สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค - ตอนที่ 19 ทริคเล็กๆ
อุ๊บส์ มีคนเห็นแผลเข้าจนได้
ลดการป้องกันมากไปหน่อยล่ะมั้งเนี่ย
คงจะเกิดขึ้นตอนที่ชั้นรับเวอร์เนลไว้แล้วตกลงมา แต่ดันถูกเจ้าหมอนั่นสังเกตเห็นซะได้ แย่เลยแฮะ
มันก็มีบ้างใช่มั้ยล่ะ? ที่ไม่รู้ตัวว่าแผลมันเกิดขึ้นตอนไหนเพราะว่ามันไม่รู้สึกเจ็บน่ะ?
ก็แบบนั้นแหละ ชั้นเลยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นแผลจนโดนเวอร์เนลชี้ให้เห็นน่ะ
ดีนะที่คนเห็นมีแค่เวอร์เนลน่ะ
หลอกคนคนเดียวน่ะมันง่ายกว่า
ชั้นน่ะผู้เชี่ยวชาญด้านการหาข้ออ้างอยู่แล้ว แค่รักษาแผลด้วยความเร็วแสง ในขณะเดียวกันก็สร้างด้ายสีแดงขึ้นมาโดยใช้เวทมนตร์ จากนั้นก็บอกว่า “ไม่ใช่แผลซักหน่อย เป็นแค่เส้นด้ายเอง” ทำให้หลอกเวอร์เนลได้สำเร็จ
ชั้นใช้เวทย์แสงน่ะนะ ว่ากันว่าสีน่ะมันก็คือการสะท้อนของแสงนี่นา
เพราะฉะนั้นคนที่ควบคุมแสงได้อย่างชั้นก็ควบคุมสีได้
ชั้นควบรวมแสงสีแดงออกมาในรูปแบบของเส้นด้าย ทำให้ดูเหมือนว่ามีด้ายสีแดงอยู่บนแขน
ทริคเล็กๆแบบนี้น่ะจำเป็นมากเลยนะในการแสดงเป็นเซนต์
มนุษย์จะถูกหลอกได้ง่ายในสิ่งที่ตาเห็น
เพราะอย่างนั้นชั้นที่สามารถควบคุมสิ่งผู้คนเห็นได้ด้วยเวทย์แสง ทำให้เกิด”ปาฏิหาริย์”ขึ้นได้ง่ายๆ
ใส่เอฟเฟ็กต์สายรุ้งและแสงออโรร่า ไม่ว่าวัตถุอะไรชั้นก็สามารถทำให้มันดูเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้
อาจจะทำให้ปาฏิหาริย์ดูถูกลงไปบ้าง แต่ถ้าไม่มีเอฟเฟ็กต์พวกนั้นล่ะก็จะทำให้ดูน่าเบื่อเอาได้
เมื่อสักครู่เอเทอร์น่ายังทำอะไรบ้าๆอยู่เลย แต่ตอนนี้เธอนั่งหลังตรงอยู่บนพื้นโดยไม่ส่งเสียงอะไร
หน้าของเธอแดงก่ำผสมกับตัวที่สั่นด้วยความอับอาย
“ไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของแม่มดหรอกค่ะ”
“อุฮ่าฮ่าฮ่า!”
