สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค - ตอนที่ 102 Sequel: เซนต์เก๊ตะลุยญี่ปุ่น 2
เสียงเจื้อยแจ้วที่น่าคิดถึงกระทบผ่านหูของชั้นที่กำลังเดินอยู่
ชั้นกวาดตามองไปรอบๆเพื่อดูว่ามีร้านไหนที่สะดุดตาหรือเปล่า
ถึงจะบอกว่าอยากจะกินอาหารที่ญิ่ปุ่นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีก็เถอะ แต่ก็ใช่ว่าจะมีเมนูไหนที่คิดไว้เป็นพิเศษ
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ มันมีให้เลือกเยอะจนเลือกไม่ถูกว่าจะเอาอันไหนมากกว่า เอาจริงๆมันมีเยอะจนทำเอาหัวหมุนแล้วเนี่ย
ก็เลยกะว่าจะเดินเล่นดูไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอร้านที่ทำให้รู้สึกว่า “อันนี้แหละ!”
ไม่ได้ลอกมาจาก “อร่อยเดียวดาย” หรอกนะเออ
คงจะไม่มาทำท่าแบบว่า “ผม…หิวข้าว…!” ให้ใครเห็นหรอก
พอได้มาเห็นแบบนี้แล้ว ยิ่งทำให้เห็นเลยนะเนี่ยว่าโลกนี้มันสะดวกสบายกว่าฟิโอริแค่ไหน
ถนนหนทางก็สะอาด เดินไปที่ไหนก็มีร้านอาหารให้เลือกสรรอยู่เพียบ
ถึงสถานการณ์ที่ฟิโอริจะดีขึ้นมากแล้วก็เถอะ ยังไงก็เทียบกับยุคปัจจุบันไม่ได้จริงๆล่ะนะ
ว่าไปแล้ว…คนข้างทางนี่ไม่จ้องชั้นมากหน่อยเรอะ? รู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาอยู่ตลอดเวลาเลย
ชุดที่ชั้นใส่อยู่ก็เป็นดีไซน์เป็นโมเดิร์นนา ไม่ใช่ชุดแบบสมัยโบราณที่ทำให้รู้สึกว่ามาจากต่างโลกซักหน่อย แต่ก็นะ…ผมทองมาแบบนี้ ใครเห็นก็รู้แหละว่าไม่ใช่คนญี่ปุ่น
จริงๆจะพูดไปเองก็กระไรอยู่ แต่ตัวชั้นเนี่ยถือว่าสวยแบบเหลือเชื่อเลยล่ะ
เอาเถอะ ยังไงก็ไม่ได้แคร์สายตาคนรอบข้างมากอยู่แล้ว ตอนนี้ตูมาหาข้าวกินเฟ้ย
ชั้นเหลือบไปเห็นร้านขายคัตสึด้ง ที่โปสเตอร์หน้าร้านมีรูปคัตสึด้งชามพูนๆ เขียนประกอบไว้ว่า “ต้องอย่างนี้แหละ ถึงจะเป็นคัตสึด้ง!” เขียนอยู่
อืม…ไม่ดีกว่า คัตสึด้งน่าจะหนักไปสำหรับชั้น
ต่างจากในชาติที่แล้ว ชั้นไม่คิดว่าตัวเองจะกินคัตสึด้งจนหมดชามไปด้วยตัวคนเดียว
ตอนเป็นฟุโดว นิอิโตะนี่ ชั้นน่ะสามารถกินคัตสึด้งชามใหญ่บวกกับโคร็อกเกะที่สั่งจานแยกมาจนหมดได้สบายๆ ถ้าเป็นราเม็งนี่ก็จัดได้จนหมดทั้งสองชาม ถ้าเป็นตัวชั้นในตอนนี้นี่ คิดว่าแค่ครึ่งชามก็อิ่มแล้ว…
