สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค - ตอนที่ 101 Sequel: เซนต์เก๊ตะลุยญี่ปุ่น 1
อาจจะกะทันหันหน่อยนะ แต่ชั้นขอบอกเลย เกมที่ให้ผู้เล่นสามารถสำรวจโลกในเกมหลังฉากจบได้นี่แหละถึงจะเรียกว่าเป็นมาสเตอร์พีซ
ปกตินี่พอปราบลาสต์บอสสำเร็จ เครดิจขึ้นจบแล้วก็จะโดนเด้งกลับไปเมนเมนูใช่มั้ยล่ะ พอโหลดเข้าเซฟเดิมมาใหม่ปุ๊บ ก็ดันมาโผล่ที่ตอนก่อนสู้บอสซะนี่… มันทำให้ชั้นรู้สึกว่า “แบบนี้ไม่เอาดิ” เลย
คือก็เข้าใจแหละว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น จะให้ทำโลกเวอร์ชั่นหลังเกมจบไปแล้วนี่มันลำบากใช่มั้ยล่ะ ถ้าจะเอาเวลากับแรงงานมาทำแบบนั้น สู้ไปเพิ่มเนื้อหาให้ตัวเกมหลักดีกว่า
แต่อุตส่าห์ลงแรงตั้งมากกว่าจะปราบบอสใหญ่ได้ สุดท้ายก็กลายเป็นว่าติดลูปอยู่ตรงฉากจบอยู่ดี พวกตัวเอกก็จะไม่มีวันไปถึงตอนจบที่แท้จริงได้ มันทำให้ผู้เล่นหงุดหงิดใช่มั้ยล่ะ? หรือมีชั้นคนเดียวที่เป็นอย่างนั้นหว่า
ไงก็เถอะ เอาเป็นว่าชั้นมาถึงฉากจบที่ว่านั้นได้แล้วยังไงล่ะ วู้ฮู้!
ไม่นานมานี้ชั้นยังทำแสดงละครลิงทำตัวเป็นเซนต์อยู่เลย ตอนนี้เลยมาใช้ชีวิตแบบนั่งกินนอนกินสบายใจเฉิบได้มันทั้งวัน เออ จริงๆก็ยังมีเรื่องของอิมเมจที่ต้องห่วงอ่ะนะ จะให้มาบอกว่าข้างในนี่เป็นผู้ชายนะเว้ยก็คงจะไม่ได้ แถมนิสัยจริงของชั้นนี่ก็ไม่ได้น่าคบอะไรซะด้วยสิ
ดีนะที่ตอนนี้ชั้นมาใช้ชีวิตแบบฤๅษีในป่าแล้ว เลยไม่ต้องแสดงอะไรเยอะเท่าไร–ไม่ค่อยได้เจอคนบ่อยๆด้วย
ตอนที่เป็นเซนต์นี่ชั้นจะสวมชุดเดรสสีขาวสำหรับเซนต์อยู่ตลอด ส่วนตอนนี้…ก็เป็นเดรสสีขาวเหมือนเดิม แต่คนละตัวกัน
อันนี้เป็นดีไซน์แบบที่ใช้ชุดของพวกสาวๆสมัยใหม่ในญี่ปุ่นสวมกันเชียวนะ
อะไรนะ? เนื้อในเป็นชายแท้ๆ มาใส่ชุดกระโปรงแบบนี้ไม่อายบ้างเหรอ? ก็…ตอนแรกๆก็อายแหละ แต่ก็สวมชุดแบบนี้มาตั้งสิบปีแล้วนี่นา มันชินไปแล้วล่ะ
เอาจริงๆผู้ชายในโลกนี้ก็มีพวกที่สวมเสื้อคลุมยาวแบบไม่ใส่กางเกงไว้ด้านในอ่ะนะ มันก็คือๆกันนั่นแหละ บางคนนี่ใส่สั้นจนทำให้นึกถึงมินิสเกิร์ตด้วยซ้ำ แค่กระโปรงยาวแบบชั้นนี่ถือว่าจิ๊บๆ
ถึงแม้ทุกคนจะรู้แล้วแท้ๆว่าชั้นไม่ใช่เซนต์ตัวจริง แต่ไม่รู้ทำไมชั้นถึงถูกเรียกว่า เกรทเซนต์ แทนซะอย่างนั้น ถ้าให้เดาก็คงเป็นพวกเชื้อพระวงศ์หรือชนชั้นสูงที่กลัวเสียหน้าว่าจับเด็กมาผิดคนเลยพยายามใช้ชื่อกลบเกลื่อนล่ะมั้ง