ฟิโอร่าเลียนแบบบทพูดของเอเทอร์น่าก่อนหน้านี้ ส่วยตัวประกอบเอก็หัวเราะท้องแข็ง
ใบหน้าของเอเทอร์น่าค่อยๆแดงขึ้นในทุกขณะ สีหน้าเหมือนจะหัวเราะและร้องไห้พร้อมกันในขณะที่เนื้อตัวสั่นสะท้าน
ถ้ามีหลุมก็อยากจะเอาตัวเองไปฝังมันทั้งอย่างนั้น
ทำอะไรไปก็ได้รับผลอย่างนั้น จะว่าไปขอดูสีหน้าแบบเมื่อกี๊อีกทีสิ
โอ้ เป็นใบหน้าที่เอาไปกินเป็นกับข้าวได้สี่จานเลยล่ะ
สุดท้ายแล้ว เอเทอร์น่าก็แค่เข้าใจผิดไปเอง
พอเรากลับมารวมกลุ่มกัน ชั้นกับเวอร์เนลก็อธิบายเรื่องที่คุยกันไว้ให้ทุกคนฟัง แล้วก็สาธิตให้เอเทอร์น่าดูว่ามี”ข้อยกเว้น”อยู่โดยให้เวอร์เนลกำมีดแบบเดียวกับเธอ
แน่นอนว่าเวอร์เมลไม่ถูกสงสัยเลยว่าเป็นแม่มด เพราะว่าเป็นผู้ชายล่ะนะ
เอเทอร์น่าเป็นหนึ่งในข้อยกเว้นเช่นเดียวกับเวอร์เนล เธอแค่มีพลังแบบนั้น นั่นทำให้เอเทอร์น่าสงบลงได้… จนกระทั่งเธอจำได้ว่าตัวเองพูดอะไรไปบ้าง ทั้งความเข้าใจผิดและความตื่นตระหนกที่เธอแสดงให้เห็น นั่นทำให้เธออับอายแบบสุดขั้วจนมีสภาพแบบนี้
“แต่ว่า นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก… ทั้งที่พวกเธอไม่ใช่ทั้งเซนต์หรือแม่มด แต่กลับมีพลังที่คล้ายคลึงกัน เป็นอะไรที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย…”
ไอ้แว่นโรคจิตมองไปที่เวอร์เนลด้วยความสนอกสนใจ
ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความสงสัยนั้นหรอก
นี่หมายความว่าเรื่องที่แม่มดจะสามารถถูกปราบได้ด้วยเซนต์เท่านั้นถูกเวอร์เนลพังทลายลง
แต่พลังของเวอร์เนลน่ะทำถึงขนาดนั้นไม่ได้หรอกนะ
เพราะว่าต้นตอของพลังนั้น่ะคือวิญญาณของแม่มด…หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือเศษเสี้ยววิญญาณ
ในช่วงก่อนที่แม่มดรุ่นปัจจุบันจะตกลงสู่ความบ้าคลั่งอย่างสมบูรณ์ เธอตัดพลังของตัวเองออกไปส่วนหนึ่ง ซึ่งพลังนั้นมีวิญญาณและจิตสำนึกของเธออยู่ด้วย พลังนั้นผสมเข้ากับวิญญาณที่กำลังจะเกิด ส่งผลให้เด็กผู้ชายที่เกิดมามีพลังของแม่มดอยู่ในตัว เวอร์เนลนั่นเอง
เมื่อวิญญาณอาฆาตของแม่มดตนแรกครอบงำเธอลงโดยสมบูรณ์ พลังแม่มดนั้นก็ถูกส่งต่อมายังเวอร์เนลด้วย
นี่คือความจริงที่ถูกเปิดเผยในรูทแม่มด แต่ไม่ปรากฏให้เห็นในรูทอื่นแต่อย่างใด
ถ้าพูดความจริงออกไปอาจทำให้เวอร์เนลตกอยู่ในอันตรายได้ ชั้นเลยบอกไปว่า”เป็นพลังที่คล้ายกับแม่มด”แทน
จบแบบสงบๆได้ซักที…
ตอนที่เอเทอร์น่าบอกว่าตัวเองเป็นแม่มดนี่บอกตรงๆเลยนะว่าชั้นไปต่อไม่เป็นเลย ต้องขอบคุณเวอร์เนลจริงๆที่เรื่องจบลงแบบนี้ได้
ถ้าไม่ใช่เพราะเวอร์เนลบอกว่า “…หรือว่าเอเทอร์น่าจะเป็นเหมือนผม?” ชั้นคงคิดไม่ออกว่าจะกลบเกลื่อนเรื่องนี้ยังไงดี
“ท่านเอลริส… ครั้งนี้ชั้นสร้างปัญหาให้ท่านมากมายๆจริงค่ะ… เป็นเพราะความเข้าใจผิดของชั้นแท้ๆ…”
เอเทอร์น่าก้มหัวต่ำจนแทบจะหมอบกราบ ชั้นเลยบอกไปว่าถ้าโอเคก็ดีแล้ว
ถ้าลองดูดีๆเหตุผลที่เธอสับสนก็มาจากชั้นเองนั่นแหละ
แต่จากนี้ไป ชั้นอยากให้เธอดูแลตัวเองดีๆนะ
และแล้วก็ปิดคดี!
