สุดยอดชาวประมง - บทที่ 82 ผลกำไรของชาวประมง
บทที่ 82 ผลกำไรของชาวประมง
ในยามนี้ ฉู่เหินกำลังเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรสองตัวแบบตรง ๆ ซึ่งพูดได้ว่าอันตรายยิ่งนัก ทว่า ไม่มีทางที่ดีกว่านี้ให้ทำแล้ว และทำได้แต่พยายามเอาตัวให้รอด ฉู่เหินไม่เต็มใจที่จะเป็นเหยื่อตัวแรก ดังนั้นเขาจึงถอยห่างออกมาด้านข้างตามสัญชาตญาณ
ขณะร่างของเขาค่อย ๆ ถอย จู่ ๆ สัตว์ยักษ์ทั้งสองก็จ้องหน้ากัน นกอินทรีและงูเป็นศัตรูกันตามธรรมชาติ ตอนนี้พวกมันเจอกัน ก็ย่อมต้องสู้กันอีกครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลังเจ้าสัตว์อสูรจับจ้องกันและกัน พวกมันก็เริ่มพุ่งตัวเข้าใส่กัน และละความสนใจในตัวฉู่เหินโดยสิ้นเชิง ซึ่งนี่เองคือสิ่งที่ฉู่เหินต้องการ
หลังฉู่เหินถอยหลังไปสองสามก้าว เมื่อเห็นว่าได้ระยะปลอดภัยแล้ว เขาจึงกระโดดขึ้นไปอยู่เหนือต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะอดไม่ได้ที่จะถอนใจออกมาเบา ๆ และเฝ้ารอจังหวะอย่างใจเย็นเพื่อรอจังหวะฉกฉวยผลกำไร
เจ้าสัตว์ยักษ์ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่ละตัวทั้งดุดันร้ายกาจ ราวกับว่าพวกมันแทบอดใจที่จะฆ่ากันในทันทีไม่ได้ เจ้างูเหลือมยักษ์แกว่งหางไปมา หางงูใหญ่ของมันทั้งมหึมาและว่องไวราวกับแส้ เมื่อหางกวาดผ่านไปยังอินทรียักษ์ ต้นไม้ในแถบนั้นก็ทนรับแรงฟาดหางงูไม่ไหว ต่างปลิวกระจายไปราวถูกสายลมรุนแรงพัดโค่น เห็นได้ชัดว่างูเหลือมโจมตีได้รุนแรงนัก
จากนั้น สายตาของฉู่เหินก็อดกวาดมองมิได้ เขาคิดว่าถ้าตัวเองถูกเจ้างูเหลือมโจมตีเข้าจัง ๆ ละก็ จนเกรงว่าอาจเอาชีวิตไม่รอด ถึงเขารู้มาตลอดว่างูเหลือมตัวนี้ทรงพลังมาก แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะทรงพลังขนาดนี้
“กริ๊ก” หลังเสียงดังลั่น ก้อนหินขนาดใหญ่ขนาดสองหรือสามเมตรก็แตกออกราวกับเป็นคำตอบ เจ้าอินทรียักษ์บินตรงไปที่อีกด้านหนึ่ง เพื่อหลบเลี่ยงการโจมตี
นกอินทรียักษ์กระพือปีกตรงไป ก่อนที่ร่างของมันจะปรากฏ
อยู่ข้างตัวเจ้างูเหลือมยักษ์แบบเกือบทันที กรงเล็บอันแหลมคมจิกลงไปบนเกล็ดงู จับมันไว้ด้วยอุ้งเท้าเดียว
งูเหลือมไม่ได้เร็วเท่าอินทรียักษ์ มันไม่อาจหลบไม่ทัน จนก่อให้เกิดแผลใหญ่บนตัวของมัน แต่ดูเหมือนว่างูยักษ์ตัวนี้จะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ แม้มันจะตกอยู่ในกรงเล็บของอินทรียักษ์ก็ตาม
ถึงส่วนลำตัวจะถูกตรึงไว้ แต่ส่วนหัวงูนั่นกลับเป็นอิสระ เจ้างูหันเข้าหาอินทรียักษ์ มันอ้าปากกว้างและกัดลงไปที่ปีกของเจ้านกอินทรี
เมื่อก่อนฉู่เหินเคยได้ยินว่างูเหลือมนั้นไม่มีฟัน พวกมันต้องใช้กรดในการย่อยอาหาร แต่ครั้งนี้ฉู่เหินกลับเห็นว่าเมื่องูเหลืออ้าปากกว้าง ในปากของมันกลับเต็มไปด้วยฟันแหลมคมเป็นเงาวับเรียงแถวอยู่ในปาก พูดตามความจริงแล้วสิ่งนี้ล้มล้างความรู้เรื่องของงูเหลือมของฉู่เหินไปเลย