ไปโฟกัสกับเซนต์ตัวจริงแทนสิ มีตั้งสามคนแน่ะ เซนต์คนแรกอัลเฟรีย เซนต์คนก่อนหน้าอเล็กเซีย และเซนต์ตัวจริงของยุคสมัยนี้ เอเทอร์น่า
พูดถึงอัลเฟรียแล้ว ตอนนี้ชั้นมาสำรวจโบราณสถานในฟุกุเทนตามที่เธอไหว้วานมาอยู่ จริงๆเป็นหน้าที่ของเธอนั่นแหละ แต่ก็ลากชั้นมาด้วย
พอมาถึงที่หมาย มันเหมือนเป็นสุสานเก่าแบบที่ชั้นเคยเห็นในทีวีเมื่อชาติที่แล้วเลย
ทั้งตัวชั้นและอัลเฟรียค่อยๆทยอยเดินเข้าไปในนั้นโดยมีพวกอัศวินล้อมหน้าล้อมหลัง แต่ทางมันแคบมากเลยนะเนี่ย
เอาจริงๆพวกอัศวินนี่ไม่ต้องตามมาก็ได้นะ แค่นี้ที่มันก็น้อยอยู่แล้ว มันทำให้รู้สึกอึดอัดอ่ะ
“ท่านอัลเฟรียคะ ที่นี่คือที่ไหนหรือคะ?”
“อืม เอาจริงก็ไม่รู้เหมือนกันล่ะ ตอนที่เรายังเด็ก ท่านแม่เคยพาเรามาที่นี่ครั้งนึงน่ะ บอกว่ามันคือ สถานที่ที่ทุกอย่างเริ่มต้น”
“เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเลยนะคะเนี่ย”
“ชะ ช่วยไม่ได้นี่นา! ก็เพิ่งจำได้เมื่อเดือนที่แล้วเอง! มันผ่านมาตั้งพันปีเลยนะ ลืมนิดลืมหน่อยก็เรื่องปกตินี่นา เอาจริงๆต้องชมเราด้วยซ้ำสิที่อุตส่าห์จำได้!
อัลเฟรียไม่เคยพูดถึงสถานที่นี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ดูเหมือนว่าแค่เจ้าตัวลืมน่ะ
เอาจริงๆก็คงไม่สำคัญอะไรมากนักหรอก ยังไงคำสาปของแม่มดคนแรกก็สลายไปแล้วนี่
“ตอนแรกก็ส่งสารไปให้ฟุกุเทนช่วยตรวจสอบให้นั่นแหละ แต่โดนตอบมาว่ามันมีอะไรแปลกๆไม่รู้อยู่ด้านใน เราเลยต้องถ่อมาถึงที่นี่เอง แต่ก็เผื่อว่าจะเกิดอะไรขึ้น เลยพาตัวเอลริสมาด้วยน่ะ…ต้องปลอดภัยไว้ก่อนใช่มั้ยล่ะ”
“อะไรแปลกๆหรือคะ?”
อะไรกันนะ?
เห็นอีฟบอกว่านี่เป็น สถานที่ที่ทุกอย่างเริ่มต้น นี่นา อาจจะมีบันทึกโบราณอะไรอยู่ก็ได้
พอเดินลึกเข้าไป ชั้นห็เห็นสิ่งนั้น…ช่องว่างบนอากาศ
ตรงตัวตามที่บอกเลย มันคือรอยแยกที่เกิดขึ้นจากการผ่ามิติเหมือนหลุดออกมาจากหนังไซไฟ
ถ้าดูดีๆ มันเหมือนจะมีคริสตัลอะไรบางอย่างอุดรูนั้นอยู่
ชั้นเคยเห็นมันมาก่อน เป็นคริสตัลแบบเดียวกับที่เคยผนึกอัลเฟรียเอาไว้
ถ้าอย่างนั้นก็มีโอกาสสูงที่อีฟจะเป็นคนอุดรูนี้เอาไว้…คำถามก็คือ รอยแยกนี้มันอะไรกัน
“เป็น…ของที่แปลกจริงๆด้วนะคะเนี่ย? ท่านอัลเฟรียคะ นั่นคือเวทย์ผนึกใช่ไหมคะ?”