ต่อจากนี้ก็คงจะสงบสุขไปอีกสักพัก ชนะแล้ว กลับไปอาบข้าวกินน้ำดีกว่า
ไม่ ต้องอาบน้ำกินข้าวสิ
.
นึกว่านั่นเป็นการปักธงรึไง?
โทษทีนะ ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริงๆนั่นแหละ
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษ ชั้นก็แค่สนุกกับชีวิตในรั้วโรงเรียนไปแต่ละวัน
เวอร์เนลที่เกือบจะกลายเป็นคนโดดเดี่ยวในสมัยก่อน ตอนนี้ก็สนิทกับเอเทอร์น่า ฟิโอร่า แล้วก็ตัวประกอบเอดีแล้ว
แต่เขาก็ยังไม่เลิกฝึกฝนร่างกายในเวลาว่างอยู่ดี นี่ทำไปเพราะมีเป้าหมายอะไรรึเปล่าเนี่ย
ส่วนตัวชั้นก็เป็นป้าสายตาให้ทุกคนชื่นชม ใช้ชีวิตอย่างราชาในทุกๆวัน
อาาา^– สายตาที่นับถือบูชาชั้นจากพวกตัวประกอบนี่มันรู้สึกดีเป็นบ้า^-
ชั้นล่ะชอบจริงๆเลยที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะโดนชมว่า”สุดยอดเลยไปเลยครับ/ค่ะ”
ถ้าชอบขนาดนั้นก็ดื่มด่ำกับความงดงามของชั้นให้หนำใจเลย
แต่ไอ้แว่นโรคจิตนี่ไม่ไหวนะ
สายตาของแกมันติดหนึบอย่างกับสไลม์น่าขยะแขยงเลย
เพื่อให้อารมณ์ดีขึ้น ชั้นก็ออกล่าไล่มองสาวงาม มีคนสวยในโรงเรียนนี้อย่างเอเทอร์น่าอยู่หลายคนเลย
อะไรนะ สองมาตรฐานเรอะ? หนวกหูน่า
อีกอย่างก็…อุหุหุ
คิดถูกจริงๆที่มาเข้าเรียนที่นี่
ห้องของชั้นน่ะมันใหญ่แบบไม่จำเป็น แถมมีห้องอาบน้ำบิลด์อินในตัว
แต่ก็รู้ใช่มั้ย? ไม่ว่าภายในชั้นจะเป็นยังไง ร่างกายของชั้นก็ยังถือว่าเป็นเด็กสาว
นั่นหมายความว่า…ชั้นสามารถเข้ามันได้อย่างไม่เกรงใจ! ห้องอาบน้ำหญิง!