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เรื่องหลักก็คือหลังงูเหลือมกัด ปีกของอินทรียักษ์ก็ขาดออกทันที ในตอนนี้ เจ้าสัตว์ร้ายทั้งสองตัวต่างดวงตาเป็นสีแดงก่ำ
พวกมันไม่หลบเลี่ยงกันอีกต่อไป การต่อสู้ในครั้งนี้กลายเป็นข้ารอดเจ้าม้วยไปเสียแล้ว ถ้าอีกฝ่ายไม่ตายตัวมันเองนี่แหละที่จะต้องการ จากมุมมองของฉู่เหิน อันที่จริงแล้วมันไม่ได้หมายความว่าเจ้าสองตัวนี้ไม่อยากหลีกเลี่ยง หากแต่เป็นเพราะนกอินทรีปีกหัก ดังนั้นมันจึงบินหนีไม่ได้ถึงแม้อยากจะบินไปก็ตาม
ในสถานการณ์แบบนี้ถ้ามันไม่สู้ เกรงว่ามันจะกลายเป็นอาหารของเจ้างูเหลือม การได้เห็นภาพอินทรียักษ์ตัวนี้ดิ้นรนเพื่อมีชีวิต เห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งที่งูเหลือมตัวนี้ปรารถนา ยามอินทรีบินสูง มันเสียเปรียบอย่างมาก ตอนนี้เจ้าสัตว์ร้ายอยู่บนพื้นทั้งสองตัวในเวลาเดียวกัน ภายในการต่อสู้ดุเดือด ไม่มีทางรู้เลยว่าตัวไหนจะเป็นฝ่ายล้มตาย
การเคลื่อนไหวของนกอินทรีและงูเหลือมในที่แห่งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แม้ว่าพวกมันอยู่กลางหุบเขาลึก แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีผู้คนแม้แต่คนเดียว ตรงกันข้ามเหล่าผู้ฝึกยุทธมักเดินเข้าสู่หุบเขาเช่นนี้ ข้อหนึ่งเพื่อฝึกฝนสมาธิ ข้อสองก็เป็นเพราะพวกเขาหวังว่าในป่าโบราณหุบเขาลึกแห่งนี้ อาจได้พบสมบัติล้ำค่านั่นเอง
ในเวลานั้น สามพี่น้องแห่งตระกูลชิวได้ผ่านเข้าหุบเขาหยุนกุ้ย ตระกูลชิวนี้ถือได้ว่าเป็นตระกูลฝึกยุทธ์โบราณ ทั้งสามพี่น้องเข้าหุบเขามาเพราะมีผู้พบขิงป่าล้ำค่าที่นี่
ขิงป่าที่มีขายในตลาดจะมีอายุอยู่ที่ 3 ถึง 5 ปี ซึ่งไม่เกิดประโยชน์กับผู้ฝึกวรยุทธ์แต่อย่างใด เพราะสิ่งนี้เองจึงทำให้ขิงป่าของแท้ดึงดูดความสนใจพวกเขาอย่างที่สุด กล่าวกันว่าขิงป่าที่ดีนั้นต้องมีเพียงใบเดียว ดังนั้นใน 50 ปี เราจึงได้เห็นขิงป่าที่ค่อย ๆ เติบโตขึ้นมากมาย
ทั้งสามพี่น้องเกิดความโมโหเล็กน้อย เพราะพวกเขาเฝ้าหาอยู่ 2-3 วันแต่ยังไม่เห็นขิงป่าแม้สักต้น
แต่ในยามนี้ จู่ ๆ พวกเขาก็รู้สึกมีคลื่นแหลมคมที่ด้านบน พร้อมเสียงกู่ร้องและคำรามดังสู่โสตประสาท ซึ่งทำให้พวกเขารู้ว่าอาจมีสัตว์ร้ายต่อสู้กันอย่างดุเดือด
หลังเห็นฉากนี้ พี่น้องทั้งสามพร้อมที่จะมารวมกันและคิดถึงการเป็นชาวประมง เพราะตอนนี้ฉู่เหินจะเป็นชาวประมง ยามนี้สามพี่น้องยังอยากเป็นชาวประมง ไม่รู้จริง ๆ ว่าใครคือชาวประมงกันแน่
ในยามนั้นเองที่ฉู่เหินต้องตกใจ เขาพบว่าสัตว์ร้ายทั้งสองต่อสู้กันอย่างโหดเหี้ยม สภาพของเจ้าสองตัวนี้ น่าหดหู่ยิ่งนัก ซากของมันอยู่ไม่ครบ แม้แต่อวัยวะบางส่วนก็กระจายออกมา ฉู่เหินรู้ว่านั่นถึงเวลาสำหรับโอกาสของเขาแล้ว
จากนั้นฉู่เหินเห็นพลังระเบิดรุนแรง และทั้งร่างของเขาเป็นดุจลูกศร พุ่งทะยานไปยังสัตว์ร้ายทั้งสองอย่างรวดเร็ว เขาควงดาบวงพระจันทร์ในมือด้วยความเร็วสูงสุด เมื่อร่างของเขาพุ่งไปที่สัตว์ร้ายทั้งสอง เขากวัดแกว่งดาบวงพระจันทร์อย่างรวดเร็ว มีสองเสียงดังลั่นขึ้น เมื่อทั้งงูเหลือมและเจ้าอินทรียักษ์ถูกบั่นศีรษะ