“ใช่แล้ว แบบเดียวกับที่ผนึกตัวเราเอาไว้มากว่าพันปี ไม่ผิดแน่ๆ แต่ทำไมถึงมาอยู่ในที่แบบนี้…? และทำไมมันถึงดูเหมือนจะปริออกมา?”
เวทย์ผนึกนั้นเป็นการแช่มิติเอาไว้ มันไม่น่าจะปริแตกได้
ถ้าไม่ใช่เวทมนตร์ความมืด…ที่มีเพียงเซนต์และแม่มดที่สามารถใช้ได้ ผนวกเข้ากับพลังเวทย์มหาศาล การจะสร้างความเสียหายให้กับผนึกนี้ได้เลย
แต่ว่าคริสตัลที่อุดช่องว่างนี้เอาไว้กำลังจะแตกออก และไม่รู้เลยว่ามีอันตรายอะไรรออยู่
“ปะ เป็นไงบ้างเอลริส…มันอันตรายมากมั้ย? เอาจริงๆคือเราไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแล้วอ่ะ ขอกลับบ้านเลยได้เปล่า?”
“ค่ะ ชั้นรู้สึกได้ถึงความรู้สึกด้านลบรุนแรงที่ครอบคลุมสถานที่นี้เอาไว้”
ออร่าสีดำที่ลอยไปมาในอย่างชั้นเจนจนชั้นรู้สึกได้
ถึงแม้เนื้อในชั้นจะดำมืดจนแค่ระดับนี้น่าจะทำอะไรชั้นไม่ได้ก็เถอะ แต่กับคนอื่นๆนี่ คงให้อยู่ที่นี่นานไม่ได้
เป็นเพราะว่าชั้นคอยดูดความรู้สึกด้านลบในอากาศอยู่ตลอดเลยพอจะทนกันได้อยู่ แต่ถ้าชั้นไม่ได้มาด้วยล่ะก็ อัลเฟรียอาจจะโดนน็อกสลบตั้งแต่หน้าทางเข้าเลยก็ได้
วิญญาณของคนในโลกนี้ โดนเฉพาะวิญญาณของเซนต์นี่มันบริสุทธิ์เกินไป…เพราะแบบบนั้นเลยตกลงสู่ความมืดได้ง่ายกว่า
ตั้งแต่แรกแล้วแม่มดก็คือเซนต์ที่ของแต่ละยุคสมัยที่ถูกความรู้สึกด้านลบครอบงำและตกลงสู่ด้านมืด
กับชั้นน่ะไม่เป็นไรหรอก เอาจริงๆความรู้สึกด้านบวกต่างหากที่จะสร้างความเสียหายให้กับชั้น
เอาเป็นว่าที่นี่ก็ไม่ต่างจากบึงพิษสำหรับอัลเฟรีย ให้เธอออกไปก่อนเลยน่าจะดีกว่า
ขนาดพวกอัศวินที่ติดมาด้วยก็สีหน้าไม่สู้ดีกันทุกคนเลย คิดว่าน่าจะทนได้ไม่นานมาก
“ท่านอัลเฟรียคะ ช่วยพาเหล่าอัศวินออกไปจากที่นี่ได้ไหมคะ…ที่เหลือชั้นจะทำการตรวจสอบคนเดียว”
“ขะ เข้าใจล่ะ…ระวังตัวนะเอลริส”
อัลเฟรียพยักหน้าและพาคนอื่นๆออกไปแต่โดยดี
เธอรู้ดีว่าตัวชั้นน่ะแกร่งแค่ไหน แล้วก็รู้ว่าชั้นไม่จำเป็นต้องมีคนคอยปกป้องด้วย
ถ้าจะพูดแบบตรงๆ อัศวินพันคน สำหรับชั้นแล้วก็ไม่ได้ต่างไปจากภาระพันหน่วย