ก็พูดสั่วๆไปว่าอยากเข้าใจความรู้สึกของพวกอัศวิน หรืออยากใกล้ชิดกันให้มากขึ้น ชั้นสามารถเข้าห้องอาบน้ำหญิงได้ประมาณสัปดาห์ละครั้งโดยไม่ให้เป็นที่สงสัย
ชั้นสามารถมองไปรอบๆได้โดยไม่เกรงใจเลย ถือเป็นสิ่งบันเทิงสำหรับชั้นในช่วงนี้
เติมเต็มความหื่นได้ดีจริงๆ
สวรรค์บนดินชัดๆ
ไม่ว่ามองไปทางไหนก็เห็นแต่สวรรค์เนื้อนุ่ม วิวที่เห็นนี่เป็นเรทเฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้นไงล่ะ
แล้วก็ไม่รู้ทำไม แต่ตอนที่ชั้นเข้าไปอาบน้ำ ก็มักจะมีคนในห้องอาบน้ำมากกว่าปกติ โชคดีจริงๆ
ฤดูใบไม้ผลิของตูมาถึงแล้วว้อย!
“เฮ้ เจ้าตรงนั้นน่ะ! หยุดมองท่านเอลริสด้วยสายตาโอหังเช่นนั้นซะ! เจ้าก็ด้วย! ถ้ากล้ามองมาทางนี้ด้วยความคิดชั่วร้ายล่ะก็ ข้าจะจัดการเจ้าซะ! …โธ่เว้ย… ทำไมท่านเอลริสถึงต้องเปิดเผยผิวพรรณให้พวกอ่อนหัดลำดับต่ำยิ่งกว่าอัศวินฝึกหัดด้วย—“
ถ้าจะมีเรื่องอะไรที่ขัดใจล่ะก็ ก็คงเป็นเรื่องที่สต๊อกโกะตามมาด้วยทุกครั้ง แถมยังคอยไล่พวกนักเรียนหญิงคนอื่นๆไปด้วย
เพราะแบบนั้นชั้นเลยได้แค่มอง ไม่มีโอกาสได้แตะต้องอะไรทั้งสิ้น
ถ้าสต๊อกโกะไม่อยู่ล่ะก็ ชั้นคงได้เกิร์ลทอล์คกับนักเรียนหญิงตามปกติ พูดแบบว่า “ว้าว ของเธอใหญ่จังเลย” แล้วก็จับเนื้อนมตูดได้ตามที่ชั้นต้องการ
สต๊อกโกะขอร้องมาว่าชั้นต้องนุ่งผ้าเช็ดตัวตลอดตอนที่เข้ามาอาบน้ำ
แต่เคยเห็นในอนิเมะว่าทำแบบนั้นมันเสียมารยาท แช่น้ำตอนนุ่งผ้าเช็ดตัวไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง
ถึงจะบอกไปแบบนั้น ยัยสต๊อกโกะก็ยังไม่ยอม ช่วยไม่ได้ชั้นเลยต้องปิดบังจุดสำคัญไว้ด้วยเวทย์แสง
ท่าป้องกันประเภทแสงขั้นสูงสุด ชื่อนั้นคือ “แสงปริศนา” ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ไม่อาจเห็นจุดซ่อนเร้นของชั้นได้
…ก็ไม่คิดว่าต้องใช้ในห้องอาบน้ำหญิงล้วนหรอกนะ แต่ถ้าไม่ใช่สต๊อกโกะซังก็จะไม่ยอมให้ชั้นอาบน้ำแบบหมู่ ก็ช่วยไม่ได้แฮะ
ในช่วงที่ชั้นเอนจอยกับชีวิตในรั้วโรงเรียนอยู่นี้ ในที่สุดก็มาถึงกลางภาคของเทอมแรก
ชั้นได้การยกเว้นให้ไม่ต้องสอบด้วยล่ะ
จะให้ชั้นที่เป็นเซนต์(เก๊)ไปทำข้อสอบสำหรับอัศวินที่มีหน้าที่ปกป้องเซนต์นี่มันคงแปลกพิลึกเนอะ
ก็นะ ชั้นก็เกลียดการสอบอยู่แล้ว ไม่ว่าอะไรหรอก
จากนั้นก็เป็นวันหยุดฤดูร้อน หรือก็คือปิดเทอม
คนอื่นๆโดนการบ้านปิดเทอมกันไปเพียบเลย แต่ชั้นไม่ได้หรอกนะ
เวอร์เนลคงจะใช้ช่วงนี้ไปกับการจู๋จี๋กับนางเอก
และแล้ว…ชั้นก็ว่าง
จะฆ่าเวลายังไงดีล่ะเนี่ย?