ถ้าลองไปร้านสะดวกซื้อล่ะ เดี๋ยวนี้พวกข้าวกล่องร้านสะดวกซื้อทั้งมีความหลากหลายมากขึ้น และคุณภาพก็ไม่แพ้พวกที่ขายตามร้านเลย
อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจดีกว่า ลองเดินไปก่อน ถ้าไม่เจอร้านที่อยากกินจริงๆก็ค่อยย้อนมา
ตรงข้างหน้านั่นมีร้านยากินิคุอยู่ การนั่งกินยากินิคุตัวคนเดียวนี่ถือเป็นความสุขเล็กๆของชนชั้นหลางเลยนะเออ ถ้ามีบาร์ไอศกรีมด้วยนี่ยิ่งแจ่ม… แต่รอบนี้ขอผ่านก่อนดีกว่า
พอชั้นเลี้ยวตรงหัวมุม ก็เจอกับร้านขายเฟรนช์โทสต์เข้า
เฟรนช์โทสต์…เหมาะเหม็งเลยไม่ใช่เหรอเนี่ย
พอมาคิดดูแล้ว ชั้นก็ไม่เคยลองทำเฟรนช์โทสต์ที่ฝั่งนั้นเลยนี่นา
ถ้าพูดง่ายๆ เฟรนช์โทสต์ก็คือของหวานที่ทำจากขนมปังเอาไปชุบไข่ นม และน้ำตาล จากนั้นจึงเอาไปปิ้งบนกระทะ ฟังดูง่ายๆ แต่ก็ต้องใช้เทคนิคพอสมควรเลยล่ะ
จริงๆถ้าจะให้ทำก็ใช่จะทำไม่ได้อ่ะนะ แต่มันต้องอบขนมปังเองอะไรเอง ใช้เวลานานแถมยุ่งยากอีก เลยไม่คิดจะทำน่ะ
ถ้าเป็นในยุคนี้ล่ะก็ แค่ซื้อขนมปังที่ขายตามร้านก็เอามาทำได้แล้ว แต่ถ้าต้องให้ทำตั้งแต่ศูนย์นี่มันไม่ใช่ง่ายๆนะเว้ย
มันก็เหมือนกับบอกว่า “แกงกะหรี่เป็นอาหารง่ายๆที่ใครก็ทำได้” จากนั้นก็ใช้ก้อนแกงสำเร็จรูปนั่นแหละ
จะให้มาบดเครื่องเทศอะไรตั้งมากมายนี่มันยากนะเว้ย จริงๆชั้นก็เคยคิดจะทำแกงกะหรี่ที่ฝั่งนั้นแหละ แต่ยุ่งยากจัดเลยล้มเลิกไปอย่างหงุดหงิด! ไม่ใช่แค่ต้องเครื่องเทศอะไรไม่รู้เป็นสิบ จะทำแต่ละทียังแพงบรรลัยเลย!
ตั้งแต่แรกแล้ว ตูก็ไม่รู้หรอกนะว่าไอ้เครื่องเทศที่ต้องใช้นี่มันมีอะไรบ้าง
เอาเป็นว่าช่างหัวแกงกะหรี่มันก่อน มาพูดเรื่องเฟรนช์โทสต์กันดีกว่า
เอาล่ะ ตัดสินใจแล้ว เอาเป็นเฟรนช์โทสต์นี่แหละ
ชั้นเลยเปิดประตูร้านเข้าไป
“…ยะ ยินดีต้อนรับค่ะ! เชิญเลือกที่นั่งได้เลยค่ะ!”
พนักงานชะงักไปแว้บนึงก่อนที่จะทักทายชั้น
อะไร เพิ่งเคยบริการลูกค้าจากต่างโลกเป็นครั้งแรกเหรอ? ไปต้องกังวลไปน่า
ชั้นเลือกที่นั่งว่างข้างหน้าต่างจากนั้นก็นั่งดูเมนู
โฮ่ เฟรนช์โทสต์นี่มีหลากหลายแบบเหมือนกันนะเนี่ย
จะเอาแบบพื้นฐานที่มีครีม เนย แล้วก็น้ำผึ้งดีมั้ย?
หรือจะเอาแบบบรูเล่ต์ที่ใช้ชีสสามชนิดดี?
โอ๊ะ มีแบบที่มีไอศกรีมโปะหน้าด้วยแฮะ ท็อปปิ้งนี่มีให้เลือกเยอะเลย
มีแบบที่เป็นกระทะร้อนด้วยว่ะ ไอ้นั่นมันเฟรนช์โทสต์หรือแพนเค้กล่ะเนี่ย?