พวกอัศวินทำท่าลังเล แต่อัลเฟรียก็ลากพวกเขาออกไปจนได้ ปล่อยให้ชั้นอยู่ตัวคนเดียว
“เอาล่ะ…”
อย่างแรกเลย ชั้นก็คลุมทั่วทั้งตัวเอาไว้ด้วยบาเรียแบบเต็มพิกัด
ถ้าเป็นชั้นในตอนนี้ จะให้กระโจนลงปล่องภูเขาไฟที่กำลังระเบิดหรือโดนฟ้าผ่าเข้าไปร้อยครั้งก็ยังไร้รอยขีดข่วน
ไม่รู้ทำไม ทั้งๆที่เป็นช่วงว่างมิติที่ปล่อยความรู้สึกด้านลบออกมาตั้งขนาดนั้นแท้ๆ แต่มันกลับทำให้ชั้นรู้สึกคิดถึงอย่างประหลาด
ถ้าจะให้พูด มันทำให้ชั้นคิดถึงบ้านเลย เพราะอะไรกันนะ?
เอาเถอะ เดาไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ถ้าอยากรู้ก็ต้องลองเข้าไปดูเอง
พอคิดแบบนั้น ชั้นก็ใช้มือแตะไปที่รอยแยกนั้น ทว่า…
“—เอ๊ะ?”
ในตอนนั้นเอง ภาพตรงหน้าชั้นก็ขาวโพลนไปหมด
สว่างอ่ะ ใครก็ได้ลดแสงหน่อยสิ
การโจมตีงั้นรึ? แต่แค่นี้มันเปล่าประโยชน์ เปล่าประโยชน์
…ฮะ? แย่ล่ะ เป็นเพราะการบิดเบือนของมิติ บาเรียที่คลุมตัวชั้นอยู่ก็ค่อยๆถูกกัดกินไปทีละน้อย
อันตรายนะเนี่ย ชั้นต้องคอยสร้างบาเรียใหม่ขึ้นมาตลอดจนแสงค่อยๆหายไป
เมื่อแสงนั้นหยุดลง—ชั้นก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่กลางห้อง ห้องในอพาร์ตเมนท์ที่ไหนสักแห่ง
ข้างในห้องนั้นถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ แต่ไม่รู้สึกได้เลยว่ามีใครอยู่ในห้อง
ชั้นรู้จักผังห้องนี้ดี
ชั้นเดินไปที่ห้องน้ำและตู้เสื้อผ้าเพื่อเช็คให้แน่ใจ แต่ไม่ผิดแน่
ชั้นมองออกไปด้านนอกหน้าต่างเพื่อเช็คเป็นครั้งสุดท้าย
ไม่ต้องสงสัยเลย…นี่คืออพาร์ตเมนต์ที่ชั้นเคยอาศัยอยู่ในชาติที่แล้ว หรือก็คือ…
—ที่นี่คือประเทศญี่ปุ่น!?
เสียงเจื้อยแจ้วของรถบนถนน เสียงของรถไฟที่วิ่งอยู่บนราง
ผู้คนใส่เสื้อผ้าสะอาดเนี้ยบต่างจากสามัญชนทั่วไปในฟิโอริ
อากาศสกปรกซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของตัวเมืองใหญ่
ไม่ต้องสงสัยเลย ที่นี่คือกรุงโตเดียว
ไอ้นี่มันบทเริ่มต้นของการผจญภัยครั้งใหม่หรืออะไรนิ? …อะไรวะเนี่ย ทำไมชั้นถึงมาโผล่ที่โตเกียวได้?