หลังๆมานี้ชั้นสามารถฝึกได้แบบกึ่งอัตโนมัติ เลยไม่มีอะไรเหลือจะทำในเวลาว่าง
ในช่วงที่ฝึกดาบอยู่ชั้นก็คิดว่า
ถ้าชั้นแค่ทำให้ร่างกายจดจำท่วงท่าได้ก็น่าจะพอแล้วรึเปล่า?
ถึงใช้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ชั้นจึงใช้เวทย์สายฟ้าสร้างเวทมนตร์ใหม่ขึ้นมาบทนึง
ตั้งชื่อว่า “กิจุตสึ เซ็ตโตะ ธันเดอร์”(สายฟ้าขโมยสกิล)
มนุษย์เราน่ะขยับได้ด้วยสัญญาณประสาท
ถ้าชั้นลอกเลียบแบบสัญญาณประสาทของพวกผู้เชี่ยวชาญมาทั้งดุ้นล่ะก็ ชั้นก็น่าจะสามารถออกท่วงท่าแบบเดียวกันเป๊ะได้? คิดแบบนั้นแหละ
ชั้น”ปลูกฝัง”ท่วงท่าที่ผู้เชี่ยวชาญคนอื่น”จดจำ”ไว้ในตัว
ไม่รู้ว่าเมคเซนส์รึเปล่านะ ขนาดชั้นยังคิดเลยว่าตรรกะมันเพี้ยนๆ
แต่ก็อย่างที่เขาว่า “ถ้าคิดว่าทำได้ก็จะทำได้”
และผลลัพท์มันก็ออกมาว่าชั้นทำได้ นั่นแหละจุดที่สำคัญ
เพราะอย่างนั้นถึงชั้นจะนอนอยู่เฉยๆ วิชาดาบของชั้นก็ยังก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ
ตั้งแต่สมัยนู้นชั้นก็แข็งแกร่งเกินพอแล้ว ที่ชั้นต้องทำก็แค่ฝึกนิดๆหน่อยๆเพื่อให้ฝืมือไม่ขึ้นสนิม
รากฐานที่แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างตำ ไม่อย่างนั้นมันจะถล่มเอาได้ ขนาดไอ้โง่อย่างชั้นยังรู้เลย
คอมเพลนที่ว่า “ใช้เทคนิคที่ขโมยเขามา ไม่ใช่ความพยายามของตัวเองจริงๆ” น่ะใช้กับชั้นไม่ได้หรอกนะ โอเค อาจจะนิดนึง
ต่อไปก็เวทมนตร์ ที่ต้องทำก็แค่โคจรเพิ่มพลังเวทย์ให้ถึงขีดสุดแล้วค่อยปล่อยออกมา
คล้ายๆกับการฝึกขยายปอดล่ะมั้ง? ขยายปอดด้วยการฝึกหายใจ อะไรประมาณนั้น
ชั้นก็สร้างเวทมนตร์ที่ทำให้การฝึกนี้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเหมือนกัน
ลองคิดถึงเครื่องช่วยหายใจสิ
เวทมนตร์ที่ครอบคลุมตัวชั้นจะทำให้ร่างกายดูดซับและปลดปล่อยพลังเวทย์ได้โดยอัตโนมัติ
ชั้นสามารถเปิดหรือปิดใช้งานตอนไหนก็ได้ แล้วแต่ว่าอยากจะฝึกตอนไหน
ทำให้ชั้นแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างง่ายๆ อย่างกับสูตรโกงแน่ะ
ว่าแล้วเชียว มนุษย์เราน่ะจะพยายามไปทำไม แค่ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นอัตโนมัติจากนั้นก็แค่นอนรอก็พอแล้ว