สุดยอดเลยแฮะ…แค่ได้เห็นเมนูก็ทำให้หิวแล้วเนี่ย
จะเอาอะไรดีล่ะเนี่ย? ถ้าเป็นชาติที่แล้วนี่ชั้นอาจจะพอยัดห่านทุกแบบลงไปได้ แต่ถ้าเป็นชั้นในตอนนี้นี่ จานเดียวก็อิ่มแล้ว
…โอเค เอาอันที่ทำให้รู้สึกว่า “ไอ้นี่แหละเฟรนช์โทสต์!” ที่สุดแล้วกัน
ชั้นกดกริ่งบนโต๊ะเพื่อเรียกพนักงานเสิร์ฟ แต่พอบอกรายการไปแล้วเธอก็ทำหน้างงๆ
“อา ขอโทษนะคะ ขอสั่งฮันนี่โทสต์กับกาแฟร้อนหน่อยได้ไหมคะ?”
แย่ล่ะ เผลอใช้ภาษาฟิโอริไปซะได้
ที่นี่คือญี่ปุ่น ก็ต้องใช้ภาษาญี่ปุ่นในการสื่อสารสิ
ชั้นได้ยินพวกพนักงานคุยกันว่า “ตกใจหมดเลย” “ชั้นพูดภาษาอังกฤษไม่เป็นนะ”
ขอโทษฮะ นั่นไม่ใช่ภาษาอังกฤษเด้อ
หลังจากรอสักพักหนึ่ง เฟรนช์โทสต์ที่ส่งกลิ่นหอมหวานก็ถูกนำมาเสิร์ฟ
สีเหลืองทองอร่ามมาเลย ด้านบนจะออกไปทางสีน้ำตาลเกรียมนิดๆ
โรยไว้ด้วยน้ำตาลไอซิ่ง ขนาดชิ้นไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็มีถึงสามชิ้นด้วยกัน
ท็อปปิ้งมีวิปครีมและไอศกรีมวานิลลา มีให้ลูกค้าเลือกด้วยว่าจะให้โปะบนขนมปังมาเลยหรือให้เสิร์ฟแยก
ขอลองคำแรกแบบเพียวๆ ไม่ใส่ท็อปปิ้งก่อน
ข้างนอกกรอบ แต่ด้านในกลับนุ่มฟูเหมือนขนมปังปรกติ กลิ่นหอมหวานเตะจมูกของน้ำผึ้งยั่วน้ำลายเชียว
ฮันนี่โทสต์…อร่อยตามชื่อเลย
เป็นของหวานที่แสดงถึงความกรอบนอกนุ่มในได้เป็นอย่างดี เหมือนกับมันจะละลายในปากเลย
ถึงจะหวานติดลิ้น แต่ก็รู้สึกทำให้อยากกินมากขึ้นไปอีก
ถ้าแบบนี้นี่กินได้เป็นร้อยอ่ะบอกเลย
ต่อไปก็ลองกินกับท็อปปิ้งดู
มันเป็นอาหารประเภทที่แค่โปะวิปครีมลงไปก็ทำให้ดูหรูหราขึ้นมาเล็กน้อย
ชั้นเป็นพวกที่พอใส่วิปครีมลงไปบนไอศกรีมหรือเค้กก็จะทำให้รู้สึกว่ามันอร่อยขึ้น
ในส่วนของรสชาตินั้น…โฮ่ วิปครีมนี่รสชาติอ่อนกว่าที่คิดนะเนี่ย
แต่ก็คลุกเคล้าเข้ากับรสชาติของเฟรนช์โทสต์ได้อย่างลงตัว
แต่ถึงแม้รสชาติจะไม่ได้หนักมาก มันก็ยังเป็นอาหารที่มีรสชาติหวานแบบเพียวๆ