โลหิตของสัตว์ร้ายทั้งสองไหลลงมาอย่างช้าๆ และภาพนี้ทั้งสามพี่น้องของตระกูลชิวซึ่งเพิ่งผ่านมาเห็นเข้า ทั้งสามไม่ได้เห็นภาพที่สองสัตว์ร้ายต่อสู้กัน แค่เห็นฉู่เหินองอาจกล้าหาญและสังหารสัตว์ร้ายนั้นอย่างชัดเจน
ภาพที่เห็นส่งผลให้ทั้งสามคนรู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่มาก ดังที่รู้ว่าในจำนวนสามคนนั้น หนึ่งในสามยังเป็นระดับปรมาจารย์ แต่หากต้องต่อสู้กับสัตว์ใหญ่มหึมาแล้ว เกรงว่าเขาคงไม่กล้าพูดว่าตนจะชนะ
แต่ในยามนี้หนุ่มน้อยที่อยู่ตรงหน้าเขาถึงกับถือดาบวงพระจันทร์ สังหารสัตว์ร้ายทั้งสองในทันที ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกกลัวเล็กน้อย และแต่ละคนนั้นรู้สึกให้การยอมรับในใจ
“ฝีมือร้ายกาจมากรุ่นพี่ ฉันและพี่น้องเพียงแค่ผ่านมา โชคดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นฝีมือของรุ่นพี่ ภูเขาและแม่น้ำย่อมเชื่อมถึงกัน พวกเราขอตัวก่อน!” พวกเขาเห็นฉู่เหินที่เลือดท่วมตัวและสายตาที่ดุร้ายนั้น ก็เกิดความหวาดกลัวขึ้น จึงพูดเป็นพิธีแล้วรีบขอตัวก่อน
ฉู่เหินเห็นสามพี่น้องอยู่ห่างออกไป เขาจึงรู้สึกโล่งอก เขารู้สึกว่าหนึ่งในสามเป็นระดับปรมาจารย์ ส่วนอีกสองคนนั้นอาจห่างจากการเป็นปรมาจารย์เพียงหนึ่งขั้น หากทั้งสามเลือกที่จะเข้ามา เขาอาจเป็นอันตรายเล็กน้อย โชคดีที่ทั้งสามไม่เลือกทำแบบนั้น
สิ่งที่ฉู่เหินไม่รู้คือมันเป็นเพราะพี่น้องทั้งสามจากไป ข่าวของเขาจึงกระพือไปทั่วและได้รับความสนใจจากผู้อื่น สิ่งนี้นำไปสู่อันตรายถึงชีวิตของฉู่เหินในท้ายที่สุด
หลังจัดการเจ้าสัตว์อสูรทั้งสอง ฉู่เหินพร้อมที่เก็บซากของมันไว้ในแหวน แต่ในขณะนี้ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าเจ้านกคีรีบูนที่ซ่อนอยู่ในอ้อมแขนเขากระวนกระวายที่จะพูดคุยด้วย การได้เห็นเจ้าตัวน้อยกรีดเสียงร้องและมีท่าทีร้อนอกร้อนใจ ฉู่เหินจึงอดไม่ได้ที่จะเกาศีรษะเบา ๆ
“นี่ร้องโวยวายแบบนี้คืออยากได้เจ้าสัตว์ร้ายนี่ได้ไหม!” แล้วฉู่เหินชี้ไปที่ซากสัตว์ทั้งสองบนพื้นและถามนกคีรีบูน ซึ่งมันก็พยักหน้าเยี่ยงมนุษย์หลังได้ยินคำถามของฉู่เหิน ก่อนที่จะไปยืนตรงข้างซากอินทรียักษ์ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าเป็นการบอกฉู่เหินกลายๆ ว่ามันต้องการบางสิ่งจากนกอินทรีตัวนี้
“นี่เจ้าหนู ฉันว่าอย่างแกน่าจะกินหนอนเป็นอาหารนะ ทำไมเปลี่ยนมากินเนื้อแล้วเนี่ย” ฉู่เหินส่ายหน้าไปมาและอดให้ความเห็นกับนกคีรีบูนไม่ได้
ฉู่เหินรู้สึกว่าเขาเหมือนเห็นภาพลวงตา เพราะเขาเห็นนกคีรีบูนมองบนใส่เขา ตลกน่า! ถ้าหากนกคีรีบูนตัวนี้จะมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดปานนั้น! แต่ในฐานะปรมาจารย์ จะมองผิดไปได้ยังไงกัน
Next