท่านั้นเพื่อหลบการโจมตีของพวกมัน
ในเวลาเดียวกันฉู่เหินก็ใช้พัดจู่โจมสวนกลับอย่างต่อเนื่องไปพร้อม ๆ กับเสียงร้องโอดครวญของพวกอันธพาลที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
เมื่อเทียบกับฝีมือของฉู่เหิน อันธพาลพวกนี้ก็เป็นได้แค่เศษขี้เล็บเท่านั้น ระหว่างโจมตีฉู่เหินก็รู้สึกหนักใจ เจ้าหนุ่มคนนั้นมีเส้นสาย พรรคพวก และอิทธิพลมากมาย ไม่เพียงแต่โอหัง หากแต่ยังไม่เกรงกลัวกฎหมายอีกด้วย ปัญหานี้คงไม่จบลงง่าย ๆ เสียแล้ว แต่นี่ถือเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ สำหรับฉู่เหิน อีกไม่นานเขาก็คงจะลืมเรื่องนี้ไปเอง
พอจัดการพวกอันธพาลเสร็จ พวกเขาก็มุ่งหน้าไปที่โรงแรมที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นั่นนัก ถึงย่านนี้จะเป็นย่านเสื่อมโทรมของจิงเหมิน แต่มันก็เงียบสงบพอสมควร มันจะเงียบเป็นพิเศษโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน เงียบราวกับอยู่ในชนบท ไม่เอะอะวุ่นวายเหมือนในเมืองใหญ่
วันนี้เสียวชิงไม่ค่อยสบอารมณ์ เธอจึงไม่ออกไปฝึกตอนกลางคืน แต่ฉู่เหินยังแอบออกไปฝึกเพียงลำพัง เขาใช้พื้นที่โล่งกว้างนอกโรงแรมช่วงกลางดึกเพื่อฝึกฝน แต่ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้จิตใจของเขาไม่สงบนิ่งพอที่จะฝึกได้ ฉู่เหินรู้สึกหวาดระแวงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นตลอดเวลา เขาจึงต้องหยุดฝึกอย่างไม่มีทางเลือก ก่อนที่เขาจะยืนมองรอบตัวอย่างระมัดระวัง
ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างอยู่ไกล ๆ ถึงจะเป็นเวลากลางคืน แต่สำหรับคนอย่างฉู่เหิน เขากลับมองเห็นได้ดีพอ ๆ กันไม่ว่าเจ้ากลางคืน หรือกลางวัน อาจจะต่างกันแค่การมองเห็นได้ไม่ไกลเท่าเวลากลางวันเท่านั้นเอง แต่ถึงอย่างงั้นเขาก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรอยู่ดี
เมื่อฉู่เหินเหลือบมองอีกครั้ง เขาก็เห็นแสงสีแดงของแววตาอยู่ใกล้ ๆ ตัวเขา เมื่อฉู่เหินเพ่งมอง เขาก็เห็นว่ามันคือกระต่ายสีแดง อันที่จริงกระต่ายสีแดงไม่ใช่สัตว์ที่หายากหรือน่าแปลกแต่อย่างใด แต่ทว่าเจ้ากระต่ายตัวนี้มันกลับมีเพียง 3 ขาเท่านั้น
เมื่อกระต่ายตัวนั้นเริ่มกระโดดหนี เขาก็นึกถึงคำกล่าวของคนโบราณที่กล่าวว่า ‘กระต่ายสีแดงเป็นสัตว์ต้องคำสาป ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ที่ต้องคำสาปของสัตว์ตัวนี้ ช่วงชีวิตหนึ่งของผู้นั้นจะต้องพบกับหายนะ ถ้าไม่อยากเจอคำสาปจงนำกระต่ายสีแดงมาเป็นสัตว์เลี้ยงซะ’ มันเป็นความเชื่อที่ยังคงอยู่มาถึงปัจจุบัน ฉู่เหินเคยได้ยินความเชื่อจากสมัยโบราณนี้เช่นกัน กระต่ายที่มี 3 ขา ขนแดงดังเปลวเพลิงและมีดวงตาสีแดงก่ำ ว่ากันว่ามันคือกระต่ายที่เชื่อมโยงระหว่างสวรรค์และพื้นโลก
เจ้ากระต่ายนี้จะวิ่งไปทุกวัน หากมันไปหยุดมองที่ใคร ความหายนะจะเกิดขึ้นกับชีวิตของผู้นั้น นี่เองคือที่มาของชื่อ ‘กระต่ายหายนะ’
คงจะดีไม่น้อยหากได้กระต่ายหายนะตัวนี้มาเลี้ยง เมื่อคิดแบบนั้นฉู่เหินจึงเริ่มสาวเท้าเดินตามกระต่ายตัวนี้ไป เจ้ากระต่ายตัวนี้วิ่งไวไม่เบาเลยทีเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีร่างกายที่แข็งแรงแล้วละก็ เขาก็คงวิ่งตามมันไม่ทัน และตอนนี้ฉู่เหินก็วิ่งตามเจ้ากระต่ายตัวนี้มา 20 นาทีแล้ว