ชั้นดื่มกาแฟร้อนลงไปเพื่อเป็นการล้างปาก
ปกติถ้าชั้นจะดื่มกาแฟล่ะก็ จะต้องใส่นมกับน้ำตาลก่อนทุกครั้ง แต่เพราะครั้งนี้กินคู่กับของหวาน ชั้นเลยดื่มมันแบบตรงๆได้เลย
พอดื่มของขมๆก็จะทำให้รู้สึกอยากของหวาน พอเบื่อกับรสหวานก็จะมีรสขมช่วยล้างปากให้
สุดท้ายก็คือไอศกรีมวานิลลา
ถ้าใส่โปะลงไปเลยมันจะทำให้กินยาก ชั้นเลยให้ใส่แยกมา
ชั้นตักคำเล็กๆใส่ปาก ส่วนเรื่องรสชาติ มันก็คือไอศกรีมตามปกติน่ะนะ แต่เพราะเป็นรสชาติที่ไม่ได้กินเลยตั้งแต่ไปเกิดใหม่ที่ฝั่งนั้น มันเลยทำให้ชั้นมีความสุขพอสมควร
ชั้นหั่นโทสต์ออกมาเป็นชิ้นเล็กและตักไอศกรีมมากินคู่กันในคำเดียว
เป็นสัมผัสที่ยากจะอธิบาย ขนมปังอุ่นๆและไอศกรีมเย็นๆผสมเข้ากันในปาก ต่างจากวิปครีมที่ช่วยเสริมรสชาติของโทสต์ ความหวานของไอศกรีมจะตีคู่กันไป ก่อให้เกิดรสชาติใหม่บนลิ้น เป็นความรู้สึกที่สุดยอดไปเลย
แถมยังเข้ากันกับกาแฟสุดๆ
เหมือนกับที่เยลลี่กาแฟมักจะต้องเอามากินกับไอศกรีม เป็นคู่ที่ขาดกันไม่ได้จริงๆ
พอรู้ตัวอีกที เฟรนช์โทสต์สามชิ้นก็หายวับไปจากจานแล้ว แต่พอลองสังเกตดู ก็เห็นว่าชั้นลืมครีมที่ใช้ราดไปซะสนิทเลย
จะให้กินแบบตรงก็คงไม่ดี แต่ก็ไม่อยกาเหลือทิ้งไว้ด้วยสิ…อืม ถ้าแบบนั้นล่ะก็…
“ขอโทษนะคะ ขอสิ่งกาแฟร้อนอีกหนึ่งแก้วค่ะ”
ชั้นสั่งกาแฟมากอีกแก้วหนึ่ง แต่แทนที่จะใส่นมกับน้ำตาล ชั้นเอาครีมที่เหลือไปใส่แทน
อาจจะดูเสียมารยาทไปหน่อย แต่ช่างชั้นเถอะน่า
การกินแบบเสียมารยาทนี่แหละที่ทำให้อาหารอร่อยขึ้น
ชั้นไม่ได้ทำให้มันละลายรวมกันไปเลย แค่คนเบาๆสองสามครั้ง จากนั้นก็ดื่มเพื่อลิ้มรสชาติของทั้งครีมและกาแฟ
…อืม ไม่เลวแฮะ
ครีมกับกาแฟนี่เข้ากันดีจริงๆ
อา อิ่มแล้ว เป็นร้านที่ดีเลยนะเนี่ย
สั่งเทคเอาท์กลับบ้านได้มั้ยเนี่ย อยากเอากลับไปฝากเลย์ล่ากับอัลเฟรียน่ะ
…เอ๊ะ? ไม่มีเทคเอาท์เหรอ?