เมื่อกี๊ชั้นยังอยู่ที่ฟิโอริอยู่เลยแท้ๆ
ชั้นไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยโดนส่งกลับมาที่ฟากนี้หรอกนะ
ก่อนที่จะปราบแม่มดสำเร็จ จิตหรือวิญญาณของชั้นก็โดนส่งมาที่นี่ประมาณสามสี่รอบได้
แต่นั่นก็เพราะว่าตอนนั้นชั้นทางฝั่งนี้ยังมีชีวิตอยู่ ทำให้ชั้นถูกแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนที่มาเกิดใหม่กลายเป็นเอลริส และส่วนที่ไม่มาเกิดด้วยก็ยังคงสภาพฟุโดวนิอิโตะต่อไป แต่ตอนนี้ชั้นทั้งสองคนรวมกันจนกลับมาเป็นหนึ่งเดียวแล้วนี่นา ชั้นก็ไม่น่าจะกลับมาได้แล้วนี่
ตอนที่คิดเช่นนั้นอยู่ ชั้นก็รู้สึกได้ถึงอากาศที่สัมผัสกับผิว
บ้าน่า…
…รอบนี้นี่ชั้นมาทั้งร่างเนื้อเลยเหรอเนี่ย
ชั้นเอามือแตะหน้าต่างและรู้สึกได้ถึงการสัมผัส เปิดหน้าต่างออกก็รู้สึกได้ถึงลมที่พัดเข้ามา
กลายเป็นว่าครั้งนี้ชั้นไม่ได้โดนส่งมาในรูปของวิญญาณ แต่มาทั้งกายเนื้อเลย
เอาล่ะ แล้วจะเอาไงต่อดีล่ะเนี่ย?
อย่างแรกเลย ชั้นไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องขากลับ
พอมองไปที่มุมห้อง ตรงจุดนั้นยังคงมีรอยแยกมิติหลงเหลืออยู่
ถ้าใช้วิธีเดิมอีกครั้ง ก็น่าจะสามารถกลับไปได้
แต่เพื่อความชัวร์ เอาเป็นว่าลองก่อนดีกว่าว่าจะสามารถใช้ไปกลับได้จริงรึเปล่า
…หลังจากที่ลองเข้าออกดูสองามครั้ง ก็พบว่าชั้นสามารถเดินทางไปกลับได้จริงๆ
ชั้นกลับไปอธิบายสถานการณ์อย่างคร่าวๆให้อัลเฟรียฟังก่อน จากนั้นจึงกลับมาที่ญี่ปุ่นอีกครั้งหนึ่ง
จากนั้นก็เริ่มทดลองอะไรหลายๆอย่าง เช่นว่าชั้นาสามารถเอาเอาไรมาด้วยได้มั้ย
แต่ดูเหมือนว่าถ้าไม่มีบาเรียกางหนาขนาดชั้นล่ะก็ มันก็จะโดนช่องว่างมิติฉีกเป็นชิ้นๆจนสลายไประหว่างทาง
ถ้าจะให้พูด น่าจะมีแค่ตัวชั้นที่สามารถเดินทางไปมาโดนใช้ช่องว่างมิตินี้ได้อย่างอิสระ
เออ ถ้าไม่มีกายเนื้อแต่มาแค่วิญญาณก็คงจะผ่านได้เหมือนกันล่ะมั้ง
ไงก็ตาม เท่านี้ก็จัดการเรื่องการเดินทางไปกลับเรียบร้อยแล้ว
อุตส่าห์มาถึงญี่ปุ่นได้ทั้งที ถ้าไม่ทำอะไรก็เสียเที่ยวแย่
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะพบกับยามาโตะ ทามากิซัง ผู้แต่งเรื่อง”บุปผานิรันดร์ร่วงโรย” แล้วก็อยากกินอาหารของฟากนี้ด้วย
ถึงสถานการณ์ด้านอาหารของฝั่งนั้นจะดีขึ้นจากเดิมมากแล้วก็เถอะ แต่ก็ยังด้อยกว่าญี่ปุ่นสมัยใหม่อยู่เป็นโยชน์เลย