ในช่วงเวลา 20 นาที ทั้งคนและกระต่ายวิ่งตามกันมาไกลถึง 10 ไมล์ ทันทีที่กระต่ายกำลังจะกระโดด ฉู่เหินก็กระโดดเข้าตะครุบมันไว้แน่น
“ผู้ถือครองฉู่เหิน จับกระต่ายในตำนานได้ คุณจะลงนามในสัญญาเป็นเจ้าของหรือไม่?” หลังได้ยินคำถามจากเสียงปริศนา ฉู่เหินตอบอย่างไม่ทันคิด “แน่นอน”
“ผู้ถือครองฉู่เหิน ถูกสัตว์เลี้ยงสาปให้ชีวิตพบหายนะเป็นเวลา 1 วัน หากเลี่ยงหายนะนี้สำเร็จ เจ้าของสัตว์ตัวนี้จะถูกปลดปล่อยจากคำสาป” เมื่อฉู่เหินได้ยินเช่นกัน เขาก็เริ่มตัวสั่นเทา เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังถูกต้องคำสาป แต่ที่แน่ ๆ มันต้องไม่ใช่เรื่องดี
“นอกจากค่าประสบการณ์ 50 คะแนนที่ได้มา สำหรับการเซ็นสัญญารับเลี้ยงระบบจะทำการหักค่าประสบการณ์ออก 10,000 คะแนน ผู้ถือครองฉู่เหิน ขาดอีก 133,860 คะแนนสำหรับการเลื่อนไประดับถัดไป”
นี่คืออาการเสพติดของฉู่เหิน ตอนนี้เขาโดนหักไปอีก 10,000 คะแนนสำหรับเจ้ากระต่าย เขาได้แต่หวังว่ากระต่ายตัวนี้จะมีค่าอะไรบ้าง ไม่อย่างนั้น ค่าประสบการณ์ 10,000 คะแนนที่เขาเสียไปก็ถือว่าแพงเอาเรื่องอยู่
ช่วงนี้ดูเหมือนว่าฉู่เหินจะต้องระวังตัวให้ดี เพราะตอนนี้เขาได้รับคำสาปจากเจ้ากระต่ายมาเสียแล้ว เดิมทีฉู่เหินตั้งใจจะกลับไปที่โรงแรม แต่พอมาคิดอีกที เขาก็ไม่กล้ากลับไป การต้องคำสาปถือเป็นเรื่องที่โชคร้ายมาก เขาไม่อยากให้เสี่ยวชิงเป็นห่วงเขา
“เสี่ยวชิง นอนแล้วเหรอ” หลังจากที่ฉู่เหินคิดทบทวนดู เขาก็โทรหาเสี่ยวชิง เมื่อเขากดเบอร์เรียบร้อย เขาก็ได้ยินเสียงงัวเงียอยู่ในสาย แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ก็น่าจะตี 2 แล้ว มันจะแปลกมากทีเดียวถ้าเขายังไม่นอน
“โทรมามีอะไรเหรอ?” สาวน้อยในสายถามด้วยเสียงงัวเงีย
“เสี่ยวชิง พรุ่งนี้เธอกับซ่างกวนเสี่ยวฟู๋อยู่กันไปก่อนนะ พรุ่งนี้ฉันติดธุระ แต่พรุ่งนี้เย็นกับมะรืนตอนเช้าฉันไปอยู่ด้วยได้” ฉู่เหินกล่าวหลังคำนวณเรียบร้อยแล้วว่าคำสาปจะอยู่ได้เพียง 1 วัน ทุกอย่างจะกลับสู่สภาวะปกติใน 1 วัน
“พี่เป็นอะไรรึเปล่า?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวชิงจึงรีบถามเพราะเธอรู้สึกได้ว่าเขากำลังต้องการความช่วยเหลือ
“ไม่มีอะไร ๆ ทุกอย่างเรียบร้อยดี ฉันแค่เจอเพื่อนเก่าน่ะ เลยต้องไปจัดการธุระเล็ก ๆ น้อย ๆ หน่อย ใช้เวลาประมาณวันหนึ่ง เดี๋ยวฉันก็กลับไปนะ อ้อ แล้วช่วงกลางวันก็ไม่ต้องโทรมานะ เพราะที่นี่ไม่มีสัญญาณ” ฉู่เหินกับเสี่ยวชิงคุยกันพร้อมรอยยิ้มอีก 2-3 คำก็วางสาย แต่ก่อนเขาจะเอาโทรศัพท์ใส่กระเป๋า เขาก็ได้ยินเสียงดังโครม ฉู่เหินตัวแข็งทื่ออยู่พักหนึ่งด้วยความตกใจ แล้วจึงส่ายหัวอย่างอดไม่ได้ เขารู้ตั้งแต่วินาทีนั้นว่าหายนะเริ่มเกิดขึ้นแล้ว
ในค่ำคืนอันแสนยาวนี้ เขาไม่รู้ว่าควรไปที่ไหน อีกไม่นานพระอาทิตย์ก็จะขึ้นแล้ว อย่างน้อยเดินกลางแจ้งก็ดีกว่าเดินในความมืด
เขาอุ้มกระต่ายตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน เมื่อมันมีพันธสัญญากับฉู่เหินแล้ว มันก็ยอมหลับปุ๋ยอยู่ในอ้อมแขนของเขาแต่โดยดี ฉู่เหินลูบขนนุ่ม ๆ ของมัน
ระหว่างที่เขามองไปเรื่อยเปื่อย เขาก็เห็นเข้ากับเนินภูเขาเตี้ย ๆ อยู่ด้านหน้า ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกหิว ฉู่เหินอดคิดไม่ได้ว่าอยากไปจับกระต่ายบนเขามาย่างกินสัก 2 ตัว…
Next