…ช่วยไม่ได้นะ แบบนั้นก็ซื้อวัตถุดิบกลับไปทำแล้วกัน
คิดว่าขนมปังแบบที่ใช้ในร้านจะหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อน่ะนะ
มีเบเกอรี่อยู่แถวๆนี้มั้ยเนี่ย? ถ้าไม่มีก็คงต้องใช้แบบที่หาได้ตามร้านสะดวกซื้อแทนนั่นแหละ
วัตถุดิบอื่นก็มีไข่กับนม ไม่สิ ใช้เป็นครีมแทนน่าจะดีกว่า วิปครีมด้วย ก็เดี๋ยวซื้อไปด้วยเลย
น้ำผึ้งน่าจะหาไม่ยาก…ไอศกรีมวานิลลานี่ชั้นก็น่าจะพอใช้เวทย์น้ำแข็งแช่เก็บไว้ได้
อย่างแรกก็ไปที่ร้านสะดวกซื้อก่อนดีกว่า ขาดเหลืออะไรค่อยไปหาซื้อที่อื่นเอา
“อา ขอโทษนะครับ ขอเวลาสักครู่ได้ไหมครับ? เรามาจากรายการ ‘ควิซรันเนอร์’ นะครับ ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็ ช่วยตอบคำถาม…”
ตอนที่เดินอยู่ จู่ๆชั้นก็โดนเรียกจากด้านหลัง เลยหันไปเจอลุงคนนึงยืนอยู่พร้อมกับตากล้อง
“ควิซรันเนอร์” เป็นรายการที่พวกดาราจะต้องวิ่งผ่านสิ่งกีดขวางพร้อมกับตอบคำถามควิซไปด้วย ถ้าตอบไม่ถูกก็ไปต่อไม่ได้
ยิ่งกว่านั้นถ้าตอบผิดในคำถามที่ใครๆก็ตอบถูกนี่พื้นก็จะเปิดออกแล้วก็ตกลงไปในบ่อน้ำ เป็นสีสันอย่างนึงของรายการเลย
แต่บางครั้งนี่คำถามมันก็ง่ายเกินจนไม่น่าจะตอบผิดได้ ทำให้สงสัยว่าเตี๊ยมกันไว้รึเปล่า
ไอ้คำถามที่ใครๆก็ตอบถูกนี่มาจากการสอบถามคนตามถนนนั่นแหละ ถ้ามีคนตอบถูกมากกว่าร้อยละเก้าสิบห้า ก็จะถูกเรียกว่าเป็น”คำถามที่ใครๆก็ตอบถูก”ยังไงล่ะ
เพิ่งเคยเจอกับอะไรแบบนี้ในชีวิตจริงครั้งแรกเลยนะเนี่ย
“…”
อยู่ๆคนที่เข้ามาทักชั้นก็ชะงักไป
คุณตากล้องเองก็ด้วย แถมคนแถวนั้นก็เหล่มาทางนี้
อะไรอ่ะ? จู่ๆถามแล้วก็หยุดไปนี่มันเสียมารยาทนา
“เอิ่ม…?”
“อ๊ะ ขะ…ขอโทษ…ครับ”
กัดลิ้นแล้วลุง เป็นอะไรมากมั้ยเนี่ย?
ดูไม่เป็นมืออาชีพเลยแฮะ ประมาณว่าเป็นผู้ช่วยผู้กำกับที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นไรงี้เหรอ เหนื่อยหน่อยนะฮะ
“จะขอถามคำถามเพื่อนำไปใช้คำนวนอัตราส่วนสำหรับคำถามในรายการน่ะครับ…”
“ค่ะ ไม่มีปัญหาค่ะ”
“ขอบคุณครับ ถ้าอย่างนั้น… ระหว่างสุนัขสองสายพันธุ์นี้ สายพันธุ์ไหนที่ใกล้เคียงกับหมาป่ามากกว่ากันครับ?”
จากนั้นลุงแกก็เอารูปของหมาชิบะและไซบีเรียนฮัสกี้มาให้ดู
อ๊ะ อันนี้ชั้นรู้คำตอบ
ถึงแม้รูปร่างของไซบีเรียนฮัสกี้จะใหล้เคียงกับหมาป่ามากกว่า แต่จริงๆแล้วหมาชิบะมีสายพันธุ์ที่ใกล้เคียงกว่า
รูปที่เอามานี่เป็นรูปหมาชิบะที่โดนดึงแก้มจนดูได้ยาก แต่คิดว่านี่คงจะเป็นคำถามหลอกให้คนที่ดูรูปคิดว่าไซบีเรียนฮัสกี้มีหน้าตาคล้ายกว่านั่นแหละ
หมาฮัสกี้นี่ดูดุดันมาเชียว ส่วนเจ้าชิบะนี่โดนดึงแก้มย้วยเลย
“คิดว่าเป็นพันธุ์ชิบะค่ะ”
พอถามเสร็จ ชั้นก็เซ็นอนุญาติให้ใช้คลิปนี้ในรายการทีวีได้ จากนั้นก็ตรงไปที่ร้านสะดวกซื้อ
ตอนที่เดินซื้อวัตถุดิบทำเฟรนช์โทสต์อยู่ ก็นึกขึ้นมาได้
อ๊ะ…ลืมขอให้เบลอหน้ากับเสียงไปเลย
เอาเถอะ ยังไงก็ไม่ได้อาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่นอยู่แล้วนี่นะ ก็คงไม่เป็นไร