…ก็มีแต่มันอ่ะนะ
พอเบื่อก็ช่วยไม่ได้ต้องมาทำอาหารเอง แต่คนขี้เกียจอย่างชั้นนี่ ถ้าทำได้ก็ไม่อยากจะลงแรงอะไรเองหรอก
อยากจะไปร้านสะดวกซื้อหาพวกขนมจุกจิกมากินเล่น อยากไปแฟมิเรสแล้วก็สั่งดริ๊งค์บาร์มาผสมเล่น แต่ประเด็นก็คือไม่มีเงินน่ะสิ
ทะเบียนบ้านก็ไม่มี บัตรประชาชนก็ไม่มี บัญชีธนาคารก็ไม่มี
ไม่นึกเลยแฮะว่าจะมาเจออะไรแบบนี้
ถ้าเป็นในฟิโอริล่ะก็ ชั้นคงจะสามารถสร้างเกราะหรือดาบจากเวทย์ดินแล้วเอาไปขายเพื่อทำเงินแบบง่ายๆได้แล้วแท้ๆ แต่ถ้าทำแบบนั้นในญี่ปุ่นนี่มันจะเป็นอาชญากรรมเอาน่ะสิ
หรือจะสร้างเพชรพลอยไม่ก็ทองคำไปขายดี…แต่อันนั้นก็ต้องมีขั้นตอนยืนยันตัวตนอีก
มันเป็นยุคสมัยที่แค่จะเอาหนังสือไปขายในร้านมือสองก็ยังต้องมีการยืนยันตัวตนเลย
จริงๆถ้าหาดูก็คงจะมีบางร้านที่รับโดยไม่จำเป็นต้องใช้แหละ แต่ชั้นก็ไม่มีหนังสืออะไรจะไปขายได้อยู่ดี ถึงขายไปก็คงทำเงินได้ไม่เยอะ
ยากแฮะ ไม่มีวิธีไหนที่สามารถหาใช้เงินได้เลยเหรอเนี่ย
เงินในบัญชีก็พอจะมีอยู่แหละ แต่อันนั้นก็ยกให้ครอบครัวเป็นมรดกไปหมดแล้วด้วย แถมถ้าชั้นใช้บัญชีของฟุโดวแล้วโดนจับได้นี่มันจะกลายเป็นคดีซะอีก
จะให้บอกว่าเป็นคนคนนั้นกลับมาเกิดใหม่ก็คงไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ
ถ้าหางานพาร์ทไทม์ที่ไม่ต้องยืนยันตัวตนก็คงจะพอมีแหละ แต่ทำไมตูต้องทำงานด้วยล่ะ
ถ้ามันลำบากถึงขนาดที่ชั้นต้องมาทำงานงกๆหาเงินล่ะก็ ชั้นขอยอมแพ้แล้วกลับไปฝั่งโน้นดีกว่า
ไม่อยากทำงานอ่ะ! ไม่อยากทำงานเลยโว้ย!
สุดท้ายแล้ว หลังจากคิดอยู่นาน ชั้นก็ตัดสินใจสร้างพวกโลหะหายากแล้วเอาไปขาย
แล้วเรื่องยืนยันตัวตนล่ะ? ชั้นก็แค่ใช้พลังโหรเพื่อหาร้านที่ไม่จำเป็นต้องยืนยันตัวตนน่ะสิ
เจ้าของร้านนี่ก็เป็นตาลุงท่าทางน่าสงสัยนั่นแหละ แต่ถ้ายอมจ่ายก็ถือว่าโอเคแล้ว ไม่ขอตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกละกัน
เอาล่ะ ได้มาสองแสนเยน ถึงจะไปกินแบบเลิศๆเลยคงไม่ได้ แต่ก็คงมากพอที่ชั้นจะสามารถตะลุยกินพวกอาหารเกรดบีได้อย่างสบายๆ
สำหรับกระเป๋าตังค์ ก็ซื้อมาจากร้านร้อยเยนนั่นล่ะ แต่ราคามันสามร้อยเยนน่ะนะ
ร้านร้อยเยนที่ราคาสินค้าไม่ได้ร้อยเยนเป๊ะๆนี่มีให้เห็นอยู่บ่อยๆเลยนะในช่วงนี้
ไม่มีบัตรอะไรซะด้วย ก็จ่ายเงินสดนั่นล่ะ
เท่านี้เงินก็พร้อมแล้ว ไปกันเลย!