อืมมม ชั้นนี่แย่พอตัวเลยนะ
ตอนนี้ชั้นเลยว่างจัด
เพื่อไม่ให้เบื่อ ชั้นเลยแอบหนึออกจากโรงเรียนไปรังแกฝูงปีศาจที่อยู่ระหว่างการเดินทางตรงมาที่สถาบัน
เวทย์แสงระเบิดตูมตาม แล้วศัตรูก็ตาย
ดูเหมือนว่าแม่มดจะพยายามเรียกพวกปีศาจให้มาที่โรงเรียน แต่ว่าอ่อนหัด มีความตั้งใจแต่ก็ยังอ่อนหัด
ชั้นที่เล่นเกมผ่านมาทุกรูทน่ะรู้ตั้งแต่ปีมะโว้แล้วโว้ย
ถ้าปีศาจกลุ่มนี้โดนปล่อยไว้ล่ะก็ ช่วงท้ายเกมพวกมันจะเข้าโจมตีโรงเรียน แล้วก่อนหน้านั้นพวกมันก็ทำลายประเทศไปมากมายในระหว่างทาง
จากนั้นถ้าพวกมันมาถึงโรงเรียน นักเรียนจำนวนมากก็จะถูกบังคับให้ออกรบสู้กับพวกมัน ส่งผลให้คนตายไปมหาศาล เป็นอีเวนท์ที่เอเทอร์น่าจะถูกปลุกพลังเซนต์ขึ้นมาและจัดการปีศาจที่เหลือ
แต่ชั้นอยู่ที่นี่แล้ว
แน่นอนว่าชั้นจะทำลายอีเวนท์ยุ่งยากพรรค์นั้นตั้งแต่เนิ่นๆ
เอาเวทย์แสงไปแดก ตู้ม! อีกดอกนึง ต้าม!
บวกเวทย์ไฟ เวทย์น้ำ เวทย์สายฟ้าเข้าไป เป็นระเบิดหลากหลายประเภท
นานๆทีก็ออกกำลังกายสักหน่อย ชั้นสร้างดาบขึ้นมาจากแสงแล้วลงไปสู้ด้วยตัวเอง อย่างกับเล่นเกมมุโซวเลย
อิยะโฮ้ววววว! WRYYYYYY–!![*ล้อแวมไพร์จากโจโจ้]
ฟุฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! จงหวาดกลัว! จงสิ้นหวัง! จงตายอย่างไม่สามารถขัดขืนได้ซะ!
เอาล่ะ เอาล่ะ ลองร้องของชีวิตดูแล้วชั้นอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้นะ
…โหว? แกจะยอมแพ้แล้วขอให้ไว้ชีวิตเหรอ? ฉลาดนะเราน่ะ
เอาไงดีน้า? เอา ไง ดี น้าาา?
ว่าล่ะ ขอปฏิเสธ พวกปีศาจน่ะต้องตายให้หมด
“เจ้า…ทำเป็นว่า…โดนหลอก…”
เหมือนมันจะพูดอะไรซักอย่าง
คนที่โดนหลอกต่างหากที่ผิดเว้ย ไอ้โง่
ไง เจ็บใจล่ะสิ?
อิฮิฮิฮิ ถ้าชนะอะไรก็ไม่สำคัญหรอกเฟ้ย
เพราะแกคิดแบบนั้นไม่ได้เลยเป็นแค่พวกขี้แพ้ไงล่ะ! ก๊าฮ่าฮ่าฮ่า—
นั่นน่าจะตัวสุดท้ายแล้วล่ะ
โอเค ไม่มีศัตรูเหลือแล้ว
อา สดชื่นเป็นบ้า เรื่องบันเทิงให้ทำในโลกนี้ก็คงมีแค่รังแกปีศาจนี่แหละ
แล้วที่เหลือชั้นก็ปล่อยให้พวกทหารของประเทศระหว่างทางช่วยเก็บกวาด